ตั้งแต่ไปม็อบมา
รู้สึกชอบม็อบช่วง พรก.ฉุกเฉิน หลังสงกรานต์เลือด
ผู้คนมากันอย่างกล้าๆ กลัวๆ
บ้างก็หันหลังคุยกัน
บ้างก็นั่งดูว่าวแต่คุยเรื่องการเมืองกับคนข้างๆ
บ้างนั่งกินข้าวคุยกันข้ามโต๊ะ
บางส่วนก็จับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มๆ
ไม่มีแกนนำ
ไม่มีเวทีปราศรัย
เพราะอยู่ในช่วงพรก.ฉุกเฉิน
และไม่มีใครสั่งให้มา
แต่ต่างคนต่างมุ่งหน้ามาเจอกันที่ท้องสนามหลวง
มาหาอะไรกินกันยามเย็น
แล้วก็จับกลุ่มคุยกัน
เกี่ยวกับเหตุบ้านการเมืองกันเป็นกลุ่มๆ
จากไม่กี่ร้อยคนจนกลายเป็นหลายพันคน
การชุมนุมแบบนี้
ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร
นอกจากค่ากิน
ค่าเดินทางของแต่ละคน
นอกนั้นไม่มีค่าเวที
ค่าเครื่องเสียง
ถ้าดีหน่อยก็ระดับแสน
ระดับล้านบาทต่อวัน
ไม่มีค่านั่นนี่
การชุมนุมแบบนี้อยู่ได้เป็นปี
ทุกคนเป็นแกนนำตัวเอง
พาตัวเองมาเจอแกนนำคนอื่นๆ
แล้วก็สังสรรกันเหมือนเป็นแกนนำกันทุกคน
ไม่ต้องแย่งกันเป็นแกนนำ
ไม่ต้องแย่งกันปราศรัย
ใครอยากพูดอะไรก็จับกลุ่มคุยกัน
เบื่อก็เปลี่ยนกลุ่มคุย
ถ้าทำกันแบบนี้ทั่วประเทศ
นัดวันว่างๆ สักวันมาร่วมสังสรรกันในแต่ละพื้นที่
ไม่จำเป็นต้องมีเวที
เพื่อให้ทุกคนสามารถแสดงออก
แสดงความคิดความเห็นของตัวเองได้
นอกจากนั่งฟังกันอย่างเดียว
ไม่เน้นสีเสื้อหรือสัญลักษณ์ใดๆ
เน้นแค่ว่าสามารถมารวมกันได้ในช่วงวิกฤต
จากประสบการณ์ครั้งก่อน
จะพบว่ายามปกติคนมาเป็นหมื่นเป็นแสน
แต่ยามวิกฤตไม่มีแกนนำทุกอย่างสงบลง
ทุกอย่างจบลงอย่างเรียบร้อย
ดูแล้วไม่มีประโยชน์ใดๆ
ถ้ากลับกันทุกคนกล้าเป็นแกนนำตัวเอง
มาร่วมด้วยใจสั่งมา
เจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำร้ายจิตใจ
สามารถตรงไปร่วมกันโดยไม่ต้องมีใครนัดหมาย
ไม่จำเป็นต้องมีนักปราศรัยถึงมาร่วมได้
ไม่จำเป็นต้องมีใครสั่งถึงมาร่วมได้
นี่คือม็อบในฝันที่เราอยากเห็น
และการสังสรรกันเป็นประจำทุกๆ อาทิตย์ยามว่างๆ
ใครว่างก็มา ไม่ว่างก็เว้นไป
ตามแต่สะดวกของแต่ละคน
แบบนี้จะเป็นเหมือนการอุ่นเครื่องอยู่ตลอดเวลา
เกิดอะไรขึ้น สามารถรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ได้ทันที
การที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเยอะ
แค่มีที่ยืนก็สามารถเกาะกลุ่มคุยกัน
แลกเปลี่ยนความคิดความเห็น
หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ กันได้แล้ว
แถมสามารถชุมุนมร่วมกันได้ทั้งปี
ไม่จำเป็นต้องไประดมทุนที่ไหน
ไม่จำเป็นต้องพึ่งทุนใคร
เป็นการฝึกไว้เผื่ออนาคตไม่มีนายทุน
