บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


14 มกราคม 2553

<<< ระบอบเปรม >>>

ระบอบเปรม
คอลัมน์"ซอย สวนพลู"เมื่อ20ปีที่แล้ว
คอลัมน์ ซอยสวนพลู
หนังสือพิมพ์รายวัน สยามรัฐ
ฉบับประจำวันที่ 11 มีนาคม 2530 (20 ปีมาแล้ว)
โดยอาจารย์ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ได้รับการยกย่องเป็นพหูสูตร และเสาหลักประชาธิปไตยของไทยในอดีต

ความจริงผมไม่อยากจะเขียนเรื่อง ที่จะเขียนต่อไปนี้เลย แต่เมื่อได้พิจารณาดูโดยรอบคอบแล้ว เห็นว่า จำเป็นต้องเขียนเพราะถ้าไม่เขียนแล้วอาจเกิดผลเสียหายใหญ่โตต่อไปได้

จะ กระเทือนใครบ้างผมก็ไม่สนใจละครับ เพราะผมคิดเสียว่า ถ้าผมกระเทือนใครคนนั้นเป็นคนควรกระเทือนหรือกระเทือนอยู่แล้ว

มี ข่าวออกมาว่า ในหลวงมีพระราชดำรัสกับคนหนังสือพิมพ์ที่จังหวัดเชียงใหม่ในทำนองว่า

ระบอบ ประชาธิปไตยในเมืองไทยนั้นยุ่งยากเพราะเราต้องลอกแบบฝรั่งเอามาใช้ ถ้าทำแบบไทยๆ ก็คงจะยุ่งยากน้อยลง พระราชดำรัสนี้มีขึ้นในโต๊ะเสวยขณะที่มีพระราชปฏิสันถารกับคนหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นธรรมดาของพระราชดำรัสในโต๊ะเสวยก็จะต้องมีพระราชกระแสอื่นๆ มาก่อนหน้านี้ หรือคนหนังสือพิมพ์กราบบังคมทูลถามอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง และเมื่อมีพระราชกระแสที่เป็นข่าวนี้แล้ว ก็จะต้องมีพระราชกระแสอื่นๆ ต่อไปอีก

การที่จะนำพระราชกระแสในโต๊ะเสวยมาบอกเล่าให้คนนอกทราบนั้น ก็ไม่บังควรอย่างยิ่งอยู่แล้ว

แต่ถ้าจะบอกเล่า ก็ควรจะบอกให้หมดว่า พระราชกระแสก่อนนั้นมีมาอย่างไร และพระราชกระแสต่อไปมีอย่างไร การที่รัฐบาลจงใจเชิญพระราชกระแสมาแต่ประโยคเดียว แล้วสั่งให้เผยแพร่ต่อไปนั้น เป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง แม้จะเป็นคำพูดของคนอื่นก็ไม่ควร เพราะไม่เป็นธรรมแก่ผู้พูด

ความ จริง คนหนังสือพิมพ์ที่เฝ้าฯอยู่ในโต๊ะเสวยนั้น มีอยู่หลายคน ไปจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับ แต่มีอยู่เพียงฉบับเดียวหรือสองฉบับเท่านั้น ที่ได้นำมาลงเป็นข่าว แต่ก็เป็นข่าวเล็กๆ มิได้ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ข่าวสำคัญ หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่นั้นมิได้เอ่ยถึงเลย

ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า หนังสือพิมพ์ไทยนั้นถึงจะจ้วงจาบใครต่อใครให้เกิดโทสะ เคียดแค้นได้อยู่เสมอ แต่ก็รู้ที่ต่ำที่สูง บูชาคนที่ควรบูชาและมีความจงรักภักดีอันมั่นคงแข็งแรงอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือ หนังสือพิมพ์ไทยยังเป็นผู้ดีอยู่ไม่กำเริบ

ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมนายกรัฐมนตรีเปรม ติณสูลานนท์ จึงได้ตื่นเต้นถึงกับบอกคณะรัฐมนตรีให้ช่วยกันเผยแพร่ข่าวนี้ให้สะพัดออกไป และย้ำแล้วย้ำอีกว่า อยากให้คนรู้กันทั่ว

ที่คุณเปรมอ้างว่าจงรัก ภักดีต่อพระกรุณายิ่งกว่าใครนั้น น่าจะต้องเอามาผ่านห้องทดลองเพื่อวิเคราะห์กันใหม่เสียแล้วกระมัง? สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องคิดก็คือ คำว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ นั้น หมายความว่าอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความหมายของคำนี้ในขณะที่มีพระราชดำรัสนั้นเป็นอย่างไร เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ผมเองก็ไม่รู้

คุณเปรมเป็นอะไรมาจึงจะเข้าไป หยั่งรู้ในพระราชหฤทัยได้?

เพียงแต่คิดว่าตัวรู้ก็ออกจะเป็นคนไม่น่า ติดต่อด้วยเสียแล้ว

เรื่องประชาธิปไตยแบบไทยๆ นี้ ผมได้ยินพูดกันมาช้านานแล้วคนโน้นพูดบ้างคนนี้พูดบ้าง ฟังดูก็เห็นตรงกันแต่ศัพท์ที่ใช้เรียก

ส่วนวิธีการที่อ้างว่าเป็น วิธีการแบบไทยๆ นั้น ไม่เห็นตรงกันสักราย เมื่อต่างคนต่างคิดในเรื่องเดียวกันนี้ ต่างคนต่างก็มีวิธีการของตนแตกต่างกันไป บ้าบ้าง บอบ้าง บิ่นบ้าง หาอะไรเป็นแก่นสารและเอาเป็นที่ยุติไม่ได้

เมื่อคุณเปรมตื่นเต้นใน ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ อย่างนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่า คุณเปรมเองก็ต้องการและมีวิธีการของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ของตนเอง

หมาย ถึง การเป็นนายกฯโดยไม่ต้องสมัครผู้แทนฯให้เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ ใช่ไหม?

