บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


19 สิงหาคม 2552

<<< ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ เรื่อง จากคาร์บอมบ์เป็นคาร์บ็องส์ สุดท้ายของจริง >>>

เดลินิวส์
รท.ขนระเบิด"ซีโฟร์-ทีเอ็นที"บอมบ์ทักษิณ! "พัลลภ"โดนเด้งฟ้าผ่า

คาร์บอมบ์ ลอบสังหาร “ทักษิณ” รอดตายราวปาฏิหาริย์ ระทึกขวัญบุกลูบคม ถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า ขับเก๋งบรรทุกระเบิด “ซีโฟร์-ทีเอ็นที” โชคดีทีมรปภ.ตาไวเห็นผิดปกติ ขี่จยย.ไล่ประกบทันควัน ตะลึงขนระเบิดมาแบบเต็มพิกัด น้ำหนักเกือบ 70 กิโลกรัมต่อวงจรไว้เรียบร้อย อานุภาพทำลายล้างรุนแรง รัศมีกว้าง 1 กม. ถล่มได้ทั้งสะพานข้ามแยกบางพลัด “ร.ท.” กอ.รมน.หนีไม่รอด โดนหิ้วตัวไปสอบ เล่นลิ้นอ้างคนชื่อ “จ.” จ้าง 200 บาทให้ขับรถ ขณะที่นายกฯปลดฟ้าผ่า “พล.อ.พัลลภ” เผยมีประชุมเช้าตรู่เลยออกจากบ้านก่อนเวลา ทำให้รอดพ้นอันตรายฉิวเฉียด ระบุรู้ข่าวมานานกว่า2สัปดาห์แล้ว ล่าสุดสั่งยกเลิกภาระกิจต่าง ๆ ชั่วคราว “ผอ.ข่าวกรอง” มั่นใจพุ่งเป้าสังหารนายกฯ สั่งขยายผลไล่ล่าทีมระเบิด เชื่อทำเป็นขบวนการใหญ่ ขณะที่อดีต “รองผอ.กอ.รมน.” มึนตึ๊บไม่ได้เกี่ยวบึ้ม ลั่นหากทำจริงเนียนกว่านี้อีก “ประสงค์” เหน็บสงสัยจัดฉาก ด้านสื่อต่างประเทศตีข่าวกระพือทั่วโลก

เหตุระทึก ขวัญลอบทำร้ายนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 24 ส.ค. ขณะที่ทีมชุดรักษาความปลอดภัย หมวดกองร้อยที่ 5 (หน่วยอรินทราช26) กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ บริเวณหน้าบ้าน "จันทร์ส่องหล้า" ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ภายในซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 แขวง-เขตบางพลัด ได้พบรถยนต์ต้องสงสัย ยี่ห้อแดวู รุ่นESPERO สีบรอนซ์ ทะเบียน ฐฉ 3085 กรุงเทพมหานคร วิ่งมาป้วนเปี้ยนบริเวณหน้าบ้านพักอย่างผิดสังเกต 2 รอบตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว จึงแจ้งให้ชุดจยย. เคลื่อนที่เร็วขับตามประกบทันที โดยก่อนหน้านี้ได้รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองว่าให้สังเกตรถเก๋งสีบรอนซ์รุ่น นี้เพราะเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมเนื่องจากเป็นรถต้องสงสัยที่ พยายามขับวนเวียนเข้ามาดูความเคลื่อนไหวบริเวณบ้านพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลานานกว่า 2 อาทิตย์แล้ว

คาร์บอมบ์บุกบ้าน "ทักษิณ"
หลังจากชุด จยย.เคลื่อนที่เร็วของ พ.ต.ท.ทักษิณ บริเวณหน้าปากซอยจรัญฯ 69 ที่แฝงตัวปลอมเป็น จยย.รับจ้างได้รับรายงานจึงเตรียมสกัดจับปรากฏว่า รถเก๋งคันดังกล่าวมีชายแต่งกายชุดซาฟารีสีน้ำเงินเข้มได้ขับออกจากหน้าปาก ซอยพอดีแล้วยูเทิร์นรถกลับไปทางสี่แยกบางพลัด ก่อนจะเลี้ยวซ้ายไปยังถนนราชวิถี มุ่งหน้าไปทางสะพานกรุงธน (ซังฮี้) โดยมีชุดเคลื่อนที่เร็วซึ่งใส่เสื้อกั๊กสีส้ม แต่งกายเป็น จยย. รับจ้างได้ขับไล่ตามประกบมาติด ๆ กระทั่งมาทันกันบริเวณใต้เชิงสะพานลอยข้ามสี่แยกบางพลัดซึ่งกำลังมีการจราจร ติดขัด หลังจากนั้นทีมรปภ. ของนายกฯอีก 3 คัน ขี่จยย.ตามมาสนับสนุนช่วยกันปิดล้อมรถเก๋งคันดังกล่าวทันที พร้อมได้แสดงตัวขออนุญาตเชิญตัวคนขับลงมาตรวจค้น

รวบทันควัน "ร.ท." กอ.รมน.
ในเบื้องต้นชายคนขับแต่งกายภูมิฐานมาดเข้ม ควักบัตรประจำตัวระบุชื่อ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ อายุ 43 ปี สังกัดกองบัญชาการกองทัพบก ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. กองบัญชาการทหาร สูงสุด ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนหรือสะทกสะท้านแต่อย่างใด ขณะกำลังตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดกันอยู่นั้น ทางตำรวจสายตรวจชุดแรกของสน. บางพลัด เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุประกอบด้วย จ.ส.ต.ภูวนารถ นิ่มนวล และส.ต.ท.สุทธิ เปี่ยมขุนทด จากนั้นช่วยเหลือเข้าตรวจค้นภายในรถ บริเวณเบาะนั่งด้านหลังพบถังน้ำมันเครื่องวางอยู่กว่า 10 ใบ ส่วนในกระโปรงท้ายรถพบถุงทรายวางเรียงรายเป็นจำนวนมาก ตอนแรกเจ้าหน้าที่ไม่ได้เอะใจเท่าไรนัก แต่ส.ต.ท.สุทธิ สังเกตไปเห็นวัตถุเป็นแท่ง 2 ก้อนมีสายไฟโยงติดกันอยู่ จึงได้หยิบขึ้นมาโชว์เพื่อเตรียมจะสอบถาม พอทีม รปภ. พ.ต.ท.ทักษิณ หันมาเห็นถึงกับตะโกนร้องลั่นเสียงหลงว่า "ระเบิด!" หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดต่างพากันแตกกระเจิงวิ่งหลบหนีเข้าไปยัง ที่ปลอดภัย พร้อมกับรีบล็อกตัวร.ท.ธวัชชัย จับใส่กุญแจมือเอาไว้แน่น

ชาวบ้านเผ่นหนีกระเจิง
จากนั้นจ.ส.ต.ภูวนารถ วิทยุรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาระดับสูง แล้วประสานงานไปยังหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด กองพลาธิการตำรวจ ให้รีบนำกำลังมาสนับสนุน กระทั่งพล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา ผบก.น.7 พ.ต.อ.อภิชาติ เรือนทิพย์ รอง ผบก.น.7 พ.ต.อ.บุญเพ็ญ มั่งคั่ง ผกก.สน. บางพลัด เดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุ สั่งปิดการจราจรถนนราชวิถี (ฝั่งขาเข้า) ที่จะขึ้นสะพาน กรุงธน รวมทั้งบริเวณรอบ ๆ สี่แยกบางพลัด ส่งผลให้การจราจรย่านดังกล่าวกลายเป็นอัมพาตทันที และยังสั่งการให้ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในตึกแถวใกล้ เคียง โรงเรียน รวมทั้งบรรดาพ่อค้าแม่ค้าตลาดกรุงธนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนให้รีบเคลื่อนย้าย ออกไปนอกบริเวณ เนื่องจากหวั่นเกรงจะได้รับอันตราย ทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของริมถนนต่างพากันหอบข้าวของหนีกันชุลมุน ส่วนเจ้าของตึกแถวก็ปิดประตูหน้าต่างกันเกลี้ยง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้สั่งให้ประชาชนอยู่ห่างอาคารสูงที่มีกระจกด้วย

ตะลึงทั้ง "ซีโฟร์-ทีเอ็นที"
ภายหลังข่าวเรื่องพบรถบรรทุกระเบิดบุกบ้านพ.ต.ท.ทักษิณ ได้แพร่สะพัดออกไปได้มีบรรดาสื่อมวลชนทุกแขนงทั้งในและต่างประเทศ รีบเดินทางไปเกาะติดรายงานข่าวกันอย่างเนือง แน่น แต่ทางตำรวจไม่อนุญาตให้เข้าไปอยู่ใกล้ โดยใช้เชือกกั้นเอาไว้ให้ห่างจากศูนย์กลางรถไม่ต่ำกว่า 2 กม. เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ต่อมาทีมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด กองพลาธิการ สำนักงานตำรวจฯ เดินทางมาถึงได้เข้าไปใช้เครื่องเอกซเรย์ตรวจสอบภายในรถอย่างละเอียด พบว่ามีระเบิดจริงมีทั้งระเบิดทีเอ็นที ระเบิดซีโฟร์ รวมทั้งปุ๋ย ยูเรีย และน้ำมันดีเซลอุปกรณ์ครบครัน จึงต้องวางแผนดำเนินการเก็บกู้อย่างรัดกุม อันดับแรกให้เจ้าหน้าที่ซึ่งแต่งกายด้วยชุดเสื้อเกราะป้องกันระเบิดเข้าไป ถอดกล่องวงจรสีดำที่อยู่ในท้าย กระโปรงออกมาทำลายวงจรทิ้ง แล้วใช้ปืนอัดลมแรงดันสูงยิงไฟท้ายรถเพื่อตัดกระแสไฟฟ้าที่ใกล้กับระเบิด ด้วย เสร็จแล้วจึงค่อย ๆ เปิดประตูทั้ง 4 บานเปิดอ้าออก

ลุ้นระทึกเก็บกู้นาน 5 ชม.
เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดประตูตรวจภายในรถอย่างละเอียด แต่ยังไม่กล้าเปิดฝากระโปรงหน้า ได้แต่ใช้กล้องดิจิทัลถ่ายภาพวัสดุภายในทั้งหมดเพื่อนำมาวางแผนเก็บกู้ เนื่องจากพบสายไฟระโยงระยางเชื่อมต่อเข้าไปภายในรถ หลังจากร่วมกันวางแผนอย่างรัดกุมแล้วจึงตัดสินใจเปิดกระโปรงหน้าแล้ว ถอดสายไฟแบตเตอรี่ออก พร้อมกับนำรถปิกอัพกองพลาธิการมาประกบด้านข้าง เพื่อช่วยกันขนถังน้ำมันเครื่องขนาด 5 ลิตร ยี่ห้อคาสตรอล (สีเขียว) จำนวน 8 ถังภายในบรรจุปุ๋ยยูเรีย และถังน้ำมันเครื่องยี่ห้อคาสตอล (สีดำ) จำนวน 3 ถัง ภายในบรรจุน้ำมันดีเซล จากนั้นจึงค่อย ๆ หยิบถุงทรายจากท้ายรถออกอย่างระมัดระวัง เนื่องจากถุงทรายบางส่วนได้วางทับไว้บนระเบิดซีโฟร์ น้ำหนักกว่า 3 ปอนด์ และทีเอ็นที 2 ก้อน น้ำหนักกว่า 10 กก. เจ้าหน้าที่ใช้เวลาเก็บกู้อย่างรัดกุมนานกว่า 5 ชม. ท่ามกลางความลุ้นระทึกของประชาชนที่เอาใจช่วยแบบใจจดใจจ่อ จากนั้นได้นำเอาวัตถุระเบิดและรถยนต์ไปตรวจสอบขยายผลที่กองพลาธิการฯ

คุมตัวสอบกองปราบฯ
ในส่วนของร.ท.ธวัชชัย หลังถูกจับกุมตัวได้พล.ต.ต.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบก.ประจำ ตร. ควบคุมตัวมาสอบสวนไว้ที่กองปราบปราม โดยมีพล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป. นำกำลังตำรวจคอมมานโดกองปราบฯมาคุ้มกันเข้ม จากนั้นทางพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ผอ.สำนักข่าว กรองแห่งชาติ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. พล.ต.ท.ถาวร จันทร์ยิ้ม ผบช.ส. พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช.ก. พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร ผบก.ส.3 บช.ส.หัวหน้าชุด รปภ.นายกรัฐมนตรี พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รองผบช.ก. พล.ต.ต. วินัย ทองสอง ผบก.ป. และทหารพระธรรมนูญมาร่วมทำการสอบปากคำ เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนกองปราบฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ผู้ต้องหาให้การปฎิเสธและไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดโดยอ้างว่าไม่รู้เห็นใด ๆ ทั้งสิ้น

พาไปค้นหลักฐานที่บ้านพัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในห้องสอบสวนเป็นไปอย่างเคร่งเครียดเนื่องจากทางร.ท. ธวัชชัย ไม่ยอมให้ความร่วมมือโดยให้การเฉไฉออกนอกเรื่องตลอดเวลา ให้การทำนองว่ารถคันดังกล่าวตนไม่ทราบว่าป็นรถที่บรรทุกระเบิดไว้ เมื่อช่วงเช้าก่อนถูกจับกุมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อนาย "จ." ว่าจ้างในราคา 200 บาท เพื่อให้มาขับรถคันดังกล่าวจากตรงจุดที่ถูกจับกุมเพื่อนำไปจอดไว้ที่ย่านสวน อ้อย เมื่อมีคนมาจ้างแค่ขับรถเฉย ๆตนก็รับงานเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย พอไปขับรถก็ถูกจับกุมดังกล่าว

ต่อมาช่วงบ่ายพล.ต.ต.หาญพล ผบก. ประจำตร. พร้อมกำลังตำรวจคอมมานโดกว่า 30 นาย อาวุธครบมือควบคุมตัวร.ท.ธวัชชัย ไปตรวจค้นบ้านพักข้าราชการสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม อยู่บริเวณด้านหลัง มณฑล ทหารบกที่ 11 เขตบางเขน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดอาวุธปืนอาก้า 1 กระบอก เครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์คาดว่าเป็นทะเบียนปลอม 2 แผ่น และเอกสารอีกจำนวน หนึ่ง ใช้เวลาตรวจค้นประมาณ 1 ชม. จากนั้นจึงคุมตัวกลับมาสอบสวนต่อที่กองปราบปราม

น.1 แถลงโชว์วัตถุระเบิด
ส่วนที่ บช.น. พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผบช.น. ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดย นำวัตถุระเบิดและอุปกรณ์มาวางไว้บนโต๊ะ ประกอบด้วย ระเบิดทีเอ็นที น้ำหนัก 10.73 ปอนด์ ระเบิดซีโฟร์น้ำหนัก 3.5 ปอนด์ ปุ๋ยแอมโมเนีย น้ำมันดีเซล ผสมกันรวม 67.57 กิโลกรัม เชื้อปะทุ (M8) 4 ดอก แก๊ป 2 ตัว สายฝักแคยาว 12.22 เมตร วงจรรีโมต 1 ชุด ฯลฯ พล.ต.ท.วิโรจน์ อธิบายขั้นตอนการทำงานว่า ระเบิดชนิดนี้มีการบังคับระเบิดด้วยทรายเพื่อให้ระเบิดออกไปทางด้านท้ายซึ่ง จะมีรถวิ่งผ่านตามหลัง ใช้วิธีจุดระเบิดด้วยวงจรรีโมตคอนโทรล เพราะมีการต่อสายไฟฟ้าด้วยระบบที่เรียกว่า "M8" (ใช้ในราชการทหาร) แล้วต่อด้วยแก๊ปสองตัวที่เชื่อมกับสายฝักแคเสียบอยู่กับทีเอ็นทีและซีโฟร์ มัดเป็นชุด ๆ ทั้งหมด 5 ชุด บางชุดมีทีเอ็นทีอย่างเดียว บางชุดมีซีโฟร์ผูกอยู่ด้วย ถ้าระเบิดพร้อมกันก็จะระเบิดอย่างต่อเนื่องและสมบูรณ์ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะมีการระเบิดอย่างแน่นอน