เผื่ออนาคตไม่มีคนปราศรัย
เผื่ออนาคตที่ไม่แน่นอน
ที่อาจมีการแปรพักตร์
หักหลังประชาชนในระดับแกนนำ
ส่วนถ้ามีการจัดม็อบโดยมีแกนนำที่ไหน
ถ้าทุกคนได้รับรู้ข้อดีข้อเสียแล้ว
ก็ตัดสินใจไปร่วมกันตามสะดวกแต่ละคน
โดยอาจเว้นเสาร์ที่มีม็อบใหญ่ๆ มาชนกัน
เพื่อไปร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มใหญ่
เปลี่ยนบรรยากาศไปในตัว
ไม่ทราบว่าจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่กับแนวทางนี้
เริ่มเสาร์นี้เลยเป็นยังไง
เน้นไปพูดคุยสังสรร หาอะไรกินกัน
ไปช่วงเย็นๆ สองสามทุ่มก็กลับ
ส่วนใครจะอยู่ดึกๆ คุยกันต่อก็ตามสะดวก
ไม่เน้นทำผิดกฏหมาย
เน้นแสดงตนว่าไม่ยอมก้มหัวให้ใคร
เพื่อให้บางคนเห็นหัวบ้าง
แรกๆ อาจมีไม่กี่สิบ
พอคนรู้ก็อาจมีระดับร้อยระดับพันไปเรื่อยๆ
อันที่จริงถ้ามีเป็นหมื่นแล้วไม่มีคนนำ
ไปรวมกันเหมือนไปตลาดนัด
จะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงจำนวนเสรีชน
ที่ไปโดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อม
หรือบรรยากาศตกแต่งอะไร
แต่ไปเพราะใจอยากให้ไป
ไปเพราะตนเองสั่งให้ไป
ไปเจอไปสังสรรกันเยอะๆ แบบนี้
เชื่อเหอะว่าวันไหนมีเยอะๆ
จะต้องมีคนเห็นหัวพวกเราแน่ๆ
เพราะว่าม็อบแบบนี้
สกัดยากกว่าม็อบที่มีแกนนำ
ที่คอยทำตามแกนนำสั่งเท่านั้น
เพราะม็อบแบบนั้นแกนนำสั่งให้หยุดก็หยุด
แค่ควบคุมสกัดแกนนำได้ทุกอย่างจบ
แต่ถ้าเป็นม็อบใช้ใจเป็นตัวนำไป
และใช้เหตุผลในการทำกิจกรรมร่วมกัน
ไม่ต้องมีใครสั่งไม่ต้องมีใครบอก
สามารถไปกันเอง
โดยไม่จำเป็นต้องนัดหมายล่วงหน้าก็ได้
ช่วงแรกๆ อาจนัดทุกวันเสาร์
เพื่อให้เกิดความเคยชินก่อน
ต่อไปสามารถมาวันอื่น
วันที่รู้สึกคับแค้นใจอยู่บ้านไม่ได้
จะเป็นม็อบที่เล่นไม่เลิก
ไม่ต้องใช้ทุนอะไร
นอกจากค่าใช้จ่ายส่วนตัว
ของแต่ละคนเท่านั้น
ถ้าต่างจังหวัดทำได้แบบนี้
ก็เหมือนมีคนคอเดียวกัน
ที่พร้อมรวมกันในวันใดวันหนึ่งได้ง่ายๆ
ไม่รู้ทุกวันนี้ยังมีม็อบเล็กๆ
แถวสนามหลวงหรือไม่
ช่วงก่อนเห็นมีทุกวันแต่ไม่เป็นข่าว
แต่จริงๆ แล้ว อาทิตย์ละครั้ง
ไปกันเองได้โดยไม่มีใครสั่ง
แล้วค่อยๆ พาคนไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จะคึกคักขึ้นเอง
ร้านค้าอะไรใครใคร่ขาย ขาย
ใครใคร่ซื้อ ซื้อ
ปล่อยเป็นธรรมชาติไม่ต้องไปจัดการอะไร
แค่ไปอาศัยที่ยืนจับกลุ่มคุยกันก็พอ
ที่ชวนไปสนามหลวง
ก็ไม่ได้อยากเป็นแกนนำอะไร
บอกตรงๆ ว่าไม่ว่าง
แต่เสนอแนวทางให้ทุกคนไปกันได้เอง
ไม่ต้องรอคนนั้นต้องไป ฉันถึงไป
บางทีเขาอาจไม่ว่างบางอาทิตย์
ใครสะดวกไปก็ไป
เป็นม็อบแบบธรรมชาติสุดๆ แล้ว