หมาย ถึงการที่เป็นนายกฯคนเดียวตลอดไปใช่ไหม?

หมายถึงนายกฯคนที่ชื่อเปรม นั้นไม่ต้องรับผิดในสิ่งใดและต่อใครใช่ไหม?

หมายถึงนายกฯคนที่ชื่อ เปรมจะต้องอยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ ใครแตะต้องไม่ได้ ใช่ไหม?

หมาย ถึง ความเป็นนายกฯนั้นมีแต่เสวยสุข ไม่มีทุกข์กับใคร ใช่ไหม?
ได้อยู่ บ้านหลวง ใช้น้ำหลวง ไฟหลวง ใช่ไหม?

จะไปไหนก็ใช้รถหลวง เรือหลวง หรือหลวงออกค่าโดยสารเครื่องบินให้ยกโขยงกันไปเที่ยวต่างประเทศได้ ใช่ไหม?

จะ ไปไหนก็มีคนมาเรียงรายคอยต้อนรับ บางแห่งถึงกับก้มลงกราบกับพื้นดิน ใช่ไหม?

ความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดตัณหาอุปาทาน อันเป็นต้นเหตุของอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ โลภะ ทำให้เกิดความอยากเห็นความคิดของตนเป็นผลจริงจังขึ้นมา เพื่อทุกอย่างที่ตนปรารถนาจะให้เกิดขึ้นจะได้เกิดขึ้น

และเห็นจะเป็น เพราะความอยากนั้นเอง ที่ทำให้คนเหมาเอาคำว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ในพระราชดำรัสนั้นตรงกับความหมายที่ตนคิดไว้ ถึงกับดีอกดีใจสั่งให้เผยแพร่ต่อๆ ไป เป็นการตู่พระราชดำรัสโดยแท้

ในหลวง นั้น ทรงเป็นล้นพ้นในทุกกรณี ไม่ควรที่ใครจะไปเหมาเอาว่า พระราชดำริใดๆ ตรงกับความคิดของตนเองได้

เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ หากคุณเปรมหรือรัฐบาลคุณเปรม ไม่ว่าจะเป็นเปรม 5 เปรม 6 ไปจนถึงเปรม 432 จะกระทำสิ่งใดโดยอ้างว่า เพื่อเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ แล้ว จะต้องถือว่าการกระทำนั้นเป็นความคิดของคุณเปรมเองแต่ผู้เดียว ไม่ใช่ตามความหมายในพระราชดำรัส

ใครไม่เห็นด้วยก็อาจแย้งได้ คุณเปรมไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้างว่า ทำไปตามพระราชดำรัสเพื่อปกป้องคุ้มกันตนเอง เมื่อมีอะไรเสียหายเกิดขึ้น คุณเปรมจะต้องรับผิดด้วยตนเอง จะไปซัดความผิดให้แก่ใครไม่ได้ จะอ้างว่า ทำไปด้วยความจงรักภักดีก็ไม่ได้เด็ดขาด

คุณสมัคร สุนทรเวช ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน แต่แทนที่ใครจะได้สติ คุณสมัครกลับถูกโจมตีมากมายทางวิทยุและทางอื่นๆ

ผมได้อ่านคำชี้แจง ของคุณสมัครในหนังสือพิมพ์เดลิมิเลอร์ เกี่ยวกับเรื่องที่คุณสมัครถูกโจมตีนี้แล้ว รู้สึกจับใจในความรู้จักประมาณตนของคุณสมัครมาก ไม่เสียทีที่คุณสมัครเกิดมาในตระกูลข้าราชสำนัก มีบรรพบุรุษเคยใกล้ชิดพระองค์มาก่อน รู้ต่ำรู้สูง รู้สิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควร

คึกฤทธิ์ ปราโมช

http://mayamylife.spaces.live.com/blog/cns!B237D9ECE0B85317!848.entry

--------------------------------------------------------------

เห็นคนเขาพูดกันแต่ระบอบทักษิณ
ก็เลยอยากรู้ว่าระบอบเปรมมีใครตั้งให้ยัง
ปรากฏว่าค้นไปค้นมาไปเจอบทความข้างบนนี้
ถึงบางอ้อว่า หม่อม คึกฤทธิ์ ตั้งไว้หลายสิบปีมาแล้ว
ดังนั้นก็เลยใช้คำว่าระบอบเปรมได้ถนัดใจหน่อย
เพราะว่าไม่ได้ตั้งเองมีเกจิอาจารย์ตั้งไว้ให้แล้ว

คราวนี้หลายคนอาจงงว่าระบอบเปรมนั้นเป็นยังไง
ผมก็จะลองพยายามมาขยายความตามที่ผมรู้มาแล้วกันว่า
ระบอบเปรมนั้นก็คงหมายถึง
ระบอบที่ใช้อำนาจโดยไม่ผ่านการเห็นชอบจากประชาชน
เพราะว่าเปรมนั้นไม่เคยลงเลือกตั้งแม้แต่ครั้งเดียว
แต่เป็นนายกถึง 8 ปี 3 สมัย
ที่เป็นได้เพราะว่ามีบารมี มีอำนาจ คุมกองทัพได้หมด
ภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่ามีปืน
ถึงไม่มีเสียงประชาชนหนุนหรือเลือกให้เป็น
แต่พรรคการเมืองไหนชนะมา
ก็ต้องให้เปรมเป็นนายกในช่วงนั้น
ไม่มีหัวหน้าพรรคคนไหนกล้าพอที่จะขอเป็นเอง
เป็นระบอบเผด็จการเต็มใบก็ว่าได้
ไม่ใช่แค่ประชาธิปไตยครึ่งใบ
หรือประชาธิปไตยแบบไทยไทยอย่างที่ชอบอ้างกัน