อานุภาพรุนแรงไกล 1 กม.
ผบช.น. กล่าวต่อว่า น้ำหนักระเบิดทีเอ็นที 10.73 ปอนด์ ซีโฟร์หนัก 3.5 ปอนด์ มีการผสมกับปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรทที่ผสมกับน้ำมันดีเซลเรียบร้อยแล้ว น้ำหนัก 67.57 กก. ซึ่งกลุ่มคนร้ายนิยมใช้ในการวางระเบิดพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากจุดระเบิดได้แรงระเบิดจะมีอานุภาพมหาศาลกว้างไกลไม่น้อยกว่า 1 กม. ทำให้สิ่งปลูกสร้างรอบ ๆ บริเวณนั้นไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน โรงเรียนจะได้รับความเสียหายทั้งหมด จุดวิกฤติรัศมี 30-40 เมตรจะแหลกละเอียดไม่มีใครรอดชีวิตได้ ที่สำคัญสะพานข้ามสี่แยกบางพลัดจะหายไปในพริบตา นี่คือสิ่งที่ตรวจพบในวันนี้ส่วนรายละเอียดเรื่องตัวบุคคลและที่มาที่ไปคง ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบให้ชัดเจนยังคงคาดเดาอะไรไม่ได้ แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าถนนบริเวณดังกล่าวคือเส้นทางของ พ.ต.ท. ทักษิณ ต้องใช้ผ่านทุกวัน

วอนประชาชนเป็นหูเป็นตา
พล.ต.ท .วิโรจน์ กล่าวต่อว่า ระเบิดที่พบก็เป็นระเบิดที่ใช้ในการทหารและตำรวจ ไม่ได้ใช้ในการพาณิชย์ ส่วนจะเป็นของทหารหรือของใครนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบ สำหรับการจุดระเบิดนั้นคนจุดชนวนต้องอยู่ไกลจากที่เกิดเหตุพอสมควรเพราะไม่ เช่นนั้นอาจจะได้รับอันตรายไปด้วย ส่วนจะเป็นการวางระเบิดขบวนรถยนต์นายกฯหรือไม่นั้นก็มีความเป็นไปได้เพราะ ต้องใช้เส้นทางดังกล่าว สำหรับการรักษาความปลอดภัยนั้นจะต้องมีการตรวจสอบรถต้องสงสัยและเข้มงวดมาก ขึ้นเพราะเป็นอันตรายต่อผู้นำประเทศ จึงอยากเรียนเพื่อนสื่อมวลชนรวมทั้งประชาชนหากพบสิ่งใดผิดปกติ รวมทั้งยานพาหนะที่ผิดแปลกให้รีบแจ้งตำรวจทันที เพื่อจะได้ตรวจสอบให้เกิดความปลอดภัย

ขบวนนายกฯผ่านเละเป็นจุณ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากรถเก๋งบรรทุกระเบิดคันดังกล่าวถูกนำไปจอดทิ้งเอาไว้ ณ จุดใดจุดหนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางที่ขบวนของ พ.ต.ท. ทักษิณ วิ่งผ่านประจำไม่ว่าจะเป็นภายในซอยจรัญฯ69 หรือเชิงสะพานข้ามสี่แยกบางพลัด หากเป็นจังหวะที่รถขบวนนายกฯวิ่งเข้ามาใกล้ในรัศมี 1 กม.แล้วมีการจุดระเบิดด้วยรีโมตคอน โทรล ระเบิดจะสามารถทำลายล้างให้รถยนต์ในขบวนพังเสียหายย่อยยับเละไม่มีชิ้นดี อย่างแน่นอน เนื่องจากระเบิดในรถยนต์มีทั้งระเบิดทีเอ็นทีและซีโฟร์อัดแน่นมาเต็มพิกัด ที่สำคัญต่อวงจรต่าง ๆ เอาไว้เรียบร้อยแล้วสามารถจุดรีโมตคอน โทรลใช้งานได้ทันทีเมื่อนำรถไปจอดในจุดที่ตั้งเป้าเอาไว้

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ขบวนรถของพ.ต.ท.ทักษิณ วิ่งอยู่บนทางด่วนโทลล์เวย์เพื่อจะไปร่วมงานที่สโมสรตำรวจ ก็ได้มีรถเก๋งโตโยต้าพยายามวิ่งแทรกเข้ามาในขบวน แต่ทางคนขับอ้างทำนองว่าไม่ทราบมาก่อน หลังเกิดเหตุทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยได้เพิ่มมาตรการรัดกุมอย่างต่อเนื่อง ตลอด ส่วนรถยนต์คันที่เกิดเหตุพบว่าเป็นรถยนต์ที่มีการทำสัญญาซื้อขายกับไฟแนนซ์ ในนามของนายบุญเมือง (สงวนนามสกุล) มีภูมิลำเนาอยู่ในย่านบางใหญ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี มีการติดค้างค่างวดรถอยู่ระหว่างการติดตามยึดคืนของบริษัท ไฟแนนซ์ จึงต้องติดตามตัวนายบุญเมือง มาสอบสวนด้วยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

สั่งปลดฟ้าผ่า "พล.อ.พัลลภ"
ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศระดับชาติ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ยังไม่ขอพูดอะไรดีกว่า ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ที่สอบสวนเป็นคนพูด ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องมีข่าวว่าปลดพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี รองผอ. กอ.รมน. แล้วใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวยอมรับว่า ได้ลงนามคำสั่งปลดลงไปแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลทำนองว่าความจริงแล้วกอ.รมน. เดิมไม่ได้มีฝ่ายการเมือง แต่ตอนหลังตนไม่มีเวลาก็เอาฝ่ายการเมืองเข้าไปเป็นรอง 1 คน แต่ในที่สุดก็ให้ฝ่ายประจำเขาทำงานดีกว่า เมื่อถามว่าคนขับรถต้องสงสัยเป็นทหารสังกัด กอ.รมน. ใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า การสอบสวนกำลังดำเนินการอยู่ ขณะนี้ตนจะไปสรุปเองไม่ได้

มีประชุมเช้ารอดปาฏิหาริย์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทราบข่าวการลอบสังหารนี้มานานหรือยัง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ถ้าจำได้ก็ประมาณ 2 สัปดาห์ มีตอนช่วงที่ตนลงเครื่องบินที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) ช่วงหลังที่เกิดอุบัติเหตุ คงต้องให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ผมยังไม่สามารถพูดอะไรได้ ส่วนการรักษาความปลอดภัยนายกฯและครอบครัวตอนนี้กำลังมีเพียงพอ เพียงแต่ตนต้องระมัดระวังหน่อย ถ้าจำได้เช้าวันเดียวกันนี้มีการประชุมเรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วมในเวลา 08.30 น.ซึ่งเดิมไม่มีกำหนดการอยู่ในตารางปฏิบัติงาน ทำให้ตนจึงต้องออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ ซึ่งปกติแล้วตนจะออกจากบ้านช้ากว่านี้ เพราะเนื่องจากจะเริ่มประชุมในเวลา 09.30 น. แต่พอวันนี้มีการขอเพิ่มวาระการประชุมในเวลา 08.30 น.ขึ้นมา จึงทำให้ตนออกจากบ้านเร็ว

เมื่อถามว่าแสดงว่าต่อจากนี้ไปจะมีการ เปลี่ยนเวลาซึ่งเป็นเวลาปกติในชีวิตประจำวันใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงมีบ้าง ซึ่งก็ต้องขออภัยสื่อมวลชนด้วยในเรื่องเวลากำหนดการของตนอาจมีการเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาบ้าง ส่วนภารกิจนอกพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล อะไรที่จำเป็นก็ไป อะไรที่สามารถให้ตัวแทนไปได้ช่วงนี้ก็ให้ตัวแทนไปก่อน เฉพาะในช่วงนี้จนกว่าการสืบสวนสอบสวนจะเสร็จสิ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูจุดประสงค์แล้วชัดเจนหรือไม่ว่าผู้ก่อเหตุมุ่งมาที่ตัวนายกฯโดยตรง พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนแถลงโดยตรงก็แล้วกัน ตนเองยังไม่ทราบผลการสอบสวน ส่วนจุดมุ่งหมายจะเป็นการเอาชีวิตของตนหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ ต้องถามฝ่ายสอบสวนให้เขาชี้แจงดีกว่า มนุษย์เกิดมาหนเดียวตายหนเดียว ส่วนครอบครัวของตนทุกคนก็ต้องระมัดระวัง

เรียกผบ.เหล่าทัพหารือ
หลังเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยกเลิกวาระกำหนดงานต่าง ๆ ช่วงบ่ายทั้งหมด จากนั้นได้เรียกผบ.เหล่าทัพหารือ พร้อมกับหน่วยความมั่นคง พล.ต.อ. จุมพล มั่นหมาย ผอ.สำนักข่าวกรอง เพื่อรายงานความคืบหน้าเหตุการณ์ รวมทั้งการออกมาตรการการรักษาความปลอดภัย ในขณะที่บริเวณบ้านพักจันทร์ส่องหล้า และบริเวณโดยรอบซอยจรัญฯ69 นั้นทางตำรวจ 191 ได้เพิ่มกำลังออกตรวจสอบรถทุกคันที่ขับผ่าน ส่วนการรักษาความปลอดภัยบริเวณทำเนียบรัฐบาลนั้นนอกจากจะมีการเพิ่มกำลัง เจ้าหน้าที่และความเข้มงวดในการเข้า-ออกทำเนียบก่อนหน้านี้แล้ว ปรากฏว่าในวันนี้ตำรวจได้ตรวจค้นรถยนต์ทุกคันที่เข้า-ออกบริเวณทำเนียบ รัฐบาลเช่นกัน แม้จะมีบัตรผ่านเข้า-ออกก็ตาม ส่วนรถที่ไม่มีบัตรผ่านนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า

แฉใช้ "รถแดวู" ถึง 2 คัน
ในระหว่างที่นายกฯร่วมหารือกับ ผบ. เหล่าทัพที่ตึกไทยคู่ฟ้า นายกฯ ได้ปรารภกับบรรดา ผบ.เหล่าทัพในตอนหนึ่งว่า "เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เพราะขณะที่ตนออกจากบ้านก็เห็นรถแดวูคันหนึ่งจอดเสียอยู่ และขณะที่รถของตนออกมาถึงปากซอยก็เจอรถแดวูอีกคันหนึ่งจอดอยู่ และก็มีกระสอบทรายวางด้านข้าง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการวางวิถีระเบิดให้พุ่งเป้ามาที่รถตนหากมีการจุด ระเบิด เชื่อว่าผู้ร่วมขบวนการครั้งนี้มีมากกว่าหนึ่งคน ซึ่งรปภ. ก็จำหน้าคนนั้นได้ ยังดีนะที่เมื่อเช้าออกมาทำงาน มาประชุมน้ำท่วมก่อนกำหนด และรถที่ใช้ก่อเหตุเจ้าหน้าที่ศรภ. ก็รู้อยู่แล้ว และเห็นว่ามาป้วนเปี้ยนอยู่แถว นั้นหลายวันแล้ว"

ขยายผลล่าทีมสังหาร
พล.ต.อ .จุมพล ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และทราบจากเจ้ากรมสรรพาวุธทหารบกว่า ระเบิดดังกล่าวพร้อมที่จะทำงานและมีอานุภาพรุนแรงพอสมควร และจากการประเมินเส้นทางพบว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะมีการลอบสังหาร นายกฯ ซึ่งคงต้องมีการปรับเรื่องการอารักขาความปลอดภัยนายกฯใหม่ให้เข้มข้นมากขึ้น คงต้องมีการปรับยุทธวิธีบ้าง แต่ไม่รู้สึกหนักใจอะไร ผู้สื่อข่าวถามว่าทราบหรือไม่ว่าเป็นฝีมือ ของกลุ่มใด ผอ.สำนักข่าวกรองตอบว่า ขณะนี้ตำรวจพอรู้บ้างแล้วกำลังดำเนินการสอบสวนขยายผลอยู่

"พัลลภ" ลั่นไม่เกี่ยวบึ้ม
ขณะเดียวกันที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ (กอ.รมน.) พล.อ. พัลลภ ซึ่งหลังจากถูกปลดกะทันหันจากตำแหน่งรอง ผอ.กอ.รมน. ได้แถลงเปิดใจท่ามกลางกำลังใจจากเจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมากว่า เรื่องมีความพยายามลอบสังหารรักษาการนายกฯนั้นเป็นเรื่องที่ผิดสังเกต เพราะตามข่าวทราบว่ามีการขับรถวนไปวนมาหลายรอบซึ่งทำอย่างนั้นทำไม เพราะถ้าทำจริงต้องมีสภาพระเบิดที่พร้อมทำงานไม่ใช่มีลักษณะแบบนี้ ถ้าสั่งวางระเบิดจริง ทำไมต้องให้ขับรถวนตั้ง 2-3 รอบ แล้วให้ตำรวจจับทำไมจะระเบิดก็ระเบิดทันที แล้วนี่ระเบิดก็ไม่พร้อมทำงาน อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมทำงาน ถ้าผมสั่งจริงทำไมต้องทำแบบนั้น

"จากประมวลเหตุการณ์ คือมันเป็นไปไม่ได้ในการที่จะลอบสังหารนายกฯ ผมนี่ทำงานอยู่ อย่างนี้ ผมจะไปทำอะไรท่าน เรื่องการต่อสู้ เรื่องแตกแยก มันเป็นเรื่องการเมือง ผมดูแลความมั่นคง ถ้าผมจะทำผมไม่ทำแบบนี้หรอกครับ ผมทำแนบเนียนกว่านี้เยอะ ในชีวิตผม ผมเป็นหัวหน้าชุดล่าสังหารมา เป็นหัวหน้ากองโจรมา ถ้าผมจะทำท่านนายกฯ เหรอ ผมรับรองว่าหนีไม่พ้นผม หรอก จริง ๆ แล้วผมไม่ทำแบบนี้"

น้อยใจไม่สอบถามก่อน
พล.อ.พัลลภ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นต่อว่า การถูกปลดจากตำแหน่งครั้งนี้ ไม่เสียใจหรอก เพียงแต่น้อยใจนิดหนึ่ง ถ้าท่านถามผมถึงข้อเท็จจริงก่อนสักนิดนึง แต่ถือว่าเป็นอำนาจของรักษาการนายกฯที่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามเคยบอกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อครั้งเคยมาชวนเข้าร่วมพรรคไทยรักไทยเมื่อ 5 ปีก่อน ว่า ตนจะยึดชาติและสถาบันเท่านั้นไม่ได้ยึดตัวบุคคล อันนี้นายกฯท่านทราบดี และผมก็ไม่เคยยึดติดตำแหน่ง เพราะฉะนั้นวันนี้ที่ท่านให้ผมพ้นจากตำแหน่ง รอง ผอ.รมน. อันนี้เป็นอำนาจของท่าน ผมไม่ตื่นเต้น และไม่ตกใจ

"ร.ท.ธวัชชัย"เคยขับรถให้
สำหรับ ร.ท.ธวัชชัย เคยเป็นพลขับรถให้ผมมาก่อน สมัยที่ยังเป็นผู้ช่วยเลขานุการรมว. กลาโหม ที่ผ่านมาได้ดึงตัวมาช่วยราชการด้านข่าว มอบหมายส่งเขาเป็นทีมลงไปทำงานเกี่ยวกับด้านการข่าวลับในภาคใต้ ตั้งแต่ 3-4 เดือน มาแล้ว เพราะภาคใต้ กอ.รมน.ยังรับผิดชอบอยู่นะครับ เพิ่งเจอกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เขาก็ไป ๆมา ๆ อยู่นะส่วนมาก 15 วันเขาก็ขึ้นมาพักที ส่วนเรื่องการเคยส่งทหารไปอารักขา พล.ต. จำลอง ศรีเมือง เนื่องจากเป็นเพื่อนกันมานาน แต่ทำไปในฐานะที่ดูแลด้านความมั่นคง เพราะรู้ว่าหากพล.ต.จำลอง เป็นอะไรไปในสถานการณ์แบบนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องรับผิดชอบ

"แม้ว" เรียกไปถามยินดีชี้แจง
พล.อ.พัลลภ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า จนถึงบัดนี้ตนยัง "งง" อยู่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ตนไม่ทราบว่า ร.ท.ธวัชชัย จะทำอย่างนั้นทำไม ตอนนี้ไม่อยากจะออกความเห็นอะไรเพราะยังมึนอยู่ และตนยังไม่เจอตัว ร.ท.ธวัชชัย เพราะตำรวจยังไม่ให้พบ อยากจะถามเหมือนกันว่าทำทำไม โดยส่วนตัว ร.ท.ธวัชชัยเป็นคนเฉย ๆ แต่เรื่องอย่างนี้ความจริงก็คือความจริง ส่วนที่จะให้ตนไปชี้แจงกับพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นตนคงไม่ไปเพราะปกติถ้าท่านไม่เรียกให้ไปชี้แจงตนก็ไม่เคยไปหา ถ้าท่านเรียกตนก็จะไปชี้แจง แต่ท่านไม่เห็นพูดอะไรที่ว่าได้ข่าวจะมีการลอบสังหารเพราะท่านปลดตนก่อนจะ สอบถามตนเสียอีก