และที่กล่าวมานี้เป็นยุทธวิธีหนึ่ง
เพราะปกติแล้วที่บางคนบอกว่าต้องมีแกนนำ
แต่ผมเห็นแต่นักปราศรัย
ผมยังไม่เห็นคนเสนอยุทธศาสตร์
เพื่อให้มีมวลชนเพิ่มมากขึ้น
และรองรับเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอะไรเลย
นอกจากนัดวันชุมนุม
แล้วก็ปราศรัยสรุปเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง
ลองมั่นใจฝึกกล้าเป็นแกนนำตนเอง
ไม่ต้องคิดไปนำคนอื่น
พาตัวเองไปร่วมชุมนุม
โดยไม่ต้องสนใจว่า
จะมีเวทีหรือไม่ มีเครื่องเสียงดีหรือไม่
มีนักปราศรัยคนนั้นคนนี้มาหรือไม่
ควรเน้นสถานการณ์ตอนนั้นเป็นหลัก
ว่าไม่น่าอยู่บ้าน
น่าไปร่วมชุมนุมอย่างสงบ
เน้นสงบสันติของจริง
และเสื้อหลากสีสามารถเข้ามาร่วมได้
ส่วนใครอยากมาเปิดเวทีปราศรัยเล็กๆ
ขอเล็กๆ แบบว่าอยากยืนคุยกันบ้าง
ไม่ใช่เสียงดังกลบจนคุยกันไม่ได้
เผื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
เดินไปฟังกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ปราศรัย
แต่หลักๆ จะจับกลุ่มคุยกันมากกว่า
เพราะวันที่อยู่ในช่วง พรก.ฉุกเฉิน
มักไม่มีเวทีปราศรัยใดๆ
เพราะมันผิดกฏหมาย
ก็ฝึกให้ชินไว้
เราสู้แบบถูกกฏหมาย
แบบคนไม่มีอาวุธ
แต่ไม่ขอความเมตตาจากใคร
แค่จะรวมกลุ่มแล้วให้เขาเห็นหัวกับตาเท่านั้น
มีเยอะๆ วันไหนก็จะมีพลังมากๆ
จนเขาไม่กล้าทำอะไรไม่เห็นหัวประชาชน
ตัวอย่างเหตุการณ์ช่วง พรก.ฉุกเฉิน หลังสงกรานต์เลือด
ช่วงนั้นอารมณ์แต่ละคนกำลังเดือดๆ กันเลย
<<< ไปกินข้าวที่สนามหลวงมา คนเริ่มเยอะขึ้น >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/04/blog-post_5911.html
<<< เมื่อวานไปดูว่าวที่สนามหลวงมา >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/04/blog-post_19.html
<<< รัฐบาลจำลองภาพยุคมืดให้ประชาชนที่สนใจไปดู >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/04/blog-post_21.html
<<< โดนรุมกล่าวหาว่าเป็นแดงเทียมที่สนามหลวงเมื่อคืนนี้ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/04/blog-post_4667.html
ผมว่าจะไม่ยึดแดงนั่นแดงนี่แล้ว
ผมจะไปแนวหลากสีแทน
แต่ก็ไปร่วมม็อบที่แดงนั่นนี่จัดบางครั้ง
ที่เน้นหลากสี เพราะแดงก็ร่วมได้ เหลืองก็มาได้
ต้องร่วมสู้กันเพื่อให้เขาเห็นหัว
ไม่เช่นนั้นยอมโดนเขาเสี้ยม
เพื่อมาห้ำหันกันเอง
สุดท้ายไม่ว่าเหลืองหรือแดงเพลี่ยงพล้ำไป
สีที่เหลือจะโดนจัดการตอนจบอยู่ดี
"ถ้าไม่สู้เพื่อสิทธิตัวเองแล้ว ท่านก็จะไม่ได้สิทธิของตัวเอง"
ส่วนพวกฮาร์ดคอร์อะไร
ผมไปฟังบ่อยไม่มีอะไรหรอกครับ