ที่สำคัญระบอบนี้กำลังกลับมาอีกครั้ง
อันที่จริงก็กลับมานานหลายปีแล้ว
แต่ไม่โฉ่งฉ่างจนคนทั่วไปจับได้หรือสังเกตุเห็น
แต่ต่อไปนี้จะไม่ต้องแอบกันแล้ว
มีการเปิดตัวกันอย่างชัดเจน
แต่เปลี่ยนจากเดิมเล็กน้อย
ระบอบเปรมเดิมนั้น
พรรคไหนชนะต้องมาหนุนเปรมเป็นนายก
แต่ระบอบเปรมใหม่
พรรคไหนชนะต้องได้รับการหนุนจากเปรม
ไม่งั้นเป็นนายกอยู่ไม่สุขอยู่ไม่นาน
สังเกตุจากรัฐบาล 2-3 ชุดที่ผ่านมา
แต่ถ้ารัฐบาลไหนเปรมออกปากหนุน
ว่าดียังงั้นดียังงี้ หรือส่งสัญญาณว่าหนุนหล่ะก้อ
แสดงว่าอยู่ได้นาน จะมีคนในกองทัพ
มาช่วยค้ำเก้าอี้นายกกันเต็มที่

ทั้งๆ ที่ตำแหน่งในปัจจุบันนั้น
เป็นตำแหน่งประธานองคมนตรี
ซึ่งควรจะรักษาความเป็นกลาง
เพื่อให้คนเลื่อมใสนับถือ
ไม่ควรหนุนพรรคการเมืองไหนหรือรัฐบาลใด
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว
ชาวบ้านที่พบเห็นเขาอาจไม่ยกย่องเทิดทูล
ว่าเป็นประธานองคมนตรีตามตำแหน่ง
แต่เขาอาจคิดว่าเป็นที่ปรึกษาพรรคการเมือง
หรือสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
ถ้าทนไม่ไหว ทนเห็นบ้านเมืองขาดคนมีคุณธรรมจริยธรรม
ในการเข้ามาบริหารประเทศ มาเป็นนายกประเทศนี้
ก็น่าจะลาออกมาตั้งพรรคการเมือง
หรือไม่ก็สมัครเป็นหัวหน้าพรรค ปชป. ให้รู้แล้วรู้รอดไป
ถ้าทำแบบนี้ มาตามวิถีทางประชาธิปไตย
แล้วเกิดท่านได้รับเลือกให้เป็นนายก
ชาวบ้านที่ไหนก็ว่าพวกท่านไม่ได้
แต่ถ้าคิดประยุกต์ระบอบเปรม
จากแนวเดิมแบบออกหน้า
มาเป็นแนวใหม่อยู่ข้างหลัง
รับประกันได้ว่าแผ่นดินนี้จะวุ่นวายครั้งใหญ่
ถ้าจำได้ ก่อนที่ประกาศว่า ผมพอแล้ว
ไม่ขอรับเป็นนายกอีกหลัง
ชาติชายเตรียมยกตำแหน่งให้อีก
จะพบว่าเริ่มมีนักวิชาการและชาวบ้าน
ก่อหวอดสร้างกระแสความไม่พอใจ
ถึงขั้นไปชกปากท่านก็ยังมี
แล้วคิดหรือว่า ยุคสมัยนี้
เขาจะยอมให้ท่าน
เล่นอยู่ข้างหลังไปตลอดแบบที่เป็นอยู่หรือ

โดย มาหาอะไร

-----------------------------------------------------------------------

"ป๋าเปรม" ชี้ทหารของในหลวง รบ.เป็นแค่จ๊อกกี้ มาแล้วก็ไป

สรุปประเด็น ข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวในการบรรยายพิเศษ หัวข้อ “ทหาร อาชีพ กับทหารมืออาชีพ” ให้กับนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 950 ว่า ขอบคุณ ผบ.ทบ.และ ผบ.จปร.ที่ให้โอกาสมาพูดกับนายทหารและนักเรียนนายร้อย ตนมีความสำนึกอยู่เสมอว่า มีหน้าที่ที่จะต้องตอบแทนบุญคุณสถาบันหลายสถาบันที่เกี่ยวข้องกับชีวิตตน และการทำหน้าที่ในการรับราชการของตน โรงเรียนนายร้อย จปร.เป็นสถาบันหนึ่งที่ไม่มีวันลืมว่ามีบุญคุณ ให้อนาคตที่ดี สอนให้รู้จักความรู้รักสามัคคี สอนให้รู้จักคำว่า เพื่อนตาย ที่เราจะตายรวมกันทั้งในยามปกติและในยามสงคราม หรือยามฉุกเฉิน สอนให้รู้จักว่าเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน

พล.อ.เปรม กล่าวอีกว่า เมื่อกี้พูดถึงเรื่องว่า เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน ที่จริงประโยคนี้ คนนี้เป็นคนคิด และพยายามพูดให้คนไทยเข้าใจว่า เราเกิดมาในแผ่นดินนี้เรามีหน้าที่หลายอย่าง แต่หน้าที่สำคัญที่สุดคือการตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน ถ้าเราไปเปิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ใช้อยู่ในฉบับปัจจุบันนี้ เขาจะกำหนดหน้าที่ของคนไทยไว้ แต่ไม่มีคำนี้หรอก ไม่มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า คนไทยเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินไม่มี แต่เราจะต้องมี ถึงไม่มีในรัฐธรรมนูญแต่เราก็จะต้องทำ

"มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้พวกเราได้ยิน และเข้าใจว่าเราเป็นทหาร แต่ต้องพูดต่อไปว่า เราเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวที่ไปพูดที่อื่นก็พูดทำนองนี้ว่า เราเป็นทหารของชาติเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็มีคนเถียงว่า ถ้าอย่างนั้นรัฐบาลก็สั่งทหารไม่ได้ คนที่เถียงกันเขาอาจจะไม่เข้าใจเรื่องทหารเลย หรือเขาไม่ชอบหน้าพวกเราก็ได้”

ทั้งนี้ พล.อ.เปรม กล่าวต่อไปว่า อยากจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ว่าทำไมเราถึงพูดเป็นทหารของชาติเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยากจะเล่าให้ฟังอย่างนี้ก็แล้วกัน เปรียบเทียบคนที่เป็นทหารม้าถึงจะรู้เรื่องม้าดี และเรื่องการแข่งม้า การแข่งม้า ม้าจะมีคอก มีเจ้าของคอก คอกหนึ่งมีม้าหลายตัว 5 ตัว 10 ตัว 20 ตัว ก็ได้ เจ้าของคอก ก็เป็นเจ้าของม้า เวลาจะไปแข่งเขาก็ไปเอาเด็ก ที่เราเรียกกว่าจ๊อกกี้ หรือเด็กขี่ม้า ไปจ้างให้เขามาขี่ม้า พอเสร็จจากการขี่ม้า เขาก็กลับไปทำงานอย่างอื่น วันนี้เขาขี่ม้าคอกนี้ พรุ่งนี้เขาขี่ม้าอีกคอกหนึ่ง เขาไม่ได้เป็นเจ้าของม้าหรอก เขาเป็นคนขี่

"รัฐบาลก็เหมือนกับ จ๊อกกี้ คือ เข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร เจ้าของทหารคือชาติ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลเข้ามาดูแลกำหนดใช้พวกเราตามที่ประกาศนโยบายไว้ต่อรัฐสภา เด็กขี่ม้าบางคนก็ขี่ดีขี่เก่ง บางคนก็ไม่ดี ขี่ไม่เก่ง รัฐบาลก็เหมือนกัน รัฐบาลบางรัฐบาลก็ทำงานดี ทำงานเก่ง บางรัฐบาลก็ทำงานไม่ดี หรือไม่เก่งก็มี นี่เป็นเรื่องจริง” พล.อ.เปรม กล่าว

http://hilight.kapook.com/view/348

-------------------------------------------------------------------

"สุริยะใส" ย้ำ "ป๋าเปรม" อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ.....

ที่มา - คำสัมภาษณ์ของ "สุริยะใส กตะศิลา" ในนิตยสาร IMAGE ว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ..นี่คือบางส่วนที่นำมาเสนอ

- การต่อสู้ของพันธมิตร มันมีกระบวนการหลังพิงวัง ตรงนี้สร้างความอึดอัดให้ฝ่ายซ้ายจำนวนมากในพันธมิตรหรือไม่

ปัญหา ในเรื่องปรากฏการณ์หลังพิงวังมีมาตลอด และมีความอึดอัดเพราะเป็นกระแสที่เรา ก็ต่อต้านมาตลอด ถึงขนาดฝ่ายซ้ายมาขอคุยให้ ครป.ถอยออกมา แต่เราต้องยอมรับว่า การสู้กับระบอบทักษิณ เมื่อภาคประชาชนเห็นว่าระบอบทักษิณเป็นตัวปัญหา แต่ภาคประชาชนเองไม่มีกำลังพอที่จะโค่นล้มคุณทักษิณได้ ฉะนั้นก็ต้องเชื่อมประสานกับพลังอื่น ไม่ว่าจะพลังชนชั้นกลาง พลังทุนนิยมในชาติ พลังศักดินา ก็ต้องร่วมกันเพื่อจัดการคุณทักษิณ เพราะพลังศักดินาโดดๆ ก็จัดการคุณทักษิณไม่ได้ ต้องมาเชื่อมประสานกับพลังของภาคประชาชน ดังนั้นก็เลยเกิดธงหลายผืนในที่ชุมนุมประเด็นจึงอยู่ที่ว่าเราจะจัดลำดับ ความสำคัญอย่างไร เราอาจจะไม่ได้ทั้งร้อยในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่เมื่อต่อสู้แล้วไม่มีใครอยากแพ้ จึงเป็นเหตุให้เราไม่ถอย

- ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เหมือนพลังศักดินาสามารถยืมมือพลังประชาชนในการจัดการและ ดึงอำนาจคืนจากคุณทักษิณ พลังศักดินาอาจจะยืมมือเรา

ผมไม่ ปฏิเสธว่า หลังการรัฐประหาร พลังศักดินาเกิดใหม่ ระบอบอำมาตยาธิปไตยสามารถเห็นได้ชัดเจนภายใต้โครงสร้างรัฐบาลใหม่ ตรงนี้เราต้องสรุปบทเรียนว่า จะจัดการกับการเกิดใหม่ของพลังศักดินาหรือระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างไร และที่ทางของประชาชนหรือการเมืองแบบใหม่ที่สู้กันมาทั้งชีวิตจะอยู่ตรงไหน เราจะทำอย่างไร เพื่อสร้างพื้นที่ขึ้นมาในการกำหนดให้วาระของประชาชนเข้าไปอยู่ในรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่และต้องผลักดันให้ก้าวหน้ากว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540

ส่วน หนึ่งที่ต้องยอมรับในสังคมไทยคือ องค์อำนาจในสังคมไทยมีหลายองค์อำนาจ ไม่ใช่แค่กลุ่มทุนใหม่กับฝ่ายประชาชนเท่านั้น พลังศักดินาระบอบอำมาตยาธิปไตยมีอยู่จริง มีอำนาจที่เป็นจริง มีการเคลื่อนไหวปฏิบัติการในตัว และมีการปรากฏตัวออกเป็นช่วงๆ ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามองค์อำนาจส่วนนี้