"ตอนนี้พี่ยังมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เลย ส่วนร.ท.ธวัชชัย จะเดือดร้อนเรื่องเงินหรือเปล่าพี่ไม่รู้ รู้แต่ว่าสัก 2 ปีที่แล้ว พอย้ายหน่วยทางการก็จะเอาบ้านคืน พี่ก็ไปคุยให้เขาอยู่ต่อ พี่ยืนยันว่าไม่ได้ทำแน่นอนเพราะจะทำไปทำไมเรื่อง อย่างนี้ หากทำจะมีคนตายเป็นร้อยระเบิดที่รัศมีมันกว้างมาก พี่ไม่ใช่คนโหดร้ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าระเบิดเอามันแล้วประชาชนตายเป็นเบือ นั่นไม่ใช่วิสัยของคนอย่างพี่"พล.อ.พัลลภ กล่าวทิ้งท้าย

วงจรปิดจับภาพได้8ครั้ง
ต่อมาช่วงหัวค่ำวันเดียวกันที่กองปราบปราม พ.ต.อ.รุจิรัตน์ หลุ่มบุญเรือง พ.ต.อ. อนุชัย เล็กบำรุง และพ.ต.อ.ฉลองชัย บุรีรัตน์ รอง ผบก.ป. ได้ประสานข้อมูลกับทางนายทหารพระธรรมนูญ ร่วมกันตรวจสอบประวัติพบว่า ร.ท.ธวัชชัยไม่เคยมีประวัติเคยต้องคดีมาก่อน เริ่มเข้ารับราชการทหารตั้งแต่ชั้นประทวน เคยเป็นคนขับรถให้กับ พล.อ.พัลลภ กระทั่งได้เลื่อนยศเป็นชั้นสัญญาบัตรก็ถูกดึงตัวมาช่วยราชการที่ กอ. รมน. ได้รับมอบหมายให้ไปทำภารกิจทางภาคใต้ ส่วนการขยายผลถึงนาย "จ." ร.ท.ธวัชชัย ยังให้การว่าเป็นประชาชนธรรมดารู้จักกันมานานแล้วที่พัทยา จ.ชลบุรี หลังจากนั้นก็มีการติดต่อกันเรื่อยมา ทั้งนี้ภายหลังตำรวจได้แจ้งว่า พล.อ.พัลลภ ถูกปลดแล้ว ร.ท.ธวัชชัย ถึงกับอึ้งทำหน้าไม่เชื่อพูดว่า "ปลดได้ไง ท่านผิดอะไร"

ส่วนการรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้อง พนักงานสอบสวนได้ทำแผนที่จุดเกิดเหตุอย่างละเอียด รวมทั้งสอบปากคำเจ้าหน้าที่รปภ.นายกฯ ที่ร่วมจับกุมผู้ต้องหา และประสานขอเทปจากกล้องวิดีโอวงจรปิด (cctv) บริเวณโดยรอบบ้านพัก พ.ต.ท.ทักษิณ มีรายงานว่าสามารถบันทึกภาพรถต้องสงสัยยี่ห้อเดียวกันที่ขับเข้ามาวนเวียนใน เส้นทางดังกล่าวประมาณ 8 ครั้ง

สงสัยโยงบึ้มป่วนกรุง
ล่าสุดทางพล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช. ก. มอบหมายให้พล.ต.ต.อัศวิน รอง ผบช.ก. พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบก.ป. ประสานงานไปยังบช.น.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอข้อมูลคดีระเบิดตามสถาน ที่สำคัญต่าง ๆ ที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้มาตรวจสอบด้วย เนื่องจากเชื่อว่าอาจมีเบาะแสเกี่ยวกับวัตถุระเบิดที่เชื่อมโยงกับคดีนี้ได้ ส่วนความคืบหน้าในการหาหลักฐานเพิ่มเติมนั้น พล.ต.ต.อัศวิน สั่งการให้พ.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ผกก.ฝอ.ป. นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักอีกหลังของ ร.ท.ธวัชชัย เลขที่ 990/397 หมู่ 6 ตำบล-อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ส่วนกำลังอีกชุดนำโดย พ.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี รอง ผกก.ปพ. บก.ป. เดินทางไปยึดรถยนต์อีกคันของ ร.ท.ธวัชชัย ที่ลานจอดรถอาคารกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) มาตรวจสอบด้วย

ผบ.ทบ.รู้ข่าวเครียด
ภายหลังการประชุม สภากลาโหม พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. มีสีหน้าเคร่งเครียดและโทรศัพท์สอบถามข่าวจากหน่วยข่าวตลอดเวลา โดยพล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม ในฐานะประธานสภากลาโหม ได้เชิญพล.อ.สนธิ มาปรึกษาถึงเหตุการณ์ดังกล่าวถึง 2 ชั่วโมง ก่อนที่จะเรียก พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร.มาพบ ก่อนจะเดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อหารือถึงประเด็นดังกล่าว ทั้งนี้พล.อ.สนธิ เปิดเผยว่า กองทัพบกจะต้องส่งนายทหารพระธรรมนูญไปร่วมฟังการสอบถือเป็นระเบียบกติกา และนายทหารพระธรรมนูญก็จะ ต้องมารายงานให้ทราบอีกที อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ตนไม่ลำบากใจเพราะเป็นหน้าที่ใครหน้าที่มัน ส่วนเหตุการณ์นี้จะเป็นชนวนขยายวงกว้างของปัญหาหรือไม่นั้น คงต้องดูผลสอบสวนว่าเกิดอะไรขึ้น ในส่วนที่ว่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์หรือไม่ ยังไม่แน่ใจต้องรอผลการสอบสวนก่อน

แถลงยกเลิกภารกิจนายกฯ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า หลังจากสอบ ถามข้อมูลจากฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีราย ละเอียดพอสังเขปดังนี้ คือรถคันดังกล่าวนั้น ปรากฏว่าได้เคยตรวจสอบพบเห็นก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง เมื่อนายกฯได้เดินทางกลับมาที่สนามบินกองบินที่ 6 หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่ประเทศกัมพูชาเมื่อต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา สำหรับรถที่พบครั้งนี้มีระเบิดพร้อมเชื้อปะทุไฟฟ้า และฝักแคระเบิด ต่อวงจรรีโมตพร้อมทำงานเรียบร้อย ฝ่ายเจ้าหน้าที่เทคนิคได้ประเมินถึงอำนาจการทำลายล้างของระเบิดดังกล่าว ยืนยันว่ารัศมีการทำลายล้างคือ 1 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมชุมชนในระยะนั้น รวมทั้ง รร.พิมลวิทย์ มีเด็กนักเรียนกำลังเรียนหนังสืออยู่ ชี้ให้เห็นว่ามีความพยายามที่จะทำร้ายนายกฯ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในบริเวณ ใกล้เคียง

โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า ทางพล.อ.ธรรมรักษ์ รมว.กลาโหม พร้อมด้วยปลัดกระทรวงกลาโหม และ ผบ.ทุกเหล่าทัพ ที่ได้เดินทางเข้าพบนายกฯได้ให้กำลังใจนายกฯ และ ทางฝ่ายรักษาความปลอดภัยของนายกฯจึงได้เสนอให้นายกฯ ยกเลิกภารกิจที่จะไปตรวจเยี่ยมให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมใน ภาคเหนือในวันเสาร์ที่ 26 ส.ค. นี้ โดยมอบหมายให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และผู้บริหารระดับสูงลงพื้นที่แทน ส่วนภารกิจการประชุมเกี่ยวกับเขาพระวิหารร่วมกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่จะเดินทางไปในวันที่ 3 ก.ย. นั้น นายกฯ ก็ได้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศประสานไปที่ประเทศกัมพูชาว่าขอเลื่อนออกไป ก่อน

เร่งสาวถึงตัวกลุ่มบุคคล
นพ.สุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้นายกฯยังได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 160/2549 เรื่องให้พล.อ.พัลลภ รองผอ.กอ.รมน. 1 พ้นจากตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่าสาเหตุที่ปลดเกี่ยวข้องกับผู้ต้องสงสัยที่จับได้เป็นอดีต คนขับรถของพล.อ.พัลลภ หรือไม่ นพ. สุรพงษ์ กล่าวว่า ยังไม่เกี่ยวกัน เพราะยังอยู่ในขั้นการสืบสวนสอบสวนอยู่ เมื่อถามต่อว่าในรายงานของหน่วยข่าวกรองมีการระบุชื่อของบุคคลอื่นที่เกี่ยว ข้องอีกหรือไม่ นพ.สุรพงษ์ กล่าวยอมรับว่ามีการระบุชื่อบุคคลอื่น แต่ไม่ขอพูดถึงในรายละเอียด ขั้นตอนกำลังอยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวน ตนยังไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด แต่ทราบว่ามีการระบุชื่อบุคคลอื่นนอกเหนือจากผู้ต้องหาซึ่งเป็นกลุ่มบุคคล

"มาร์ค" ปัดเเสดงความคิดเห็น
ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้สัมภาษณ์หลังจากเดินทางกลับจากประเทศอินโดนีเซีย โดยปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นกรณีเหตุลอบวางระเบิดบ้านนายกฯ เพราะต้องการทราบข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก่อน ส่วนจะทำให้เหตุการณ์ความขัดแย้งบานปลายออกไปหรือไม่นั้น ตนเคยบอกแล้วว่าถ้าทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่ากฎหมาย มีความศักดิ์สิทธิ์ และมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง ก็จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ ส่วนเรื่องว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่มีการระบุว่าเป็นการวางแผนลอบสังหารนายก รัฐมนตรี ตรงนี้ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจง ส่วนกรณีนายกฯสั่งปลด พล.อ.พัลลภนั้น ตนยังไม่ทราบรายละเอียด คงต้องรอฟังก่อน แต่จะเป็นการสร้างสถานการณ์หรือไม่ คงต้องให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ชัดเจน

"ประสงค์" เหน็บจัดฉาก
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคง กล่าวว่า มีข้อพิรุธหลายประการ ทั้งในเรื่องอุปกรณ์ระเบิดที่ยังไม่พร้อมที่จะใช้งาน อีกทั้งเป็นทหารฝ่ายธุรการไม่รู้เรื่องระเบิด แถมยังรีบปลด พล.อ.พัลลภ ทันทีโดยไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบ ทั้ง ๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นประธาน กอ.รมน. อยู่ ตนจึงเชื่อว่า เป็นการจัดฉากเพื่อสร้างข่าวหวังกลบข่าวที่กำลังทำให้ตัวเองเพลี้ยงพล้ำ พ.ต.ท.ทักษิณระแวงแม้กระทั่ง พล.อ. พัลลภ ซึ่งเคยทำงานรับใช้รัฐบาลมาหลายเรื่อง แต่ยังถูกนำไปเชื่อมโยงกับ พล.ต.จำลอง ขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองถึงขั้นแตกหัก เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยประกาศจะเช็กบิลกลุ่มต่อต้านหลังเลือกตั้ง แต่เมื่อสถานการณ์การต่อต้านบานปลายจึงต้องหาวิธีที่ขุดรากถอนโคน ซึ่งไม่แน่ว่าการจัดฉากในครั้งนี้อาจนำไปสู่การประกาศมาตรการ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม

อย่าโบ้ยส่งให้ "พันธมิตรฯ"
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า มองได้สองมุม ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าสังคมไทยตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่ความรุนแรงไม่ เว้น แม้บ้านพักผู้นำประเทศ ต้องไม่ลืมว่าบางนโยบายของรัฐบาล อาจสร้างศัตรูจนถึงขั้นวางแผนลอบสังหารขึ้นก็ได้ อีกมุมมองคืออาจสร้างสถานการณ์ของฝ่ายรัฐ เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวปล่อยแผนลอบสังหารผู้นำจากคนในรัฐบาลเป็นระยะ ๆ กล่าวหาทั้งกลุ่มผู้มีบารมีและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพยายามโยงข่าวความรุนแรงกับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ มาตลอด อย่าป้ายสีพันธมิตรฯว่ามีส่วนรู้เห็น เพราะจุดยืนคือการเคลื่อนไหวอย่างสันติ ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ

ส่งผลศก.ทางตรง-อ้อม
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กก. ผู้จัด การใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เหตุการณ์วางระเบิดที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากนักลงทุนเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียด ส่งผลให้เลื่อนการลงทุนออกไป ขณะที่นายสาธิต ชาญเชาว์กูล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดความกังวล แต่ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อภาคเอกชน เพราะการลงทุนดูจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นหลัก อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์บานปลายความกังวลก็จะเพิ่มขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจเเน่

สื่อนอกกระพือข่าวทั่วโลก
สำนักข่าวต่างประเทศทั้งเอพี, เอเอฟพี และรอยเตอร์ รายงานข่าวและภาพข่าวเผยแพร่ไปทั่วโลกในวันเดียวกันนี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำลายแผนการวางระเบิดที่ซุกซ่อนในรถยนต์คันหนึ่งใกล้กับ บ้านพักของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมกับจับกุมผู้ต้องสงสัยไว้ได้ 1 คน ทราบว่าเป็นทหารกองทัพบกยศร.ท. ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ภายในรถยนต์พบระเบิด ทั้งทีเอ็นที, ซีโฟร์, เชื้อปะทุ และปุ๋ยยูเรียใส่ถังน้ำมัน ซึ่งมีอานุภาพในการทำลายล้างสูง ส่วนทีมรักษาความปลอดภัยของนายกฯเปิดเผยด้วยว่า ได้รับข้อมูลเบาะแสมานานหลายเดือนแล้วว่า จะมีการก่อเหตุร้ายด้วยระเบิดในรถยนต์หรือคาร์บอมบ์จึงร่วมมือกับตำรวจในการ สอบสวนจนกระทั่งพบผู้ต้องสงสัยและจับกุมได้ในที่สุด

ถ้าพลเรือนเอี่ยวขึ้นศาลอาญา
ด้าน พล.อ.อัฏฐพร เจริญพานิช เจ้ากรมพระธรรมนูญ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางกองทัพบกได้ส่ง ผอ.กองพระธรรมนูญ เข้าไปดูแลรับฟังการสอบสวนในคดีการจับกุม ร.ท.ธวัชชัย ทั้งนี้ตำรวจมีอำนาจในการควบคุมตัวในการสอบสวน ร.ท.ธวัชชัย อยู่ไม่เกิน 48 ชม. และต้องมาขออำนาจศาลในการฝากขังต่อไปได้อีก 12 วัน แต่เมื่อตำรวจยังสอบสวนไม่เสร็จก็สามารถมาขออำนาจศาลได้อีก โดยตามกฎหมายสามารถฝากขังได้ไม่เกิน 84 วันตามขั้นตอน เมื่อผลสอบสวนเสร็จพบว่า ร.ท.ธวัชชัย มีความผิดตำรวจก็จะทำสำนวนส่งฟ้องให้อัยการทหาร และให้อัยการ ทหารพิจารณาสำนวนตามหลักฐานที่ตำรวจส่งฟ้อง แต่หากหลักฐานมีมูลความผิดก็จะส่งฟ้องศาลทหารต่อ

อย่างไรก็ตามขณะ นี้กำลังรอผลการสอบสวนของตำรวจอยู่ว่า ร.ท.ธวัชชัย ทำผิดเพียงคนเดียวหรือไม่ หากทำเพียงคนเดียวก็จะถูกดำเนินคดีทางศาลทหาร หากมีพลเรือนมาร่วมในการวางแผนในการเตรียมระเบิดครั้งนี้ ถือเป็นคดีปะปนก็จะต้องขึ้นศาลอาญา ดังนั้นการจะขอคุมขังต่อไปก็จะต้องไปขออำนาจของศาลอาญาต่อไป

เพื่อนร่วมรุ่น “จปร.7” ฮึ่ม ๆ
ขณะที่กลุ่มนายทหารเพื่อนร่วมรุ่น จปร.7 ของพล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เชื่อว่าพล.อ.พัลลภ จะทำเช่นนั้น เพราะดูจาก รายละเอียดที่เกิดขึ้นแล้วไม่น่าจะสมเหตุสมผล และไม่น่าจะเป็นไปได้ “เราเป็นเพื่อนมานาน รู้มือกันดีว่าอย่างนี้ไม่ใช่มันสั่งแน่ ที่ผ่านมาทราบดีว่ามีหน่วยข่าวใกล้ตัวนายกฯ ไปรายงานข่าวใส่ความ สาเหตุน่าจะมาจากเรื่องส่งคนไปช่วย พล.ต. จำลอง เพราะมีข่าวว่าจะโดนเล่น ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมา รัฐบาลก็แย่ ที่แสบคือเมื่อเช้ามีตำรวจกองปราบฯ โทรศัพท์มาหาผู้ใหญ่เตือนว่า มีคนไปรายงานนายกฯว่า “พี่หมึก” อยู่ในข่ายต้องสงสัยลอบสังหารนายกฯ ไอ้พวกนี้มันแสบอยู่เฉย ๆ ยังมายุ่งอีก ไม่รู้ทำงานกันอย่างไร ลองไปดูและตรวจสอบการทำงานด้านการข่าวของตัวเองกันสักหน่อยว่าทำงานกันเป็น หรือเปล่า.