ชื่อก็เรียกกันไปยังงั้นเอง
ที่จริงไม่ได้ฮาร์ดคอร์แบบชื่อเลย
บางทีดูที่ชื่ออย่างเดียวไม่ได้หรอก
แต่ที่บอกว่าไม่ฮาร์ดคอร์
แต่จริงๆ แล้วกำลังคน
ล้วนชายฉกรรจ์พร้อมลุยมีเยอะแยะเลย
ที่ผมชอบเรียกว่าฮาร์ดคอร์เพราะว่า
ปราศรัยแบบกระโชกโฮกฮากมากกว่า
และบางพวกก็อยากลุยเป็นเฉพาะคน
แต่เห็นลุยไปให้เขาตีประจำ
เลยไม่รู้เรียกฮาร์ดคอร์นี่ถูกไหม
ที่จริงต้องพูดว่า
พวกจริงใจชอบพูดขวานผ่าซากมากกว่า
ส่วนใหญ่อายุ 40-60 แล้วทั้งนั้นแหล่ะ
ที่หลายคนเรียกว่าพวกฮาร์ดคอร์
ส่วนพวกชายฉกรรจ์ เด็กวัยรุ่น
และพวกสีเขียว สีกากีแฝงมาร่วมด้วย
พวกนี้อยู่ในม็อบที่ไม่ได้เรียกว่าพวกฮาร์ดคอร์
ตอนนี้ผมเห็นกระทู้สองแดงตีกันสนุกไปเลย
สุดท้ายก็จะมีพวกเนวิน2
ลดทอนกำลังกันเองลงไปอีกเรื่อยๆ
ผมเห็นแล้วถ้าไม่มีแกนนำน่าจะดีกว่า
จะได้ไม่ต้องมาแย่งกันนำ
มากันแบบธรรมชาติ
อาศัยเหตุผลชักจูงให้คนเห็นด้วย
มากกว่าอาศัยคำพูดและตำแหน่งแกนนำ
ชักจูงคนให้เห็นด้วย
และทำนายได้เลยถ้าคิดจะตีกันเพื่อแย่งกันนำ
ชาตินี้ก็ตีกันไม่เลิกถ้าไม่ยอมเลิก
เพราะมันไม่มีทางที่ใครจะเถียงกันชนะไปได้
ถ้าไม่เอาเหตุผล
ถ้ายึดต้องพวกฉันเท่านั้นเท่านี้เวียนหัว
แค่ให้ใครเป็นแกนนำชาตินี้ก็ตกลงกันไม่ได้
เพราะว่าไม่มีจุดยุติ
อย่างการเลือกผู้นำประเทศ
ยังมีจุดยุติที่การเลือกตั้ง
ถ้าไม่มีการเลือกตั้ง
ปล่อยให้ปราศรัยหาเสียงด่ากันไปด่ากันมา
เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่เหลือคนไปฟังหรือไปสนับสนุน
คุณว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นไหม
ไม่มีทางพวกใครพวกมันแล้วหล่ะเรื่องแบบนี้
เถียงกันให้ตายก็ไม่จบ
ถ้าไปผสมโรงด้วย
ก็เท่ากับแบ่งข้างตีกันเองดีๆ นี่เอง
ถ้าแยกตัวออกห่าง
ก็จะเหลือไม่กี่คนที่ตีกัน
ดูๆ ไปก็จะแยกออกว่า
ใครเป็นพวกเสี้ยมมาผสมโรง
ใครเป็นกองเชียร์หรือทีมงาน
จริงๆ น่ะถ้าไม่ใช่ทีมงานทั้งสองฝ่าย
ถอยออกมาให้หมดไม่เข้าไปยุ่งด้วย
เดี๋ยวคุณก็เห็นเฉพาะทีมงานล้วนๆ
ก็อย่างที่บอก
เถียงกันให้ตายถ้าไม่มีการเลือกตั้ง
ก็ไม่มีวันจบ
แล้วจะตั้งหน้าตั้งตาเถียงกันไปทำไม
ถ้าคนไม่เกี่ยวแค่กองเชียร์ลองกัดฟันถอยออกมา
คุณก็จะเห็นเหลือแค่ทีมงานกับขาเสี้ยมเท่านั้นแหล่ะ
เพราะขึ้นชื่อว่าทีมงาน
ก็ต้องทำงาน
แต่กองเชียร์ทำไม่ทำก็ได้
ไม่เห็นต้องชี้แจงลองถอยออกมา
เถียงไปก็ไม่ชนะ
เดี๋ยวก็เลิก
ถ้าไปผสมโรงเลิกยาก
และจะกลายเป็นศัตรูกันไปเรื่อยๆ
กลายเป็นเนวิน2
เหมือนเนวินโมเดลนั่นแหล่ะ
โดย มาหาอะไร
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.