อีกทั้ง ระบบอำนาจนิยมยังเข้ามาแทนที่ระบบความคิดใหม่ๆ ในสังคมไทยได้อย่างง่ายดาย เห็นได้จากการที่มีคนชื่นชมการรัฐประหารและเห็นด้วยกับรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ตรงนี้เป็นการบ้านที่ท้าทายบทใหม่

ผมยังไม่อยากไปสรุปว่า นี่เป็นระบอบใหม่ เพราะการทำรัฐประหารครั้งนี้อาจนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ พูดแบบนี้ฝ่ายซ้ายบางคนอาจจะหมั่นไส้ แต่ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสใหม่ ที่จะได้ทบทวนเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเข้มข้น ถ้าไม่มีรัฐประหารครั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงไม่มีทางเกิด เพียงแต่ว่า เศรษฐกิจพอเพียงในแนวทางอำมาตยาธิปไตย จะกล้าพูดเรื่องการกระจายอำนาจไหม จะกล้าพูดเรื่องการปฏิรูปที่ดินไหม แต่ถึงที่สุด อย่างน้อยก็ได้ทบทวนว่าเรามีเศรษฐกิจทางเลือก

- มองบทบาทของพลเอกเปรมอย่างไรบ้าง

พลเอก เปรม เป็นสัญลักษณ์ของระบอบอำมาตยาธิปไตย จริงๆ ระบอบนี้ไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แม้จะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็ตาม ถ้าเราดูบทบาทของพลเอกเปรม ก็จะเห็นชัด เพียงแต่พื้นที่ของระบอบนี้คับแคบลงในระดับหนึ่ง เพราะการเติบโตของพื้นที่ภาคประชาชนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการท้าทายระบอบนี้โดยตรง ขณะเดียวกันระบอบอำมาตยาธิปไตย ก็ถูกท้าทายจากทุนใหม่ ซึ่งเป็นพลังที่พาคุณทักษิณขึ้นสู่อำนาจ

เรา อาจจะพูดว่าระบอบศักดินายืมพลังจากประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณหรือทุนใหม่ก็ เป็นไปได้ แต่ผมคิดว่าพลเอกเปรม ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของการคงอยู่ของระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีพลเอกเปรมแล้วระบอบประชาธิปไตยจะเต็มใบ แต่เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายอำนาจนิยมหรือระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ยังมีพื้นที่ที่ แน่นนอนในสังคมการเมืองไทย

วันนี้ ก็เห็นโดยพฤตินัยได้อย่างชัดเจนว่า พลเอกเปรม ใช้อำนาจนั้นผ่าน คปค. ท่านนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาฯ และไม่มีใครคิดว่าท่านจะกล้าทำ หรือไม่มีใครคิดตอนที่นั่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ว่าการรัฐประหารครั้งนี้องคมนตรี จะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปิดเผยขนาดนี้

-------------------------------------------------------------------

somsak's coup postings
Saturday, November 25, 2006
สุนทรพจน์เปรียบเทียบเชอร์ชิล-สุรยุทธ ของเปรม : bad history, but most revealing
(17 พฤศจิกายน 2549)

เมื่อ วันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ไปกล่าวปาฐกถาที่สถาบันเทคโนโลยี่พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง โดยมีพลเอกสรยุทธ จุฬานนท์ ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัยของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารฯร่วม นั่งฟังอยู่ด้วย ตอนหนึ่ง พลเอกเปรมได้เปรียบเทียบยกย่อง พลเอกสุรยุทธ ว่าเหมือนกับวินสตัน เชอร์ชิล นายก รมต.สมัยสงครามโลกครั้งที่สองของอังกฤษ (พูดง่ายๆคือเป็นการชมสุรยุทธต่อสาธารณะต่อหน้าสุรยุทธเองเลยทีเดียว!) ข้อความดังกล่าวมีดังนี้ (ดูรายงานใน ข่าว สด ผมได้เปรียบเทียบกับข่าวภาคค่ำของช่อง 11 เมื่อวานนี้ ซึ่งถ่ายทอดเสียงจริงตอนนี้ของพลเอกเปรม พบว่าตรงกัน - การเน้นคำในข้อความต่อไปนี้เป็นของผมเอง)

"ทุกคนต้องรู้จักมิสเตอร์ วินสตัน เชอร์ชิลด์ เป็นนายกฯของอังกฤษ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มา ที่ไปก็คล้ายๆ กับคุณสุรยุทธ์ คือไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎร แต่ถูกเชิญมาเพราะควีนส์เห็นว่าเหมาะสม คุณเชอร์ชิลด์พูดเรื่องเสียสละ ที่แสดงให้เห็นว่าจำเป็นต้องเสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง นายกฯสุรยุทธ์ก็เหมือนกัน คล้ายกับเชอร์ชิลด์ มาเป็นนายกฯโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เพื่อชาติบ้านเมือง"

ข้อความตอนนี้ เป็น bad history เพราะข้อมูลเกี่ยวกับวินสตัน เชอร์ชิล ผิดอย่างถนัด 2 ประการคือ

(1) เชอร์ชิล เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือได้รับเลือกตั้งเป็น สส.ของเขต Epping ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Essex ตลอดช่วง 1924 ถึง 1945 (ซึ่งครอบคลุมช่วงที่เขาเป็นนายก รมต.ยามสงคราม ระหว่าง 1940 ถึง 1945) หลังจากนั้น ก็เป็น สส.เขต Woodford จากปี 1945 ถึง 1964 (เรียกได้ว่าจนถึงแก่กรรม เขาตายเมื่อ 24 มกราคม 1965) ช่วงเป็น สส.เขต Woodford นี้ เขาได้เป็น นายกฯอีกครั้ง ระหว่าง 1950-1955 ดูรายละเอียดเหล่านี้ได้จาก Churchill Archive