----------------------------------------------------------------

'พล.ต.สมาน' โผล่ ปัดพัลวัน โต้บึมคาร์บอมบ์

จากเหตุการณ์คดีลอบสังหารผู้นำประเทศ หลังหน่วยอรินทราช 26 ที่ติดตามอารักขานายกรัฐมนตรีล็อกตัว ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ นายทหารสังกัดกองบัญชาการกองทัพบก ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) อดีตคนขับรถ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี คาเก๋งยี่ห้อแดวู ทะเบียน ฐฉ 3085 กรุงเทพมหานคร บรรทุกระเบิดทีเอ็นที และซีโฟร์ต่อวงจรพร้อมจุดระเบิดอยู่บริเวณใต้สะพานข้ามแยกบางพลัดเส้นทางที่ขบวนรถของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใช้ประจำ เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง ก่อนตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการที่อยู่เบื้องหลังต้องสงสัย มีนายทหารยศ พล.ต. และ พ.อ.สังกัด กอ.รมน.ร่วมวางแผนด้วย

พี่ชายรุดเยี่ยมยังเชื่อน้องบริสุทธิ์

ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 ส.ค. จ.ส.อ.อิทธิพล กลิ่นชะนะ พี่ชายของ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ผู้ต้องหาคดีมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เดินทางเข้าเยี่ยมน้องชายที่ห้องคุมขังกองปราบปราม ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เนื่องจากเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ไม่ใช่เวลาที่จะสามารถอนุญาตให้เยี่ยม แต่ ผู้บังคับบัญชาเห็นว่าเดินทางมาไกลจากจังหวัดราชบุรีจึงอนุญาตให้เยี่ยมได้ชั่วคราว หลังจากนั้น จ.ส.อ.อิทธิพลเปิดเผยแก่ผู้สื่อข่าวว่า ยังไม่เชื่อว่าน้องทำจริง เพราะเป็น คนดี แต่ขณะนี้คงไม่มีเวลาระบายความในใจ หรือพูดคุยอะไรให้ตนฟังได้มากนัก เพราะถูกจำกัดเวลาเข้าเยี่ยมได้แค่ยืนคุยกันห่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้มงวดมาก แม้แต่ อาหารการกินที่ตนซื้อข้าวมันไก่มาฝากยังถูกห้ามนำเข้า ให้กินอาหารเฉพาะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดไว้ให้เท่านั้น

ชื่นชม “ทักษิณ” ไม่น่าลอบฆ่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้หารือกับทนายความเกี่ยวกับ การหาพยานหลักฐานที่จะใช้ต่อสู้คดีแล้วหรือไม่ จ.ส.อ. อิทธิพลกล่าวว่า เชื่อว่าที่น้องพูดไปนั้นเป็นความจริง 90 เปอร์เซ็นต์ ที่ว่าเพื่อนจ้างวานให้ไปเอารถแดวูคันดังกล่าว พอขึ้นรถก็ถูกตำรวจจับ โดยไม่ทันได้ขับออกไป และไม่รู้เรื่องว่า มีวัตถุระเบิดซุกซ่อนไว้ในรถ สำหรับเพื่อน ที่น้องชายอ้างชื่อนายจุ้ยที่วานให้มาเอารถนั้นคงจะต้องนำมาเป็นพยานด้วย “ความจริงอยากให้ย้ายน้องไปอยู่ในความควบคุมของทหาร เพราะเชื่อมั่นในความเป็นกลางมากกว่า และปกติน้องก็เป็นคนชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างมาก ไม่น่าจะก่อเหตุลอบสังหารตามที่ถูกกล่าวหา”

ตรวจแยกลายนิ้วมือหาผู้ร่วมแก๊ง

สำหรับความคืบหน้าในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแกะรอยผู้ร่วมขบวนการที่อยู่เบื้องหลัง วันเดียวกัน พนักงานสอบสวนได้เชิญเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่งานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด บก.ตปพ. รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่เกิดเหตุและมีโอกาสสัมผัสกับของกลางทุกรายการ มาสอบปากคำเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนพิมพ์ลายนิ้วมือของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเก็บไว้เป็นหลักฐานตรวจเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือแฝงที่ปรากฏอยู่ตามวัตถุพยานทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นรถของกลาง ตัววัตถุระเบิดและอุปกรณ์ประกอบ เช่น แกลลอนน้ำมัน เพื่อแยกลายนิ้วมือแฝงของผู้ต้องสงสัยออกจากกลุ่มเจ้าหน้าที่

เช็กโทรศัพท์ล่ามือรีโมต

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดียังนำเทปบันทึกภาพเหตุการณ์ที่หน่วยอรินทราช 26 ซึ่งทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี ได้บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไปตรวจวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของกลุ่มคนร้าย และหาภาพบุคคลต้องสงสัยที่อาจอยู่ร่วมขบวนการแล้วเข้ามาปะปนอยู่ในกลุ่มไทยมุง เพื่อสังเกตการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่ทีมสืบสวนบางส่วนมุ่งแกะข้อมูลเชื่อมโยงหาการติดต่อทางโทรศัพท์มือถือระหว่าง ร.ท. ธวัชชัยกับผู้ร่วมขบวนการในช่วงเวลาก่อนถูกจับกุม หวังใช้เป็นเบาะแสสำคัญสาวไปถึงมือสังหารที่ถือรีโมตคอนโทรลจุดชนวนระเบิดในเหตุการณ์ระทึกขวัญเขย่ากรุงตอนสายวันเกิดเหตุ

โฆษก ตร.ย้ำอย่าพาดพิงใคร

เวลา 13.00 น. พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปที่กองปราบปรามรับฟังรายงานสรุปความคืบหน้าของคดีตลอด 2 วันที่ผ่านมา จากคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนก่อนเปิดเผยว่า ขอให้อดใจรอ เชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากข่าวสารเพิ่มเติม ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม คือ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐาน คิดว่าไม่นานคงได้ข้อยุติที่เหมาะสม ขอย้ำว่า ขณะนี้อย่าได้พาดพิงถึงใคร การวิพากษ์วิจารณ์ขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกมาวิจารณ์ โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไร

พล.ต.-พ.อ.ยังเป็นแค่ข่าว

ส่วนจะมีการดำเนินคดีในข้อหาลอบทำร้ายผู้นำประเทศเพิ่มเติมหรือไม่นั้น โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า ความผิดของผู้ต้องหาอยู่ในขั้นเตรียมการ กฎหมายยังถือว่าไม่มีความผิด เจ้าหน้าที่จึงแจ้งเพียงข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน สอบสวนไปตามกระบวนการของกฎหมาย แต่การสืบสวนจะเป็นอย่างไรอีกประเด็นหนึ่ง ชั้นนี้อยู่ที่การสอบสวนในคดีมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองเป็นหลัก จะเชื่อมโยงใครหรือไม่นั้นก็ว่ากันไป ขอความกรุณาให้ทุกฝ่ายรอคอยกระบวนการยุติธรรม เชื่อว่าในที่สุดจะมีข้อยุติที่ถูกต้องและเหมาะสมได้ เมื่อถามถึงกระแสข่าวมี พล.ต.และ พ.อ.เกี่ยวข้องการวางแผน พล.ต.ท.อชิรวิทย์กล่าวว่า เป็นแค่ข่าว ต้องว่ากันไปตามพยานหลักฐานผลการตรวจพิสูจน์ และการสืบสวนสอบสวน ถ้าออกมาอย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงแน่นอน

เมียตั้งทนายเตรียมสู้คดี

ต่อมาในช่วงเย็น นางสังวรณ์ กลิ่นชะนะ ภรรยาของ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ พร้อมญาติและทนายความเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนขอเยี่ยมผู้ต้องหา โดยนำอาหารและผลไม้ติดมือมาฝากด้วย แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้นำของกินเข้าไปได้ ตามคำสั่งเข้มงวดของผู้บังคับบัญชา ก่อนเดินทางกลับโดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม นางสังวรณ์ได้นำเอกสารตั้งทนายความให้นายทหารผู้ต้องหาเซ็นชื่อไว้ต่อสู้คดีแล้ว มีนายศิริชัย ภักดี เป็นทนายรับทำคดีเตรียมใช้หลักทรัพย์มูลค่า 1 ล้านบาท ยื่นขอประกันตัวต่อศาลทหารในเวลา 11.00 น. วันที่ 28 ส.ค. นี้

ตามรอยเจ้าของคาร์บอมบ์

มีรายงานว่า คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนนำโดย พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. พ.ต.อ.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.รุจิรัตน์ หลุ่มบุญเรือง รอง ผบก.ป. ได้สั่งการให้ชุดสอบสวนนำรูปถ่ายรถเก๋งแดวู และรูปของ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ออกหาข้อมูลตามเส้นทางที่คาดว่าผู้ต้องหาจะเดินทางไป ตั้งแต่เวลา 05.45 น. วันที่ 24 ส.ค. หลังจากขับรถออกจากสวนรื่นฤดี เพื่อหาพยานแวดล้อมประกอบสำนวนคดี ขณะที่การตรวจสอบรถพาหนะในการบรรทุกระเบิดพบว่า มีผู้เช่าซื้อไปแล้วหลบหนีไฟแนนซ์ไม่ยอมผ่อนชำระเงินต่อ ตำรวจกำลังติดตามหาตัวผู้ครอบครองรายสุดท้ายมาสอบสวนอย่างเร่งด่วน เพื่อคลี่คลายประเด็นของพาหนะคาร์บอมบ์ ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยตามเป้าหมายที่ชุดสืบสวนมีรายชื่ออยู่หรือไม่

จับตา “คนมีสี” ผู้ชำนาญการบึม

ด้าน พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รอง ผบช.ก. พล.ต.ต. วินัย ทองสอง ผบก.ป. สั่งการให้ชุดสืบสวนกองปราบปรามเข้าตรวจสอบกลุ่มบุคคลในเครื่องแบบทั้งผู้บังคับบัญชาระดับสูง และเพื่อนใกล้ชิดกับ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญการประกอบวัตถุระเบิดหลายกลุ่ม เบื้องต้นพบมีจ่าทหาร 2 นาย ที่ชุดสืบสวนกำลังอยู่ระหว่างติดตามความเคลื่อนไหว มีทีม พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี รอง ผบก.หัวหน้าศูนย์สืบสวน บช.น. หาข่าวจากกลุ่มคนมีสี ระดับผู้กว้างขวางที่เกี่ยวข้องกับการคุมสถานบริการและทวงหนี้นอกระบบ ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องระเบิด มีประวัติพัวพันคดีระเบิดหลายแห่งในพื้นที่นครบาลและปริมณฑลในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อดูความเชื่อมโยงกับกลุ่มนายทหารต้องสงสัยลอบสังหารหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในเครือข่ายของร้อยโทสังกัด กอ.รมน. รายนี้ด้วย

นายพลทหารนอกราชการโผล่ปฏิเสธ

ขณะเดียวกัน พล.ต.สมาน เกษรอินทร์ อายุ 66 ปี อดีตนายทหารประจำกองทัพบกออกมาเปิดเผยว่า หลังเกิดกระแสข่าวมีนายทหารยศ พล.ต.ร่วมพัวพัน รู้สึกไม่ สบายใจ และคิดว่าตัวเองอาจต้องเดือดร้อนด้วย เพราะก่อนหน้าเพียงวันเดียวได้โทรศัพท์ติดต่อไปหา ร.ท.ธวัชชัย ซึ่งเป็นลูกน้องเก่า แต่ไปทำงานอยู่กับ พล.ต.ไพบูลย์ ไผ่นาค นายทหารสังกัด กอ.รมน. นัดหมายว่า วันรุ่งขึ้นจะแวะเอาฝรั่งไปฝาก พล.ต.ไพบูลย์ ที่ที่ทำงาน เมื่อถึงแล้วจะโทรศัพท์ให้ ร.ท.ธวัชชัย เดินลงมาเอาชั้นล่าง

ยอมรับโทรศัพท์คุย “ร.ท.ธวัชชัย”

พล.ต.สมานกล่าวต่อว่า กระทั่งสายวันเกิดเหตุ ร.ท.ธวัชชัย โทรศัพท์เข้ามาหาอ้างว่า “ถูกตำรวจล็อก” ตนเข้าใจว่าโดนล็อกล้อเลยขอสายคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในที่เกิดเหตุพยายามอธิบายว่า ร.ท.ธวัชชัยเป็นลูกน้องที่ช่วยงานกัน รบกวนอำนวยความสะดวกให้ด้วย ก่อนวางสายไป “มารู้ข่าวทางโทรทัศน์ว่า ร.ท.ธวัชชัยถูกจับขับรถขนระเบิดก็ตกใจ พยายามโทรศัพท์เข้ามือถือกลับไป หลายครั้งก็ติดต่อไม่ได้ คิดในใจว่าอาจต้องเดือดร้อนด้วย เพราะมีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน จึงอยากชี้แจงทำความเข้าใจในความบริสุทธิ์ และพร้อมจะให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ” นายพลทหารนอกราชการกล่าว

“ทักษิณ” หลบนักข่าวออกจากบ้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางออกจากบ้านซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 โดยสั่งให้รถนำขบวนและรถตำรวจชุดรักษาความปลอดภัยจำนวน 3 คัน ขับลวงกลุ่มผู้สื่อข่าวที่เฝ้าอยู่บ้านรับรองจันทร์ส่องหล้าเป็นรถตำรวจกองปราบ ปรามขับนำออกจากบ้านรับรองจันทร์ส่องหล้าไปทางหน้าปากซอยด้านถนนบรมราชชนนี แล่นช้าๆไปทางถนน จรัญสนิทวงศ์ ขณะเดียวกัน รถตำรวจติดตามคันหนึ่งไปเลี้ยวกลับรถลอดใต้สะพานข้ามแยกบางพลัดแล่นไปตามถนนบรมราชชนนีขาออก ผ่านหน้าห้างตั้งฮั่วเส็ง ส่วนอีกคันไปโผล่ออกที่ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 71 เพื่อหลอกล่อไม่ให้รถผู้สื่อข่าวติดตามได้ถูก ทำให้ขบวนรถของผู้สื่อข่าว ต่างพากันงงงัน แต่สังเกตได้ว่าไม่มีรถของนายกฯแล่นอยู่ ข้างหน้าแต่อย่างใด จึงพากันถอยกลับไปปักหลักกันที่ บ้านรับรองจันทร์ส่องหล้า ต่อมาทราบภายหลังว่า พ.ต.ท. ทักษิณหลบออกจากบ้านไปก่อนหน้านั้นแล้ว ใช้รถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจติดตามเป็นรถนำขบวน

แอบไปตีกอล์ฟกับ “สุริยะ-เพ้ง”

ผู้สื่อข่าวได้พยายามโทรศัพท์เช็กข่าวกันจ้าละหวั่น เพราะมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไปออกรอบตีกอล์ฟที่สนาม กอล์ฟแห่งใดแห่งหนึ่ง จึงตระเวนไปสำรวจตามสนามกอล์ฟ ย่านบางนาที่ พ.ต.ท.ทักษิณมักไปออกรอบประจำ แต่ก็ไม่มีวี่แวว จนกระทั่งทราบภายหลังว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปออกรอบกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรคไทยรักไทย นายประยุทธ มหากิจศิริ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รองเลขาธิการพรรค ไทยรักไทย ที่สนามกอล์ฟอมตะสปริง คันทรีคลับ ซึ่งเป็น สนามกอล์ฟของนายวิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของธุรกิจอสังหา ริมทรัพย์อมตะนคร ตั้งอยู่ที่ อ.เมืองชลบุรี ทั้งนี้ สนาม กอล์ฟดังกล่าว เป็นสถานที่สงวนให้เฉพาะสมาชิกและแขก ของสมาชิกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณตีกอล์ฟไปถึงหลุมที่อยู่ใกล้กับถนนด้านหน้ามากที่สุด ตำรวจติดตามต่างก็พากันมายืนอารักขาเป็นจุดๆอย่างใกล้ชิด และกันช่างกล้องของสถานีโทรทัศน์ที่ติดตามไป ทำข่าวไม่ให้เดินขึ้นไปบนเนินที่สามารถถ่ายภาพก๊วนกอล์ฟได้ ก่อนเดินทางกลับตอนเวลา 16.00 น.