ความจริง เรื่อง เชอร์ชิล เป็น ส.ส. ขณะเป็นนายกรมต.นี้ ถ้าเอามาเปรียบเทียบกับกรณีสุรยุทธ ยิ่งสำคัญ ในแง่ข้อมูลแวดล้อม คือ หลังจาก Chamberlain (ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ทางประวัติศาสตร์ในฐานะนายกฯอังกฤษผู้ที "เอาใจ/อ่อนข้อให้" ฮิตเลอร์ กรณีเชคโกสโลวาเกีย) ลาออก เพราะล้มเหลวในการบริหารยามสงครามแล้ว ตอนแรก คนที่มีถูกทาบทามให้เป็นแทนคือ Lord Halifax ซึ่งไม่ใช่เป็น สมาชิกสภาล่าง (House of Common) ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นสมาชิกสภาสูง (House of Lord) ที่ไม่ใช่มาจากการเลือตั้ง แต่ Halifax ปฏิเสธตำแหน่ง เพราะเห็นว่า ตัวเองไม่ได้เป็นสมาชิกสภาล่าง จะนำประเทศไม่ได้ Chamberlain จึงเชิญให้เชอร์ชิลมาเป็นนายกฯแทน

(2) อันที่จริง ประมุขอังกฤษในขณะนั้น คือ กษัตริย์ (คิง) ไม่ใช่ราชินี (ควีน) ดังที่พลเอกเปรมเข้าใจ คือ King Goerge VI (พระราชบิดาพระนางเจ้าอลิซาเบธ ราชินีองค์ปัจจุบัน)

แต่ขณะที่ สุนทรพจน์เชอร์ชิล-สุรยุทธ ของพลเอกเปรม เป็น bad history เพราะผิดพลาดเรื่องข้อมูลสำคัญดังกล่าว แต่กลับเปิดเผยให้เห็นข้อมูลที่น่าสนใจมากๆบางอย่าง (most revealing) อันที่จริง ผมคิดว่า กล่าวได้ว่า นี่เป็นครั้งแรก ที่พลเอกเปรมยืนยันด้วยตัวเองถึงเบื้อง หลังหรือผู้ อยู่เบื้องหลังการรัฐประการครั้งนี้ (โดยไม่ตั้งใจ)!!

posted by somsak jeamteerasakul @ 5:37 PM
http://somsakcouppostings.blogspot.com/2006/11/bad-history-but-most-revealing.html

------------------------------------------------------------------

ทักษิณแฉ ‘เปรม’ คือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ พัลลภยันสุรยุทธ์วางแผนด้วย

March 27, 2009

“ทักษิณ” VDOลิงค์ถึงคนเสื้อแดงที่ชุมนุมหน้าทำเนียบฯแล้ว แฉคนมีบารมีนอกรธน.”พล.อ.เปรม” ระบุทำให้”เจ้านาย”เสื่อมเสียง เพราะคนรอบข้าง รวมไปถึง “พล.อ.สุรยุทธ์” ที่เข้าไปยุ่งการเมือง เรียกร้องทหารกับที่ตั้ง อย่าเอาสถาบันมายุ่งการเมือง ย้ำเสื้อแดงชุมนุมต่อเนื่องไม่เลิกชุมนุม จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา

เวลา 20.30 น. วันที่ 27 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ วิดีโอลิงค์ เพื่อปราศรัยขึ้นจอภาพ บนเวทีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลว่า มารวมตัวเพื่ออนาคตของประเทศไทย เพื่อตกลงกันว่า ระบอบประชาธิปไตยที่เรารักเราห่วงแหน เพื่อปกป้องสิทธิของเราไว้

พ.ต.ท.ทักษิณ แฉว่า คนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพราะองคมนตรีเข้ามเกี่ยวข้องทางการเมือง ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสื่อมเสียไปด้วย เพราะคนรอบตัวไปเกี่ยวข้องกับการเมือง

” … ที่มาของความวุ่นวาย ในปลายปี 2548 ก่อนการเลือกตั้งต้นปี 2548 มีการรวมตัวกันเล็กน้อยของสหภาพแรงงาน กับคนที่ไม่พอใจผม แต่ไม่มีอะไร แต่หลังการเลือกตั้งใหญ่ ที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งได้ 377 เสียง หลายคนรู้สึกว่า แข็งแรงเกินไป พอปลายปี 2548 เกิดขบวนการรวมตัวของกลุ่มพันธมิตร สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหน้าทีม เริ่มขึ้นที่สวนลุมพินี โดยการเอื้อเฟื่อยของ นายอภิรักษ์ โกษโยธิน และพรรคประชาธิปัตย์ เกิดการต่อสู้นอกระบบ แต่ไม่เป็นไร

ปรากฏว่า มีองค์มนตรีบางท่าน ได้บอกกับสื่อ โดยแอบอ้างว่า พระเจ้าอยู่หัว ไม่เอาผมแล้ว ให้สื่อตี แต่ไม่ขอเปิดเผยสื่อ ม็อบก็เลยกลายเป็นม็อบมีเส้น เอเอสทีวี ที่ได้รับการคุ้มครองจากศาลปกครอง จนเกิดการปฏิวัติ ให้ออกอากาศล้มล้างรัฐบาล พูดโกหกมาโดยตลอดเวลา รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ ผมก็พูดความจริง แต่ยังไม่กล้าพูดเต็มที่

ขอบอกตรงนี้ว่า ถูกผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญแทรกแซง ทำให้ข้าราชการเริ่มเกียร์ว่าง เพราะผู้มีบารมีฯสามารถสั่งการได้ และข้าราชการก็ยอมฟัง คำว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญก็เป็นคำที่ฮือฮามาก นายสนธิ ไปกล่าวหาว่าผมหมายถึง “พระเจ้าอยู่หัวฯ ” ไม่ใช่ผม ผมมิบังอาจ แต่ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หมายถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่ผมไม่ได้พูดในวันนั้น มีคนของท่านโทรมาบอกชัด หลังจากนั้น ท่านแต่งเครื่องแบบเดินสายด่าผม และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไปด้วยนั่นคือคู่หู

ทั้งนี้องคมนตรี เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริยื จึงมีหน้าที่ให้คำปรึกษาต่อพระมหากษัตริย์ แต่ที่พูดถึงไม่ใช่ฐานะองคมนตรี เรื่องนี้ต้องระวังคำพูด เพราะการที่องคมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องการเมือง เป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง ทำให้คนเข้าใจว่า พระเจ้าอยู่หัวมาเกี่ยวข้องการเมือง ท่านสถิตย์อยู่ในที่สูง ขอให้ทุกคนที่อยู่รอบข่างพระองค์อย่างยิ่งการเมือง เพราะทำให้พระเจ้าอยู่หัวเสื่อมเสียไปด้วย …”

ที่มา – มติ ชน 1

“พัลลภ” ยอมแถลงเปิดใจหมดเปลือก แผนโค่นล้มระบอบทักษิณ

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ 19 ก.ย.2549 ว่า เป็นเรื่องจริง แต่ว่าพล.อ.สุรยุทธ์ ไม่เคยเชิญตนเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิท เชิญตน และประชุมร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่มีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง ซึ่งมีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณว่า จะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร โดยมี 2 แนวทาง คือ ทางด้านรัฐธรรมนูญ หรือทางด้านกฎหมาย ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร

เมื่อถามว่า การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า “ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอขึ้นมาว่า การทำครั้งนี้ ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใด ๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน ทั้งนี้ การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. นั่งอยู่ด้วย ”

แฉ “สุรยุทธ์” เสียสัจจะ ที่บอกจะไม่เป็นนายกฯ

เมื่อถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ระบุว่า ไม่อยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ คมช.เชิญให้ไปเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า “คงต้องไปถามท่าน ผมเดาใจไม่ถูก เพราะทุกคนงงหมด ผมก็งง” เมื่อถามว่า แสดงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นตัวตั้งตัวตีในการวางแผนล้มรัฐบาล พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า จะ พูดว่าตัวตั้งตัวตีคงไม่ได้หรอก แต่ว่าการประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาทุกครั้ง เมื่อถามว่า พอจะบอกได้หรือไม่ว่า คนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อันนี้ตนบอกไม่ได้ เพราะว่าตนไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงตน ตนก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น ซึ่ง การประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่า การทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใด ๆ

“หลังจากที่ปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พูดง่าย ๆ พวกเราผิดหวังมาก และผมก็ผิดหวัง ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูด ง่าย ๆ พล.อ.สุรยุทธ์ เสียสัจจะกลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม แต่ท่านอ้างว่า ได้ประชุม ได้คุยกัน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดมติในที่ประชุม ซึ่งในการพูดคุยในวันนั้นมีประมาณ 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น ซึ่งหลังจากนั้น ผมไม่ได้พูดจากับพล.อ.สุรยุทธ์อีกเลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตน และเป็นนายทหารรุ่นน้อง สมัยที่ตนเป็นผบ.ค่ายสฤษดิ์เสนา ส่วนพล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บังคับหมวด”

เมื่อถามว่า ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า “อย่างแรก คือการวางแผนทางด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ซึ่งการที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามตนในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์ มีครั้งหนึ่งที่เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ไป พบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จารุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 ซึ่งพล.อจารุภัทร รายงานให้พ.ต.ท.ทักษิณได้รับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง แต่พล.อ.สุรยุทธ์ปฏิเสธ”

“เรื่องแบบนี้พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานกกต.เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรุยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกออกจากตำแหน่ง และล้มการเลือกตั้ง ดังนั้น เรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีตั้งแต่ต้นว่า จะมีการล้มรัฐบาล เพราะ มีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมดเพียงแต่มาสอบถามผม ว่า เรื่องที่รู้มาจริง หรือไม่ เมื่อตอนที่ผมเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณที่จีน” พล.อ.พัลลภกล่าว

เมื่อถามถึงความสัมพันธ์กับ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นอย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า “ไม่เคยมีปัญหาอะไร ท่านเป็นลูกน้องผมถึง 6 รุ่น” เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า “ไม่ทราบ” เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่า จะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า “ท่านรู้มาตลอดทุก เรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ ซึ่งไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาท เพราะไว้ใจคนใกล้ตัว และเพื่อนตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ”

” ส่วนการลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี ซึ่งการรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อกตัวนายกฯ ซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือ ล็อกตัวนายกฯ” เมื่อถามว่า เหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ออกมาพูดในช่วงนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้แผนการปฏิวัติมานานแล้ว พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า “ท่านรู้มานานแล้ว แต่คงหาคนอ้างอิงไม่ได้ เผอิญผมเดินทางไปหาท่านพอดี จึงหาพยานเสียเลย ”

อ้างเข้าหา “ทักษิณ” ไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน

เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร เมื่อมีกลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ที่ ตนตัดสินใจไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งตนไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน เกิดสงครามการเมือง ซึ่งมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่า คนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือพ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้ตนอยากพบพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนี้เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือ รัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรม เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่นี่เป็นการล็อบบี้กันแบบงูเห่า ซึ่งมองว่า ไม่ถูกต้อง เพราะควรให้เสียงข้างมากตั้งก่อน หากเขาตั้งไม่ได้ ตัวเองจึงจะค่อยตั้ง แต่เป็นการชิงตั้งก่อน