เผยเพิ่มแผน รปภ.คุ้มกันขั้นสูงสุด

พล.ต.ต.อรรถกฤษ ธารีฉัตร ผบก.ส.3 หัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การรักษาความปลอดภัยนายกฯ เจ้าหน้าที่ต้องทำทุกอย่างเต็มมาตรการ เนื่องจากตกเป็นเป้าหมายลอบสังหาร มีกลุ่มต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อให้นายกฯเสียชีวิต นอกจากลอบวางระเบิดแล้ว ยังมีวิธีอีกหลายวิธี เจ้าหน้าที่ทุกนายที่ทำหน้าที่รักษา ความปลอดภัยจำเป็นต้องเพิ่มความสังเกต และระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ขณะนี้มีการสั่งเพิ่มกำลังทีม รปภ.ทั้งฝ่ายทหาร และตำรวจ ต่อไปนี้ภารกิจส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีที่ออกจากบ้านคงต้องปกปิดเป็นความลับ เพิ่มมาตรการรักษา ความปลอดภัยบริเวณรอบบ้านขั้นสูงสุด กำชับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องตรวจสอบบุคคลและรถยนต์ทุกคันที่เข้า-ออกบ้านพัก ทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคไทยรักไทย และสถานที่ทุกแห่งที่มีกำหนดเดินทางของนายกฯ เพราะสถานการณ์ไว้วางใจไม่ได้ ถือเป็นภัยคุกคามผู้นำประเทศที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต้องเตรียมความพร้อมตลอดเวลา

ทรท.วอนผู้ต้องหาซัดทอดผู้บงการ

ที่พรรคไทยรักไทย น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย และนายจตุพร พรหมพันธุ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย ร่วมกันแถลงถึงความคืบหน้าเหตุการณ์วางระเบิดลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า กรณีที่มีการวิจารณ์กันว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการจัดฉากนั้น อยากให้มองว่ากรณีนี้มีผู้ต้องหาและหลักฐานชัดเจน และจะต้องรับโทษสถานหนัก เบื้องต้นทราบว่ายังพบหลักฐานเพิ่มเติมที่บ้านผู้ต้องหาและโยงใยไปยังบุคคลต่างๆแล้ว ตำรวจจะสอบสวนให้ถึงที่สุดว่าใครเป็นคนบงการ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ถือว่ามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ จะปฏิเสธข้อหาว่าไม่รู้ไม่ได้ ขอเรียกร้องให้ ร.ท. ธวัชชัยทำประโยชน์ให้ประเทศเพื่อลบล้างความผิด โดยเปิดเผยเบื้องหลังทั้งหมดว่าใครเป็นผู้บงการบ้างและต้องการสิ่งใด

“เนวิน” เตรียมฟ้องกลับ “สนธิ”

นายจตุพรกล่าวว่า การกล่าวหาว่ารัฐบาลจัดฉากนั้น อยากถามว่าคนพูดต้องการให้เกิดโศกนาฏกรรม ต้องมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินก่อนหรืออย่างไร การสอบสวนขยายผลควรเป็นหน้าที่ของตำรวจ ผู้ใดที่ไม่เกี่ยวข้องอย่าเบี่ยงประเด็น เพราะเรื่องนี้สุดท้ายแล้วจะจบลงที่ศาล ส่วนที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่านายเนวิน ชิดชอบ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้นั้น ทราบว่าขณะนี้นายเนวินกำลังรวบรวมข้อมูลหลักฐานเพื่อมอบให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคไปฟ้องร้องนายสนธิ ข้อหาหมิ่นประมาทและใส่ร้าย การฟ้องร้องคงมีขึ้นภายในสัปดาห์หน้า

อัดยับ “จำลอง” สติแตก

นายจตุพรกล่าวด้วยว่า ที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่าอย่าประกาศศึกกับ จปร.รุ่น 7 นั้น ไม่ทราบว่า พล.ต.จำลองได้ข้อมูลจากที่ไหน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณระบุชัดเจนตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดว่า พล.ต.จำลองและ จปร.รุ่น 7 ไม่เกี่ยวข้อง ฉะนั้นควรฟังความให้ชัดก่อน ความจริงเมื่อปี 2535 พล.ต.จำลองเคยเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง แต่ในปี 2549 กลับเรียกร้องให้นายกฯมาจากการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ชี้ให้เห็นว่าเป็นการแสดงออกบนพื้นฐานอคติ สร้างความแตกแยกให้สังคม ทั้งที่เป็นผู้ถือศีลแปด แต่วันนี้กลับสติแตกมากที่สุด สำหรับกรณีที่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่ากองโฆษกพรรคไทยรักไทยอยู่เบื้องหลังกลุ่มรากหญ้าที่เดินทางไปบ้านสี่เสาเทเวศร์ ขอพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อขอชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีใครกล้าคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของ พล.อ.เปรม ขออย่าโยงเรื่องให้ประชาชนเข้าใจผิด ควรยุติการจับแพะชนแกะชักจูงคนทะเลาะกันได้แล้ว

“อภิสิทธิ์” จี้ตำรวจแจงข้อกังขา

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นที่มีการระบุว่ารัศมีของระเบิดจะทำอันตรายได้ถึง 1 กิโลเมตร ทั้งที่ถ้าเทียบกับการก่อเหตุลักษณะเดียวกันในต่างประเทศกลับมีรัศมีทำการไม่กี่เมตร ซึ่งการออกมาให้ข้อมูลเช่นนี้ทำให้ประชาชนหวั่นไหว อีกทั้งตอนกู้ระเบิดก็ไม่มีการอพยพผู้คนออกจากพื้นที่เพื่อให้พ้นรัศมีของระเบิดตามที่มีการกล่าวอ้าง นอกจากนี้อยากให้เจ้าหน้าที่เร่งหาข้อเท็จจริงโดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าไปชี้นำ ขอให้ยึดหลักความจริง อย่างตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพิ่งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีข่าวว่ามีการลอบวางระเบิดเครื่องบินลำที่นายกฯจะโดยสาร แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการระเบิดจากความขัดข้องของระบบภายในเครื่องบินเอง แต่ก็ไม่เคยมีการทำให้ความจริงปรากฏต่อสังคม ดังนั้น จึงอยากให้สังคมมีสติ

ท้าจับ 4 ทหารร่วมทีมสังหาร

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ตำรวจตัดประเด็นเรื่องสร้างสถานการณ์ออกไปทำให้รูปคดีพุ่งไปที่การพยายามลอบสังหารเพียงอย่างเดียว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงต้องรอการวินิจฉัยของศาลก่อน เมื่อถามว่านายกฯระบุว่ามีทหารอีก 4 นายร่วมอยู่ในแผนการครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้ามั่นใจถึงขนาดนั้นก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ต้องมีการจับกุมทันที อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะ กล่าวหาใคร หรือตัดสินว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ แต่ อยากให้ทุกคนมองเหตุการณ์ในพื้นฐานของความเป็นจริง

อัดนายกฯปากไวชี้นำรูปคดี

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้เกิดการวิจารณ์กันอย่างมากว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างสถานการณ์ โดยเกิดจาก 2 สาเหตุคือ 1. องค์ประกอบต่างๆทำให้เชื่อได้ว่าไม่น่าเป็นการลอบสังหาร 2. ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในตัวนายกฯและรัฐบาล ทำให้เหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง จึงมีคำถามเกิดขึ้นมากมายเช่นพบระเบิดในรถต้องสงสัย แต่อีกไม่นานนายกฯก็ฟันธงว่าเป็นระเบิดที่ต้องการทำลายขบวนรถของนายกฯ ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวน คำถามคือทำไมต้องรีบออกข่าวว่าระเบิดลอบสังหารนายกฯ แทนที่จะขยายผลไปถึงผู้บงการ และควรแสดงความรับผิดชอบที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดการขนระเบิดอานุภาพรุนแรงกลางเมืองหลวง รัฐควรมีมาตรการสืบสวนสอบสวนอย่างชัดเจนว่าระเบิดดังกล่าวมาจากหน่วยงานไหน

“เสธ.หนั่น” ฉะตำรวจทำเกินกว่าเหตุ

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยขนระเบิดเตรียมลอบสังหารนายกรัฐมนตรีว่า ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นการสร้างสถานการณ์ เพราะไม่ได้เข้าไปใกล้ชิดกับสถานการณ์หรือการสอบสวนของตำรวจ แต่รู้สึกตำรวจสร้างสถานการณ์จนเกินขอบเขต จับทหารเพียงคนเดียว ตำรวจใช้กำลังพลเป็นร้อยไปหิ้วปีกยิ่งกว่าผู้ก่อการร้าย ขณะที่ผู้ต้องหาอ่อนเพลียยืนหมุนไปหมุนมา “การกระทำของตำรวจต่อทหารควรให้ เกียรติกันบ้าง หรือแม้แต่ผู้ต้องหาที่เป็นประชาชนธรรมดา การประพฤติปฏิบัติต้องให้เขามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บ้าง ขอตำหนิตำรวจว่าเป็นการกระทำอันแสนทุเรศ ฝากถึง ผบ.ตร.ว่าการให้คนมาจับแบบฉุกเฉินแบบนี้ ทำไม่ถูกขั้นตอน แม้ตรวจพบวัตถุระเบิดที่มีอานุภาพรุนแรง แต่ ไม่รู้ว่าสอบสวนครบถ้วนจริงหรือไม่ เราได้ฟังแต่ตำรวจ ตำรวจอยากจับก็บอกว่าครบถ้วน คนไม่รู้เรื่องเลยออกมาพูดฉอดๆ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ไปใส่ว่าเป็นการลอบสังหารนายกฯ วันนี้รัฐบาลไม่ได้คำนึงถึงความแตกแยกของคนในชาติ และจะพาไปถึงความแตกแยกของข้าราชการทหารกับตำรวจ ต่อไปนี้จะเกิดการไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เท่ากับซ้ำเติมสถานการณ์เข้าไปอีก”

โวยปลด “พัลลภ” โดยไม่สอบสวน

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเห็นอย่างไรที่เหตุการณ์ดังกล่าวมีการโยงไปถึง พล.อ.พัลลภ ปิ˜นมณี อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. พล.ต.สนั่นตอบว่า ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ เคยเป็นคนขับรถของ พล.อ.พัลลภ ตำรวจจึงพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.พัลลภ แต่ยังไม่ทันมีการสอบสวนเลยว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ส่วน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เพื่อนร่วมรุ่น จปร.7 ได้ทำจดหมายเปิดผนึกไปแล้ว เมื่อถามว่ามีการโยงไปถึงทหารอีก 4 คน จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างทหารกับตำรวจรุนแรงขึ้นอีกหรือไม่ พล.ต.สนั่นตอบว่า ต้องดูข้อเท็จจริง แต่ไม่น่าจะมีใครคิดลอบสังหารนายกฯ ส่วนในหมู่ทหารจะมีความรู้สึกไม่ดีหรือไม่นั้น ตนเป็นอดีตทหารยังรู้สึกไม่ดีเลย เพราะดูแล้วยากจะเป็นไปได้ ดังนั้นต้องมีการสอบให้ชัดเจนว่าใครสั่งให้ไปขับรถออกจากสวนรื่นฤดี ต้องสอบให้ชัดว่าคนสั่งเป็นเพื่อนหรือผู้บังคับบัญชาระดับไหน แล้วจะกระจ่างว่าสร้างสถานการณ์ หรือลอบทำร้าย

เตือนอย่าลาก “ป๋าเปรม” มาเอี่ยว

พล.ต.สนั่นกล่าวว่า นอกจากนี้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพรรคไทยรักไทยที่มีการจัดตั้งกลุ่มรากหญ้าไปที่บ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อขอชีวิตนายกฯ เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง พล.อ.เปรมเป็นกลาง ไม่ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ขอประณามคนที่จัดตั้งขบวนการลักษณะนี้ และเห็นว่าลิ่วล้อนายกฯที่ทำแบบนี้น่าจะถูกจับไปประหารชีวิตให้หมด ทั้งไอ้ห้อยไอ้โหนอย่าไปทำแบบนี้ พล.อ.เปรมไปบรรยายที่ไหนก็ให้ แต่ความอุ่นใจแก่บ้านเมือง เพราะฉะนั้นไปทำแบบนี้เท่ากับว่าประธานองคมนตรีเป็นผู้สั่งการ เรียกร้องว่าขอให้ หยุด นายกฯอาจไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้ห้อยไอ้โหนที่เป็นลูกน้องทำเสียหายหมด

“ประสงค์” เสวนาอัดแค่ละครจัดฉาก

ที่โรงแรมดิไอยรา อ.เมืองนครราชสีมา ในเวทีเสวนา“ทักษิณ ทำลายความมั่นคงของชาติ” น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะที่เคยทำงานรับผิดชอบด้านการข่าว ตกใจเหมือนกันว่า ทำไมเขียนบทละครกันอย่างนี้ เพราะหละหลวมมากไม่รู้ ใครเป็นคนเขียน ผู้กำกับสร้างก็คงรู้สึกสะใจมากกว่าตกใจมีพิรุธ มีสิ่งที่ผิดสังเกตหลายต่อหลายเรื่อง รวบรัดตัดตอนรวดเร็วเหลือเกิน ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นคาร์บอมบ์ แต่รู้แล้วว่าเป็นระเบิดในรถคันนั้นยังกับเอาไปวางเอง เท่าที่ตนตรวจสอบ เรียนให้ทราบเลยว่า ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะได้รับการขอร้องจากบางคนให้ไปรับรถที่จุดแถวไม่ห่างไกลจากบ้านนายกรัฐมนตรี ติดถนนจรัญสนิทวงศ์ ออกจากบ้านไปประมาณ 06.00 น. แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกรถออกมาตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ และข้อเท็จจริง ร.ท.ธวัชชัยขึ้นมอเตอร์ไซค์ รับจ้างไปยังที่ที่จะไปพบกับคนที่จะเอากุญแจให้มารับรถนั่งกินข้าวแล้วจึงมานั่งขับรถคันนั้น คนดูฉากละครฉากนี้ตกใจหมด

บอกทหารทั้งกองทัพคงมีความรู้สึก

“ผมต้องการให้ตำรวจทำงานจริงจัง ตรงไปตรงมาหากมีพิรุธแบบนี้ผมถือว่าเป็นละครที่ไม่สมจริงสมจัง ปัญหาจะตกไปอยู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการในวันนั้น แต่ถ้าเป็นจริงผมสนับสนุนการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้สังคมเสียหาย ความรู้สึกประชาชนเสียหาย ประเทศชาติเสียหาย กองทัพก็เสียหาย เพราะเขาเป็นนายทหาร ตำรวจไปปฏิบัติกับเขาด้วยการหิ้วปีกออกมาเหมือนกับเป็นกระต่ายตัวหนึ่ง และทำผิดระเบียบหมดเลย การที่กระทำกับทหารเช่นนั้น พรรคพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร แม้แต่ผมเป็นนายทหารนอกราชการผมเองก็รู้สึก และเชื่อว่า พี่น้องทหารทั้งกองทัพบก ทัพเรือและอากาศ ก็รู้สึก” น.ต.ประสงค์กล่าว

อ.จุฬาฯแนะรัฐไม่ควรโฆษณาชวนเชื่อ

วันเดียวกัน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ได้จัดเสวนาหัวข้อ “สังคมไทยจะยุติความรุนแรงโดยสันติวิธีได้อย่างไร” โดยนายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เหตุการณ์ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา เป็นเรื่องน่าเศร้าของสังคมไทยที่เคลื่อนตัวไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นนำระเบิดเกือบ 70 กิโลกรัมมาใช้ คนที่สามารถนำมาได้ต้องเป็นคนที่มีอำนาจ แต่รัฐบาลไม่ควรสร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ผ่านสื่อ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เป็นเพียงพลเรือน อาจจะไม่ใช่ตำรวจหรือทหาร เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลกับประชาชนหรือสังคมแทน สำหรับปรากฏการณ์ ความรุนแรงในลักษณะนี้ ในแวดวงวิชาการรัฐศาสตร์ถือว่าไม่แปลก รอบหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาใหญ่เชิงรัฐศาสตร์ คืออำนาจที่ไม่มีความเป็นธรรมหรือชอบธรรม โดยเฉพาะอำนาจใหม่ที่พยายามเข้ามาแย่งชิงอำนาจเก่า หากกลับไปย้อนดูช่วงจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็มีลักษณะการอ้างว่าลอบสังหาร จนมีการประหารชีวิต จำคุก ลี้ภัย แต่ความแตกต่างในการแย่งชิงอำนาจครั้งนี้ เป็นการแย่งชิงอำนาจของการเมือง กับอำนาจรัฐที่ผนึกกันแน่นและแย่งชิงอำนาจกับพลังประชาชนที่ซับซ้อน

สำรวจคนกรุงเชื่อว่าสร้างเรื่องเกือบครึ่ง

ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพล สถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เผยถึงผลการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง “ประชาชนคิดอย่างไรกับเรื่องคาร์บอมบ์” หลังจากเก็บข้อมูลประชาชน ในกรุงเทพมหานครจำนวน 25 เขต และปริมณฑลจำนวน 3 จังหวัด กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจำนวน 1,174 คน เมื่อวันที่ 25-26 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้ผลสรุป คือประชาชนร้อยละ 85.8 ให้ความสนใจติดตามข่าวเรื่องคาร์บอมบ์ ขณะที่ร้อยละ 14.2 ไม่สนใจติดตาม มีเพียงร้อยละ 20.5 เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการมุ่งปองร้ายต่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จริง ขณะที่ร้อยละ 49.8 เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ (โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 60.6 เชื่อว่ากระทำโดยฝ่ายรัฐบาล ร้อยละ 20.3 เชื่อว่ากระทำโดยฝ่ายต่อต้านรัฐบาล และร้อยละ 19.1 เชื่อว่ากระทำโดยฝ่ายอื่นหรือมือที่สาม) ส่วนร้อยละ 29.6 ไม่แน่ใจ

นอกจากนี้ ร้อยละ 56.7 ระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ส่งผลต่อความรู้สึกปลอดภัยในชีวิต และผู้ที่ประชาชนเห็นว่าน่าเห็นใจที่สุดจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ พล.อ. พัลลภ ปิ˜นมณี ร้อยละ 22.7 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 20.3 ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ร้อยละ 12.1 ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ร้อยละ 11.8 และไม่มีใครน่าเห็นใจเลย ร้อยละ 33.1 สุดท้ายร้อยละ 47.5 เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลต่อคะแนนนิยมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่ร้อยละ 27.0 เห็นว่าจะส่งผลให้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น และร้อยละ 25.5 เห็นว่าจะส่งผลให้คะแนนนิยมลดลง

----------------------------------------------------------------

ความคืบหน้าการสอบสวนคลี่คลายคดีคาร์บอมบ์ หมายลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กองปราบปราม เมื่อวันที่ 17 ก.ย. จากไทยรัฐ

พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป. เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้เปิดโอกาสให้พนักงานสอบสวนพักผ่อนบ้าง หลังเหนื่อยล้าจากการเร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆมาอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน หลายอาทิตย์ เนื่องจากเห็นว่าอยู่ระหว่างรอผลการตรวจเอกสารหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากกอง พิสูจน์หลักฐาน ถึงแม้บางส่วนได้ทยอยส่งมาถึงพนักงานสอบสวนบ้างแล้ว ทั้งนี้พนักงานสอบสวนจะต้องเร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อให้ทันดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแต่ละคน ตามระยะเวลาผัดฟ้องฝากขัง โดยเฉพาะ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ผู้ต้องหาขับรถบรรทุกระเบิด ซึ่งพนักงานสอบสวนผัดฟ้องฝากขังเป็นครั้งที่ 3 ไปแล้ว

ผบก.ป. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม หากพนักงานสอบสวนพบพยานหลักฐานเพิ่มเติม เชื่อมโยงไปถึงบุคคลอื่น นอกเหนือจากผู้ต้องหาชุดแรกนี้ ก็จะเรียกตัวมาสอบ สวนดำเนินคดีทันที โดยไม่มีการยกเว้นใครทั้งสิ้น และ ภายในอาทิตย์หน้า พนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีคาร์บอมบ์จะประสานไปยังอัยการและศาลทหาร เพื่อขอนำตัวพยานสำคัญจำนวน 3 ปาก ขึ้นเบิกความสืบพยานล่วงหน้าก่อน เนื่องจากเกรงว่าพยานเหล่านี้จะถูกข่มขู่จนไม่กล้าไปให้การในภายหลัง

สำหรับพยานสำคัญที่พนักงานสอบสวนต้องการให้ไปสืบพยานล่วงหน้านั้น มีรายงานว่าประกอบด้วย จ.ส.อ.ชาคริต จันทระ หรือจ่ายักษ์ นายคุณากร ภักพงษ์พันธุ์ชัย หรือเฮียหมู รัชดา เจ้าของเต็นท์รถหมูคาร์ ปากซอยอินทามระ 38 และเจ้าของร้านขายเครื่องเล่นบังคับวิทยุย่านคลองถมไม่ทราบชื่อ โดยพนักงานสอบสวนจะใช้คำให้การของจ่ายักษ์ไปยืนยันความผิดของ พล.ต. ไพโรจน์ ธีระภาพ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ผู้ต้องหาที่ตำรวจเชิญตัวมาแจ้งข้อกล่าวหา และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ว่ามีความเกี่ยวพันในการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี โดยไปปรากฏตัวที่สนามบิน บน.6 เมื่อวันที่ 9-10 ส.ค.ที่ผ่านมา ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเดินทางไปขึ้นเครื่องบินเพื่อจะไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศ สำหรับเจ้าของร้านขายเครื่องเล่นวิทยุบังคับ ก็ถือเป็นพยานปากสำคัญอีกคนหนึ่งของคดี เนื่องจากให้การยืนยันว่า พ.ท.มนัส สุขประเสริฐ เป็นผู้ไปซื้อเครื่องร่อนพร้อมวิทยุบังคับ ซึ่งพนักงานสอบสวนเชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ชิ้นเดียวกับที่นำไปใช้ประกอบเป็น รีโมตคอนโทรลจุดชนวนระเบิดในรถแดวูบรรทุกระเบิดหมายสังหารนายกรัฐมนตรี

ขณะเดียวกัน มีรายงานถึงผลการทดสอบหาตำแหน่งการรับ-ส่งสัญญาณ จากแผงควบคุมวงจรระเบิดบริเวณใต้สะพานข้ามแยกบางพลัด ตรงจุดที่พบรถแดวู บรรทุกระเบิดด้วยว่า หลังจากชุดทดสอบ นำโดย พ.ต.อ. ปรีชา ธิมามนตรี รอง ผบก.หน.ศูนย์สืบสวน บช.น. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด และผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ลงพื้นที่ทดลองส่งสัญญาณวิทยุบังคับแบบเดียวกับที่ผู้ต้องหาใช้ปฏิบัติการคา ร์บอมบ์ ปรากฏว่าไม่ได้ผล เนื่องจากสัญญาณวิทยุตามที่กลุ่มผู้ต้องหาใช้งานนั้น เป็นสัญญาณวิทยุคลื่นสั้น ความถี่ต่ำ การทะลุทะลวงของคลื่นสัญญาณอ่อนมาก หากกดระเบิด ขณะที่รถแดวูคาร์ บอมบ์ปิดประตูอยู่ไม่สามารถบังคับให้ระเบิดทำงานได้ เลย ในขณะที่เมื่อทดลองเปิดประตูรถ แล้วเดินเข้าไปกดสัญญาณรีโมต ระยะทางที่ภาครับจะรับสัญญาณดังกล่าวได้ อยู่ที่ 40 เมตร ที่สำคัญ ขณะปฏิบัติการจริง บริเวณสถานที่ดังกล่าวยังมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องและเป็น อุปสรรคสำคัญต่อคลื่นสัญญาณดังกล่าวอีกด้วย อาทิ รถเมล์และรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่วิ่งผ่านไป-มา ซึ่งรบกวนคลื่นสัญญาณ ซึ่งก็สอดคล้องกับคำให้การของจ่ายักษ์ ที่ระบุว่าได้ยิน พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ หรือเสธ.ตี๋บ่นว่า ในวันเกิดเหตุ กดรีโมตแล้วแต่ระเบิดไม่ทำงาน ทำให้แผนปฏิบัติการลอบสังหารผู้นำประเทศล้มเหลว

ในส่วนของ พล.ต.ไพโรจน์ ธีระภาพ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ผู้ต้องหาในคดีเดียวกันนี้ ขัดขืนไม่ยอมพิมพ์ ลายนิ้วมือ หลังเข้ามอบตัวและตกเป็นผู้ต้องหา ต่อมาพ.ต.อ.ฉลองชัย บุรีรัตน์ รอง ผบก.ป. เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ให้ดำเนินคดีฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ไม่ยอมทำตามโดยไม่มีเหตุผลหรือข้อแก้ตัว ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 นั้น มีรายงานว่า ทางพนักงานสอบสวนเตรียมประสานงานไปยังหน่วยงานต้นสังกัดของ พล.ต.ไพโรจน์และหน่วยงานราชการอื่นๆ อาทิ ที่ว่าการเขต เพื่อขอลายพิมพ์นิ้วมือของ พล.ต.ไพโรจน์มาตรวจเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือแฝง ที่ตรวจเก็บได้จากวัตถุพยานและของกลางในคดีหลายชิ้น เนื่องจากถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญ ที่จะใช้ดำเนินคดีกับ พล.ต.ไพโรจน์ เนื่องจากที่ผ่านมามีเพียงคำให้การซัดทอดของจ่ายักษ์ กับหลักฐานการเชื่อมโยงของกลุ่มผู้ต้องหาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีคาร์บอมบ์ ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ฉลองชัย บุรีรัตน์ รอง ผบก.ป. นำกำลังตำรวจคอมมานโด ควบคุมตัว จ.ส.อ.ชาคริต หรือจ่ายักษ์ออกจากห้องควบคุมตัว กองปราบปราม ไปฝากขังที่ศาลทหารเป็นครั้งที่ 2 แต่ พนักงานสอบสวนจะขอรับตัวกลับมาควบคุมต่อที่กองปราบปราม เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน ยังเป็นวันครบฝากขังครั้งที่ 2 ของ พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ หรือ เสธ.ตี๋ ซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำทหาร จ.นครปฐม ด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนคงต้องนำตัวมาผัดฟ้องฝากขังต่อ แต่จะไม่ขอตัวกลับมาสอบสวนเพิ่มเติมแต่อย่างใด เนื่องจากผู้ต้องหาให้การปฏิเสธและขอไปให้การชั้นศาล อย่างไรก็ตาม จะค้านการประกันตัวเช่นเดิม โดยให้เหตุผลว่า เกรงผู้ต้องหาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานต่างๆในคดี

----------------------------------------------------------------

ข้อมูลบางส่วนจาก คดีคาร์บอม ลอบสังหารทักษิณ

ภายหลังพนักงานสอบสวนนำตัวนายทหารทั้งสองไปฝากขัง พล.ต.ท.มนตรี เปิดแถลงข่าวความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนคดีว่า การสอบสวนถึงขั้นตอนเรียกตัวทหารทั้ง 4 นายมารับทราบข้อกล่าวหา ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ทหารที่มีการประสานถึงต้นสังกัดเข้าพบพนักงานสอบสวนครบทั้งหมดแล้วและได้แจ้งข้อกล่าวหากับทหาร ทั้งหมด 6 ข้อหา เช่นเดียวกับ ร.ท.ธวัชชัย

พล.ต.ท.มนตรีกล่าวต่อว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหา 3 คน คือ พล.ต.ไพโรจน์ ธีระภาพ พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ และ พ.ท.มนัส สุขประเสริฐ ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ส่วน จ.ส.อ.ชาคริต จันทระ หรือจ่ายักษ์ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก "จ.ส.อ.ชาคริตรับสารภาพว่า ได้ร่วมกระทำผิดจริง โดยให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และมีความเชื่อมโยงในประเด็นต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน จิ๊กซอว์ใกล้ครบแล้ว แต่คงเปิดเผยไม่ได้" พล.ต.ท.มนตรีกล่าว

@ ลั่นต่อจิ๊กซอว์ใกล้ครบหมดแล้ว

เมื่อถามว่า ในการรับสารภาพนั้นผู้ต้องหารับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในขั้นตอนใดของคดีนี้ พล.ต.ท.มนตรีกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องขยายผลต่อไป ซึ่งการร่วมกระทำผิดก็คือ ร่วมกันอาจจะเป็นขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด เมื่อถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ พล.ต.ท.มนตรีกล่าวว่า ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. เป็นผู้รับผิดชอบการรวบรวมหลักฐาน แต่ทั้งนี้มีวัตถุพยานที่ส่งไปตรวจสอบแล้วพบความเชื่อมโยง ถึงกลุ่มผู้ต้องหาที่ให้การปฏิเสธ ในการรวบรวมหลักฐานทุกส่วนจะเร่งรัดดำเนินการให้เร็วที่สุด

ด้าน พล.ต.ต.เจตน์กล่าวว่า การรวบรวมหลักฐานมีคืบหน้าไปมาก โดยเฉพาะเรื่องมูลเหตุจูงใจนั้น พนักงานสอบสวนก็มีการดำเนินการไปมากแล้ว แต่เปิดเผยไม่ได้ ส่วนการสอบสวน จ.ส.อ.ชาคริตนั้นก็มีประโยชน์ต่อคดีทำให้จิ๊กซอว์ใกล้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่พนักงานสอบสวนต้องไปตรวจสอบพยานที่ผู้ต้องหารายนี้กล่าวอ้างอีกครั้งว่าจะเชื่อถือได้หรือไม่

@ อ้าง"จ่ายักษ์"ร่วมสังหารนายกฯจริง

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบปากคำ จ.ส.อ.ชาคริต หรือ จ่ายักษ์ นั้นทำให้ตำรวจได้ข้อมูลอย่างมาก และสามารถขยายผลไปถึงผู้ที่ร่วมขบวนการ ผู้บงการ และผู้อยู่เบื้องหลังอีกจำนวนมาก เนื่องจากจ่ายักษ์ได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่า เป็นผู้ลงมือร่วมปฏิบัติการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีจริง ตั้งแต่เริ่มการวางแผนเพื่อลอบสังหารนายกรัฐมนตรี กระทั่งปฏิบัติการไม่สำเร็จจึงได้หลบหนีก่อนที่จะตัดสินใจเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม โดยสำนวนการสอบสวนตามคำบอกเล่าในส่วนของจ่ายักษ์นั้นมีความหนากว่า 10 หน้ากระดาษ

@ ซัดนายใหญ่สั่ง-ทำลายระบอบทักษิณ

ทั้งนี้ จ่ายักษ์ได้ให้การรับสารภาพอ้างว่า ได้ร่วมกับ ร.ท.ธวัชชัย พ.ท.มนัส พ.อ.สุรพล หรือ เสธ.ตี๋ และ พล.ต.ไพโรจน์ กับพวกอีกอย่างน้อย 8 คน เตรียมการที่จะลอบสังหารนายกรัฐมนตรีจริง โดยมีการวางแผนตั้งแต่เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนา ยนที่ผ่านมา ซึ่ง เสธ.ตี๋ ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของตนได้เรียกให้ไปพบที่สำนักงาน กอ.รมน. สวนรื่นฤดี พร้อมกับบอกว่า "นายใหญ่" สั่งการให้ฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อ "ทำลายระบอบทักษิณ" เนื่องจากที่ผ่านมาทำให้ประเทศชาติเสียหาย ซึ่งได้ยินดีปฏิบัติตามเนื่องจากเป็นคำสั่งของนายใหญ่ ซึ่งก็คือ "พล.อ. พ." โดย เสธ.ตี๋ ยังอ้างด้วยว่าการลงมือครั้งนี้เป็นการรับงานผ่านมาจาก พล.ต. "ส" และ พล.ต. "ต" โดยมีผู้ร่วมวางแผนการลอบสังหารอีกคนหนึ่งที่สำคัญคือ พ.อ. "บ" หรือ ทั้งหมดเป็นทหารสังกัด กอ.รมน.

@ อ้างเพื่อรักษาชีวิตคนอีก 60 กว่าล.

จ.ส.อ.ชาคริตให้การอ้างด้วยว่า ก่อนที่จะมีการลงมือนั้นร่วมกับ พ.อ.สุรพล หรือ เสธ.ตี๋ หารือกันถึงอาวุธที่จะใช้ในการลอบสังหาร ซึ่งได้สอบถาม เสธ.ตี๋ ว่าจะให้ใช้อาวุธปืนยิงใช่หรือไม่ แต่ เสธ.ตี๋ ได้บอกกลับว่า "นายใหญ่" ให้ใช้ระเบิด ซึ่งขณะนั้น พ.ท.มนัส ได้รายงานให้ทราบว่ามีการจับระเบิดที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 20 กิโลกรัม เสธ.ตี๋ จึงบอกว่าจะใช้มากกว่านี้อีกเท่าหนึ่ง เพื่อจะได้ประสบผลสำเร็จ แต่ได้พยายามทักท้วงโดยบอกว่า เพราะการใช้ระเบิดมากขนาดนั้นจะทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก การโต้แย้งของตนทำให้ เสธ.ตี๋ โมโหพร้อมกับยืนยันว่าจะให้ใช้ระเบิดตามคำสั่งของ "นายใหญ่" โดยบอกว่าคนตายเป็นร้อย แต่ต้องรักษาชีวิตคนอีก 60 กว่าล้านคน เพราะต้องกำจัด "ระบอบทักษิณ" ให้สิ้นซากให้ได้

@ ได้ค่าจ้าง1แสน-มีพลเรือนร่วมด้วย

คำให้การของจ่ายักษ์อ้างต่อไปอีกว่า หลังจากได้ร่วมกันวางแผนการแล้ว เสธ.ตี๋ ได้โทรศัพท์มาสั่งการให้ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างคำสั่งของ "พล.อ. พ." และ "พล.ต. ส." ซึ่งปฏิบัติการเริ่มจาก เสธ.ตี๋ ได้โทรศัพท์สั่งให้ไปรับรถยนต์แดวู มาจากเต๊นท์ขายรถยนต์มือสองในซอยอินทามระ 38 จาก "หมู รัชดาฯ" ที่ เสธ.ตี๋ เป็นผู้สั่งซื้อไว้ในราคา 30,000 บาท แต่ยังไม่ได้จ่ายเงิน จากนั้นจึงนำไปเปลี่ยนสีและส่งต่อให้กับพลเรือนอีกคนหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) ซึ่งขั้นตอนต่อจากนั้นไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่า นำรถยนต์แดวูไปบรรจุระเบิด เพื่อลงมือปฏิบัติการ โดยระหว่างนี้ เสธ.ตี๋ ได้จ่ายเงินให้เป็นงวดๆ ผ่านบัญชีธนาคารทหารไทย เป็นค่าดำเนินการรวมประมาณ 100,000 บาท

@ เผยเหตุแผนลงมือวันที่ 9ส.ค.ล่ม

จ่ายักษ์ให้การรับสารภาพอ้างว่า กระทั่งเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ช่วงเช้าระหว่างที่กำลังหลับอยู่ เสธ.ตี๋ได้โทรศัพท์เข้ามาหาตน สั่งให้ขับรถยนต์ปิคอัพ สีฟ้าอ่อนที่ใช้อยู่ซึ่งตำรวจยึดมาได้ภายหลัง ขับไปจอดที่บริเวณท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน. 6) เพื่อไปกำหนดจุดจอดรถยนต์แดวูที่บรรจุระเบิดเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากวันดังกล่าวนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานดังกล่าว ซึ่งขณะที่จอดรถเพื่อรอให้รถยนต์แดวูเข้ามาจอดแทนที่นั้น มีสารวัตรทหารอากาศนายหนึ่งเข้ามาสอบถามว่า มาจอดเพื่อทำอะไร จึงแสดงตัวว่าเป็นทหารพร้อมกับบอกสังกัด และอ้างว่ามาจอดรอพี่ชายที่ทำงานเป็นทหารอากาศอยู่ แต่สารวัตรทหารคนดังกล่าวไม่อนุญาตให้จอด แผนการที่กำหนดไว้จึงไม่สำเร็จ

@ ซัดทอดอ้าง "พ.ท.มนัส" คนกดรีโมท

ต่อมาวันที่ 10 สิงหาคม ได้รับโทรศัพท์จาก เสธ.ตี๋อีก เพื่อให้ขับรถยนต์ไปมาร์คจุดที่สนามบิน บน.6 อีกครั้ง เนื่องจากช่วงเช้าของวันดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณจะไปราชการที่ประเทศกัมพูชา แต่งานก็ไม่สำเร็จเนื่องจากติดขัดเรื่องเวลานัดหมาย และปัญหาทางเทคนิคบางประการ ในที่สุดจึงมีการวางแผนเพื่อกำหนดเป้าหมายกันอีกครั้ง จึงได้เลือกที่จะลอบสังหารในเส้นทางที่นายกรัฐมนตรีเดินทางจากบ้านจันทร์ส่องหล้ามายังทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับตรวจสอบหมายการเดินทางของนายกรัฐมนตรี กระทั่งนัดลงมือกันในวันที่ 24 สิงหาคมตามที่เป็นข่าว โดยให้ ร.ท.ธวัชชัย หรือพี่แปะเป็นผู้ขับรถยนต์ไปจอดใต้สะพานข้ามแยกบางพลัด และให้ พ.ท.มนัสซึ่งยืนอยู่บริเวณแยกบางพลัดเป็นผู้กดรีโมทคอนโทรลจุดชนวนระเบิด อย่างไรก็ตาม ในวันดังกล่าวไม่ได้เดินทางไปด้วย จึงไม่ทราบว่าทำไมระเบิดจึงไม่ทำงาน

@ เตรียมแผนใหม่ใช้อาร์พีจีสังหาร

จ.ส.อ.ชาคริตให้การต่อว่า หลังจากตำรวจเข้าจับกุม ร.ท.ธวัชชัยได้ในที่เกิดเหตุจนเป็นข่าวใหญ่โต ทำให้ เสธ.ตี๋เรียกตนและ พ.ท.มนัสเข้าไปต่อว่าดุด่าอย่างรุนแรง โดยเฉพาะ พ.ท.มนัส ซึ่ง เสธ.ตี๋มักจะเรียกว่า "ไอ้แก่" นั้น ได้ถูกต่อว่าอย่างมากฐานที่ทำงานไม่สำเร็จและยังถูกจับกุมได้ จึงสั่งการให้ พ.ท.มนัสแก้ตัวและลงมือใหม่ โดยเรียกว่าเป็นแผนการครั้งที่ 2 ซึ่ง เสธ.ตี๋หารือกับ พ.ท.มนัสว่าน่าจะใช้ "อินทผลัม" ตามภาษาทางการทหาร หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าจรวดอาร์พีจีหรือไม่ก็ใช้ เอ็ม 79 ที่ทหารศูนย์สงครามพิเศษ จ.ลพบุรี ใช้กัน เพื่อลอบสังหารอีกครั้ง ซึ่ง เสธ.ตี๋ยังบอกด้วยว่า หากปฏิบัติการครั้งนี้ไม่สำเร็จจะเลือกใช้วิธีสุดท้ายคือการปฏิวัติ ตามที่ "นายใหญ่" ได้คิดไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ ทั้งหมดก็ถูกตำรวจออกหมายเรียกให้มาทราบข้อกล่าวหาก่อนแล้ว

@ เรียกแจ้งข้อหาอีก8 "ทหาร-พลเรือน"

แหล่งข่าวระดับสูงในคณะพนักงานสอบสวนกล่าวด้วยว่า คำให้การของจ่ายักษ์ทำให้สามารถขยายผลไปถึงผู้ที่ร่วมขบวนการได้อีกหลายราย จากคำให้การจะมีการเรียกตัวนายทหารและพลเรือนมาสอบปากคำ และแจ้งข้อกล่าวหาอย่างน้อยอีก 8 คน ส่วนจะมีการขยายผลไปถึงตัวอดีตนายทหารยศ พล.อ.หรือไม่นั้น ต้องดูที่หลักฐาน ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (8 กันยายน) จะมีการประชุมร่วมกันของพนักงานสอบสวนในเวลา 10.00 น. เพื่อกำหนดจุดที่จะเข้าตรวจค้นเพื่อหาหลักฐาน เนื่องจากจะฟังคำซัดทอดจ่ายักษ์เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ และหากได้หลักฐานเพิ่มเติมก็จะเรียกผู้ร่วมขบวนการทั้ง 8 คน มาแจ้งข้อกล่าวหาภายหลัง

@ อ้าง"จ่ายักษ์"สารภาพกลัวฆ่าปิดปาก

แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวต่อว่า การที่จ่ายักษ์เปิดปากรับสารภาพก็เนื่องจากกลัวว่าจะถูกฆ่าปิดปาก โดยจ่ายักษ์ได้บอกกับพนักงานสอบสวนว่า เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ตำรวจกองปราบปรามได้ตัว นายคุณากร ภักพงษ์พันธุ์ชัย หรือ หมู รัชดาฯ มาและยืนยันว่าจ่ายักษ์เป็นผู้ที่ไปรับรถมาจากเต๊นท์ เสธ.ตี๋ได้โทรศัพท์
มาหาจ่ายักษ์พร้อมกับบอกว่า ให้เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าและจะมารับเพื่อพาหลบหนีตอนตี 4 วันรุ่งขึ้น ซึ่งจ่ายักษ์รู้สึกว่ามีพิรุธไม่ชอบมาพากล จึงได้หลบหนีออกจากบ้านพักทางด้านหลังทันที ก่อนที่จะเรียกรถแท็กซี่และหลบไปกบดานในกรมทหารแห่งหนึ่ง จากนั้นพ่อของจ่ายักษ์จึงได้ติดต่อให้ลูกชายเข้ามอบตัว จึงทำให้ จ่ายักษ์ยอมรับสารภาพในที่สุด

@ มีหลักฐานโอนเงิน-ทำแผน10ก.ย.

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า เบื้องต้นนอกจากคำรับสารภาพของจ่ายักษ์แล้วพนักงานสอบสวนยังได้หลักฐานเป็นการโอนเงินค่าดำเนินการ ซึ่งโยงให้เห็นความเกี่ยวพันในขบวนการด้วย และในวันเสาร์ที่ 10 กันยายน จะนำตัว จ.ส.อ.ชาคริตไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพตามขั้นตอนตั้งแต่เริ่มวางแผนจนถึงการลงมือปฏิบัติการ
อย่างละเอียด โดยจะมีการวางกำลังคุ้มกันอย่างแน่นหนา คาดว่าอาจจะใช้กำลังตำรวจคอมมานโดพร้อมอาวุธไม่ต่ำกว่า 100 นาย ส่วนผู้ต้องหารายอื่นที่ปฏิเสธจะไม่นำตัวไป และเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะให้การอย่างใดก็ได้

@ พัลลภยันไม่รู้เรื่องลอบสังหาร

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าว จ.ส.อ.ชาคริตให้การรับสารภาพและซัดทอดถึงว่า ไม่เป็นไร ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่รู้เรื่อง ทั้งนี้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามรูปคดีและขั้นตอนของกฎหมาย ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ จ.ส.อ.ชาคริตพาดพิง อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการแถลงข่าวชี้แจง
รายละเอียดถึงเรื่องนี้ ยังไม่อยากจะพูดขอติดตามรายละเอียดก่อน เพราะไม่รู้เรื่องกับการกระทำทั้งหมด

----------------------------------------------------------------

หัวข้อ : เปิดซีดีคำสารภาพของ "ร้อยโท" คาร์บอม

"ร้อย โท" คาร์บอมบ์สารภาพแล้ว ตร. เปิดซีดีบันทึกการสอบปากคำ ร.ท. เปิดปากรับว่ารู้ว่าในเก๋งแดวูมีระเบิด ยังโชคดีที่ไม่ระเบิดตูม ไม่งั้นต้องเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต ยันมีสัจจะไม่เปิดปากซัดผู้บงการแน่ ขณะที่จ่อจับเพิ่มอีก 3 รายแก๊งลอบสังหารนายกฯ มีพันเอก "ส" - พันโท "ม" อีกรายเป็นชั้นประทวน สอบเจ้าของเต็นท์รถมือสองระบุเมื่อ 3 เดือนก่อนมีพันเอกคนหนึ่งมาซื้อเก๋งแดวูไปในราคา 3 หมื่น เมียร้อยโทหอบหลักทรัพย์ 3 ล้านยื่นศาลทหาร แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว หมอประเวศแนะทักษิณให้วางมือทางการเมืองเด็ดขาด ทุกอย่างจะได้ยุติด้วยดี

-เปิดซีดีคำสารภาพของร.ท.

พล.ต.ต.วินัย ทองสอง กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ ต้องหารับสารภาพว่า ได้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุมาตั้งแต่วันที่ 22-24 ส.ค. ที่ผ่านมา และขบวนการครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะในที่เกิดเหตุที่บางพลัดเท่านั้น ยังมีการดำเนินการเมื่อวันที่ 9-10 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่บน.6 ด้วย ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมพยานหลักฐานทั้ง 2 เหตุการณ์เข้าด้วยกัน ขอเรียนว่าจิ๊กซอว์ที่เราต่อใกล้จะครบแล้ว ส่วนเหตุการณ์ทั้ง 2 เป็นการปองร้ายพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการรวบรวมพยาน หลักฐานซึ่งบางเรื่องไม่อาจจะพูดหรือเปิดเผยได้หมด หลังจากมีความคืบหน้าอย่างไรก็จะสรุปและแถลงข่าวให้ทราบ

หลังจากนั้นพล.ต.ท.อชิรวิทย์ ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ผกก.ฝอ.บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศกองปราบปราม เปิด วีซีดีที่บันทึกภาพการสอบสวนร.ท.ธวัชชัย โดยพล.ต.ท.อชิรวิทย์กล่าวต่อว่า อยากให้สื่อมวลชนได้ชมภาพวีดิทัศน์ที่เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวนร.ท.ธวัชชัย ก่อนจะเผยแพร่เราได้เห็นสมควรว่าได้ทำการสอบสวนผู้ต้องหาอย่างครบถ้วนตาม กระบวนการยุติธรรม โดยกระทำต่อหน้าทนายความ และพ.อ.สุขสันต์ สิงหเดช ผอ.กองพระธรรมนูญ กองบัญชาการทหาสูงสุด พ.ต.สายันต์ ขุนขจี นายทหารพระธรรมนูญ กรมสารบัญทหารบก

- เสียใจเพราะรู้ว่าในรถมีระเบิด

สำหรับภาพในวีดิทัศน์ที่นำมาเปิดนั้น เป็นการพูดคุยกัน ระหว่างพนักงานสอบสวนกับร.ท.ธวัชชัย ภายในห้องพักรับรองของผบก.ป. โดยในระหว่างการสอบสวนพล.ต.ต.วินัยถามว่า มีอะไรเดือดร้อนไหม เรื่องข้าวปลา ร.ท.ธวัชชัยตอบว่า พร้อมครับ พล.ต.ต.วินัยถามต่อว่า พร้อมนะเรื่องที่นอน ร.ท.ธวัชชัยตอบว่า นอนได้ พล.ต.ต.วินัยถามต่อว่า นอนได้นะ ยุงเยอะ อาจจะไม่ค่อยสะดวกสบาย ก็ยังงี้แหละ แต่ว่าก็จัดให้มีเท่านี้ ตำรวจเฝ้าดูแลตลอด ก็ไม่อยากให้เกิดเหตุยิ่งกว่านี้ เจ็บป่วยไหม ร.ท.ธวัชชัยตอบว่า มีปวดหัวนิดหน่อยครับ ขอยา

พล.ต.ต.วินัย ถามว่า มีอะไรก็บอกเจ้าหน้าที่แล้วกัน เขาดูแลอยู่ ช่วงนั้นมีทนายความเอาเอกสารให้เซ็นจำนวน 2 แผ่น จากนั้นพล.ต.ต.วินัย ถามว่า สภาพความเป็นอยู่ไม่เดือดร้อนนะ ร.ท.ธวัชชัย ตอบว่า ครับ พล.ต.ต.วินัยถามว่า สุขสบายดี บอกกับนายทหารพระธรรมนูญด้วยนะ ร.ท.ธวัชชัยตอบว่า ครับ พล.ต.ต.วินัยถามอีกว่า มีอะไรจะร้องขอเพิ่มเติมไหม ร.ท.ธวัชชัยตอบว่า ไม่มีครับ

จากนั้นนั้นมีพ.ต.อ.รุจิรัตน์ หลุ่มบุญเรือง รองผบก.ป.เดินเข้ามา พล.ต.ต.วินัยพูดกับร.ท.ธวัชชัยว่า นี่รองอนุชัยกับรองรุจิรัตน์ ธวัชชัยมีอะไรจะพูดคุยให้เราฟังไหม จากนั้นร.ท.ธวัชชัยกล่าวว่า "เรื่องที่มีวัตถุระเบิด..ที่ผมทำไปนี้ แล้วมารู้ว่าในรถนั้นมีระเบิดร้ายแรงก็เสียใจมาก...เป็นเพราะอำนาจของพระ สยามเทวาธิราชที่ทำให้ไม่เกิดระเบิด ถ้าเกิดระเบิดตามที่เจ้าหน้าที่บอกว่าร้ายแรงจริง ถ้าระเบิดขึ้นมาจะทำให้มีผู้เดือดร้อนมากมายมหาศาล จะเกิดตราบาปกับชีวิตตลอดไป เกิดความเสียใจ"

- ยันมีสัจจะ-ไม่ซัดทอดใครแน่

ร.ท.ธวัชชัยพูดต่อไปว่า "ผู้ที่เสียใจมากกว่าคือ ในหลวงที่ต้องมาเห็นคนไทยด้วยกันฆ่ากัน และเรื่องที่เกิดขึ้นมีเรื่องเกิดจากความแย่งชิงอำนาจของรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือกลุ่มสมัชชา กลุ่มอะไรพวกนี้ กลุ่มที่ขีดตัวเองว่าจะแย่งชิงความเป็นใหญ่ ทำให้เกิดความเดือดร้อนตลอด กลุ่มที่บอกว่ารักพระเจ้าอยู่หัว แต่ทำให้ท่านต้องพะวงหรือคิดมาก...จะให้ท่านออกมาพูดก็ไม่ได้ อยากให้ทุกฝ่ายยุติ หันหน้ามาพูดกัน... ปากพูดว่ารักพระเจ้าอยู่หัว แต่กลับทำให้ประเทศชาติจมลงๆ อยากจะให้คำรักในหลวงอยู่ในใจแต่ละคน และการกระทำที่จะทำให้ชาติเดือดร้อนนั้นหมดไป อยากให้ทุกฝ่ายยุติได้ โดยที่อย่าให้ผมต้องสละชีวิต หรืออะไร....เหตุที่เกิดขึ้นอยากขอโทษประชาชน และนากยกฯ ที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ ขอโทษและยอมรับผิด"

พล.ต.ต.วินัยถามต่อว่า สิ่งที่พูดไม่มีใครสอนใช่ไหม ร.ท.ธวัชชัยตอบว่า ไม่มี เจ้าหน้าที่ไม่ได้บอกหรือสอน แต่คิดทุกๆ วัน ถ้าเกิดระเบิดนี้ขึ้นมาจะเป็นอย่างไง พล.ต.ต.วินัยถามว่า ที่บอกว่าขอรับผิดนี้ ขอรับผิดยังไง ร.ท.ธวัชชัยตอบว่า "รับผิดที่ว่าผมต้องมาขับรถคันที่ว่าเกิดปัญหา และมีระเบิด เดิมบอกให้ขับรถมาจอด ไม่มีอะไร ก็มารู้ว่ามีระเบิดร้ายแรง ก็มานึกว่าตัวเองทำอะไรลงไป"

พล.ต.ต.วินัยถามต่อว่า มีอะไรจะพูดเพิ่มเติมไหม ร.ท.ธวัชชัยตอบว่า "เรื่องที่ท่านอยากจะให้ซัดทอดใครนั้น ผมเป็นทหาร ผมมีสัจจะในตัวเอง จะให้พูดหรือบอกถึงใครนั้น ผมเป็นทหาร ผมมีสัจจะในตัวเอง จะให้พูดถึงใครนั้นยังไม่บอก" พล.ต.ต.วินัยถามว่า ก็คือยอมรับในตัวเอง และขอขอบคุณที่ยังรู้สึกเสียใจ จากนั้นก็จบการสอบปากคำ

พล.ต.ต.วินัยยังกล่าวต่อด้วยว่า ส่วนเรื่องเอกสารที่ภรรยาของผู้ต้องหานำมาร้องขอความเป็นธรรมว่าของกลางใน ที่เกิดเหตุไม่ตรงกับบันทึกจับกุม และคำร้องขอฝากขังนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเป็นการบันทึกการจับกุมเบื้องต้น แต่รายละเอียดของกลางทั้งหมดนั้นหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดฯ บช.น. ได้ลงบันทึกและตรวจสอบอยู่เป็นทางการอยู่แล้ว คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เนื่องจากมีการถ่ายวิดีโอไว้เป็นหลักฐานแล้วขณะตรวจค้นรถ

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03p0101290849&day=2006/08/29
http://www.yenta4.com/webboard/2/239638.html

----------------------------------------------------------------

พัลลภแฉ 'ปีย์' เคยถาม ทำทักษิณหายได้ไหม

จากกรณีที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ออกมาเปิดโปงว่า

พล.อ.สุ รยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ กับบุคคลสำคัญหลายคน ได้ประชุมวางแผนโค่นรัฐบาลทักษิณกันที่บ้านของนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ในซอยสุขุมวิท จนกระทั่งนายปีย์ ออกมาตอบโต้ว่า พล.อ.พัลลภ ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงเพราะไม่ได้รับตำแหน่งใดๆนั้น

วันนี้ (30 มี.ค.) พล.อ.พัลลภ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวไทยรัฐว่า

การที่นายปีย์ ระบุว่า ตน ออกมาโวยวายเพราะไม่ได้รับตำแหน่ง ขอยืนยันว่าตนเป็นคนที่รักษาสัจจะเมื่อตกลงกันว่าการทำครั้งนี้ทุกคนต้องไม่ หวังตำแหน่งและลาภยศใด ๆตนก็ถือตามนี้ สำหรับเรื่องนี้ผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว ถ้าตนต้องการตำแหน่งตนก็ออกมาโวยวายในช่วงนั้นแล้วจะปล่อยให้เนินนานมาถึง 3 ปีได้อย่างไร และถ้ามาพูดตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร

ผม เป็นชายชาติทหาร ผมรักษาสัจจะรักษาคำพูดเสมอ ว่าถ้าใครไม่พูดพาดพิงถึงผม ผมจะหลีกเลี่ยงในการพูดถึงบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า ผมจะไม่เคยพูดถึงชื่อนายปีย์ มาลากุลเจ้าของบ้านแม้แต่คำเดียวพล.อ.พัลลภ กล่าว

พล.อ.พัลลภ กล่าวอีกว่า

ครั้งหนึ่งก่อนการประชุมหารือกันที่บ้านสุขุมวิท ซึ่งมีตนกับพล.อ.สุรยุทธ์และนายปีย์ นั่งอยูที่โต๊ะรับแขกภายในบ้าน ปรากฏว่านายปีย์ ได้ถามตนว่า ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หายไปได้ไหม ตนก็เลยตอบไปว่า เป็นการยากทำไม่ได้ เพราะมีรปภ.จำนวนมากคงจะต้องยิงกันเละจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่สามารถทำให้ตายได้ ทุกคนก็เงียบไม่พูดอะไร ซึ่งขณะนั้นพล.อ.สุรยุทธ์ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งเฉยๆไม่ได้ออกความเห็นอะไร

เมื่อถามว่าขณะนี้ต่างฝ่ายต่างปฏิเสธ แต่มีการหารือในการล้มพ.ต.ท.ทักษิณ จริงใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า

เป็น เรื่องจริงทั้งสิ้น ตนจะมาพูดเล่นๆได้อย่างไร เพราะมีการกินข้าวหารือกันถึง 7 คน มีการพูดกันว่า จะต้องเล่นพ.ต.ท.ทักษิณ ทางกฎหมายโดยมีนักกฏหมายเข้ามาร่วมประชุมด้วยในเรื่องของ กกต. ซึ่งเมื่อ กกต.ล้มการเลือกตั้งไม่สำเร็จ ก็มีการพูดถึงการรัฐประหาร มิเช่นนั้นพล.อ.สุรยุทธ์ จะมาพูดได้อย่างไรว่า การทำครั้งนี้เราทำเพื่อประเทศชาติและสถาบัน คนที่มีตำแหน่งเป็นองคมนตรีจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะตัวเองมีตำแหน่งองคมนตรี โดยเฉพาะไปล๊อบบี้ให้ กกต.ลาออก

และเมื่อถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาโฟนอินเปิดเผยข้อเท็จจริง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า

เป็น เรื่องปกติธรรมดา เรื่องแบบนี้ ถ้าเขาออกมารับว่าจริง เขาคงต้องไปโรงพยาบาลประสาท แต่การปฏิเสธของพล.อ.สุรยุทธ์ ขัดกันโดยตลอดจากการประมวลข่าวอะไรต่างๆทกุคนก็รู้ดีว่าเป็นข้อเท็จจริง ดังนั้นคนที่มีความคิดทุกคนสามารถคิดได้

การ ที่นายปีย์ บอกว่ามีการประชุมครั้งเดียวก็ไม่จริง ซึ่งจริงๆแล้วประชุมกัน 4 ครั้งและกินข้าวร่วมกันทุกครั้ง ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาถึงก่อนเสมอมานั่งรอ จากนั้นก็มานั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าวในลักษณะกินข้าวไปคุยกันไป ตอนแรกเห็นปฏิเสธว่าไม่ได้ประชุม ก็ใช่เป็นการพูดกันไปกินกับไป เพราะการประชุมต้องมีวาระประชุม

พล.อ.พัลลภ กล่าว และว่า

ตน พยายามไม่พูดถึงใครแต่พล.อ.สุรยุทธ์ มาพูดพาดพิงก่อน และวันนี้คุณปีย์มาพูดถึงทำให้เสียหายจึงต้องพูดบ้างว่า นายปีย์ คิดอย่างไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ และยังมีเรื่องอีกเยอะ ที่ตนจะนำมาเปิดเผย ทุกอย่างที่เขาทำนั้นเป็นลักษณะเจ้ากี้เจ้าการเชิญ คนนั้นคนนี้ไปกินข้าว ซึ่งพล.อ.สุรยุทธ์ พูดถูกว่าไม่ได้เชิญตนไปกินข้าว แต่นายปีย์ เป็นคนเชิญในฐานะเจ้าของบ้าน แม้แต่พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปีย์ ก็เป็นคนเชิญมา


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://tnews.teenee.com/politic/33881.html

----------------------------------------------------------------

19/8/2552
ย้อนรอยคดีคาร์บอม

คดีพยายามลอบสังหารพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือเรียกสั้น ๆ ว่าคดีคาร์บอม เกิดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 24 สิงหาคม 2549 เมื่อ รปภ.ได้พบรถเก๋งแดวู สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฐฉ-3085 กทม. จอดอยู่บริเวณข้างสะพานข้ามแยกบางพลัด ซึ่งเป็นเส้นทางที่ขบวนรถของพันตำรวจโททักษิณ ต้องผ่านจากบ้านพักไปทำงาน

ซึ่งตรงกับรายงานข่าวว่ามีการวางแผนลอบสังหารพันตำรวจโททักษิณ มาแล้วหลายครั้ง โดยคนร้ายใช้รถเก๋งคันนี้เป็นพาหนะ หน่วย รปภ.จึงแจ้งให้หน่วยอรินทราช 191 และตำรวจท้องที่เฝ้าดู และไม่นานจากนั้นก็พบชายคนหนึ่งเดินมาขึ้นรถแล้วขับออกจากจุด ซึ่งจังหวะนั้นเองเจ้าหน้าที่ได้กรูเข้าล้อมรถ แล้วแสดงตัวขอตรวจค้นทันที จึงได้มีการควบคุมตัวร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชะนะ ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. ซึ่งเป็นอดีตคนขับรถของ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ไว้สอบสวน

จากนั้นได้กันพื้นที่เพื่อเก็บกู้ระเบิด ซึ่งทราบว่าเป็นระเบิดทีเอ็นที และซีโฟร์ ผูกติดไว้ที่กระโปรงท้าย มีถังแกลลอนน้ำมันเครื่องบรรจุน้ำมันเบนซิน ผสมปุ๋ยยูเรียถึง 7 แกลลอน และวางไว้ที่เท้าอีก 6 แกลลอน รวมทั้งยังพบแผงวงจรที่เบรคมือ และมีการติดตั้งวงจรไว้พร้อมที่จะระเบิดได้ทันที

ซึ่งระเบิดที่พบมีอานุภาพร้ายแรงในรัศมีไกลถึง 1 กิโลเมตร โดยคนคิดใช้ตัวรถเป็นสะเก็ดระเบิด ใช้วิธีจุดชนวนด้วยรีโมทคอนโทล หรือจุดระเบิดโทรศัพท์มือถือ -หลังจากการจับกุมร้อยโทธวัชชัย ได้ไม่นานพันตำรวจโททักษิณ ได้มีคำสั่งปลด พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี รองผอ.กอ.รมน.พ้นจากหน้าที่ทันที

จากนั้นมีการสอบสวนขยาย ผลจับกุมจ่ายักษ์ หรือ จสต.ชาคริต จันทระ ช่วยราชการ กอ.รมน.เช่นเดียวกันร้อยโทธวัชชัย ซึ่งเป็นคนขับรถของพันเอกสุรพล ตามด้วยการออกหมายจับ พลตรีไพโรจน์ ธีระภาพ พันเอกสุรพล สุประดิษฐ์ หรือเสธ.ตี๋, และพันโทมนัส สุขประเสริฐ

แต่ผู้ต้องหาทุกคน ปฏิเสธทุกข้อหา เช่นเดียวกัน พลเอกพัลลภที่ถูกพาดพิงได้ยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่อง ราวที่เกิดขึ้น มีเพียงจ่ายักษ์คนเดียวที่รับสารภาพ ว่ามีการวางแผนปฏิบัติการคาร์บอมพันตำรวจโททักษิณ จริง โดยได้เริ่มครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม แต่แผนการก็ล้มเหลวไปถึง 3 ครั้ง

ตำรวจได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหญ่ขึ้นมาสอบสวน และได้สรุปสำนวนเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 โดยสรุปสั่งฟ้องผู้ต้องหา 4 คน ต่ออัยการทหาร คือ พลตรีไพโรจน์ พันเอกสุรพล พันโทมนัส และร้อยโทธวัชชัย ถึง 6 ข้อหาด้วยกัน คือ ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันปลอม และใช้เอกสารราชการปลอม และซ่องโจร

http://www.krobkruakao.com/kkn/?a=news&s=detail&news_id=7351

----------------------------------------------------------------

ยกฟ้องคดีคาร์บอมบ์ทักษิณ

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552 15:57
ศาลทหารยกฟ้อง3ผู้ต้องหาคดีคาร์บอมบ์ทักษิณแต่ให้จำคุก4-6ปีฐานขนระเบิด
แฟ้มภาพ:โพสต์ทูเดย์

ศาล ทหารอ่านคำพิพากษา คดีลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยตัดสิน ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน ปรับ 3,000 บาท ตัดสิน พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ และ พ.ท.มนัส สุขประเสริฐ ให้จำคุก 6 ปี ปรับ 4,000 บาท ในข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อนุญาต ร่วมกันเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิด พกพาอาวุธไปในเมือง ตลอดจนร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย เนื่องจากศาลเห็นว่า จำเลยทั้ง 3 คน มีความผิดตามฟ้อง

ส่วนข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิด และจากการตรวจค้นจำเลยที่ 1 คือ ร.ท.ธวัชชัย ไม่พบเครื่องกดสัญญาณ นอกจากนี้ รถของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ผ่านจุดของรถที่มีวัตถุระเบิดไปแล้ว

http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=62588

----------------------------------------------------------------

"ทักษิณ"บอกศาลทหารตัดสินคุกคาร์บอมม์ เท่ากับมีลอบฆ่าจริง

19 สค. 2552 18:49 น.

นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศาลทหารพิพากษาจำคุกผู้ต้องหาคดีคาร์บอมบ์ลอบสังหารพ .ต.ท.ทักษิณ ในข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อนุญาต ร่วมกันเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิด พกพาอาวุธไปในเมือง ตลอดจนร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ว่า ตนได้พูดคุยเรื่องนี้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า สิ่งนี้เป็นการยืนยันที่ท่านพูดอยู่เสมอว่าคาร์บอมม์มีจริง พ.ต.ท.ทักษิณ จะถูกลอบสังหารจริงตั้งแต่สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นคาร์บ๊องตามที่เรียกกัน แม้ว่าศาลจะไม่รับฟ้องในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่การที่ศาลตัดสินลงโทษในข้อหาเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดก็เป็นสิ่งที่ยืนยัน ว่าความพยายามฆาพ.ต.ท.ทักษิณ มีอยู่จริงตามแผนบันได 4 ขั้นของคมช.
สำหรับกรณีที่สำนักราชเลขาธิการออกแถลงการณ์โดยระบุว่าจะส่งเรื่องการถวาย ฎีกาของคนเสื้อแดงในการขอพระราชทานอภัยโทษให้พ.ต.ท.ทักษิณให้รัฐบาลถวายความ เห็นประกอบพระราชดำรินั้น นายนพดล กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากต้องการปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=400518

----------------------------------------------------------------