เมื่อถามว่า เหตุการณ์จะยุติอย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนก็มองไม่ออกว่าเหตุการณ์จะยุติอย่างไร เมื่อถามว่า มีทางหรือไม่ที่รัฐบาลจะยอมลาออก เพื่อให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนไม่รู้ เพราะไม่ได้คุยกับใครเลย เมื่อถามว่าประเมินสถานการณ์จะมีความรุนแรงหรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อยู่ที่จุดมุ่งหมายว่าเขาต้องการทำอะไร พูดง่าย ๆแบบพฤษภาทมิฬ เมื่อ พล.ต.จำลอง โดนจับ และตนเป็นคนนำ และเกิดเหตุการณ์นักศึกษาตีตำรวจบาดเจ็บเราจึงเข้าไปช่วยนักศึกษา ตีตำรวจ จึงเกิดเหตุการณ์ขึ้น ต้องดูว่าวันนี้จะเกิดแบบนี้หรือไม่ ถ้ารัฐบาลใช้ความรุนแรงก็จะต้องเกิดขึ้นแน่ ซึ่งตนไม่อยากเห็นคนไทยฆ่าคนไทย เพราะในชีวิตตนผ่านเรื่องนี้มาเยอะ

ขอให้ “สุรยุทธ์” ลาออกจากองคมนตรี เพื่อรักษาสถาบัน

เมื่อถามว่า หากมีการเผาสถานที่ราชการมีการยั่วยุให้เกิดการปะทะกันหรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ตนไม่รู้ เพราะตนไม่เคยยุ่งกับเขา และเขาจะเดินขนาดไหน เมื่อถามว่า ในฐานะอดีตทหารเก่ามองภาพผู้นำกองทัพตอนนี้อย่างไร พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนเป็นทหารรุ่นพี่ของเขา ตนไม่อยากวิจารณ์ เพราะคนที่เป็นผู้นำเหล่าทัพส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ตนทั้งนั้น ตนเหมือนกับ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ที่ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ตนยึดถือตรงนี้เพราะตนเคารพท่านมาก ทั้งนี้ตนคิดว่าทหารจะต้องยืนอยู่เคียงข้างประชาชน คือยึดถือความมั่นคงของประเทศชาติ และความสันติของประชาชนเป็นหลัก

“ผมอยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้น เพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออกในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย” พล.อ.พัลลภ กล่าว

ที่มา – มติ ชน 2

---------------------------------------------------------------------

ไทยรัฐ
รัฐบุรุษเชียร์ อภิสิทธิ์ ชมเป็นผู้นำที่ดีพาประเทศรอด

วันนี้ (25 มี.ค.) ที่ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ กล่าวถึงกณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพาดพิงองคมนตรี ซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลกระทบต่อการบริหารงานว่า คำถามนี้ไม่น่าจะถามตน เพราะไม่ได้ดูแลประเทศ ต้องเป็นรัฐบาล
“เอาอย่างนี้นะ ผมไม่เคยฟังคุณทักษิณ และท่านพูดกี่ครั้งกี่ครั้งผมก็ไม่เคยฟัง เพิ่งเมื่อวานนี้ผมถาม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้ลองเล่าให้ฟังซิ ว่าเขาพูดอย่างไร เพราะผมไม่เคยฟังว่าเขาพูดอย่างไร”

พล. อ.เปรม กล่าว และเมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่ว่าคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะบิดเบือนข้อเท็จจริง พล.อ.เปรม กล่าวว่า ตนคงตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะไม่ได้สนใจว่าเขาพูดว่าอย่างไรด้วยซ้ำ

เมื่อ ถามว่าได้ฟัง พล.อ.สุรยุทธ์ รายงานถึงคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วรู้สึกอย่างไร พล.อ.เปรม นิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า รู้สึกว่าพูดบ่อย ๆ แล้วจริงไม่จริงตนก็ไม่รู้ เพราะว่าไม่ได้สนใจ

ผู้ สื่อข่าวถามว่า อยากฝากประชาชนคนไทยหรือไม่ เพราะประเทศไม่เคยแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่ายถึงขนาดนี้ พล.อ.เปรม กล่าวว่า คำถามนี้ดี ซึ่งไม่ใช่คำถาม แต่เป็นสิ่งซึ่งเป็นความสำนึกที่จะต้องไม่แตกแยกกันเพื่อส่วนรวม เมื่อถามว่า แสดงว่าท่านอยากให้คนไทยหันมาสามัคคีปรองดองเพื่อให้ประเทศชาติอยู่รอดใช่ หรือไม่ พล.อ.เปรม กล่าวสั้น ๆ ว่า ใช่

เมื่อ ถามย้ำว่า แสดงว่าท่านอยากเตือนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หยุดพูดเพื่อให้ประเทศชาติไปได้ใช่หรือไม่ พล.อ.เปรม กล่าวว่า เตือนมาหลายครั้งแล้ว และเตือนบ่อย ๆ ที่จริงการจะพูดว่าคนไทยแตกแยกไม่ถูก มีบางส่วนเท่านั้นเป็นส่วนน้อย ไม่ใช่ส่วนใหญ่ คนไทยส่วนใหญ่ยังรักใคร่กันดี และยังมีความเป็นไทยอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

พล.อ.เปรม กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ปักใจเจ็บว่าองคมนตรีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 ว่า ท่าน พูดของท่านเอง ตนไม่รู้ องคมนตรี ไม่มีหน้าที่ที่จะไปเกี่ยวข้องเรื่องนี้เลย โปรดเข้าใจให้ถูกถ้าใครยังไม่เข้าใจ โปรดเข้าใจให้ถูก

และ เมื่อถามว่า จะพูดได้หรือไม่ว่าปัญหาความแตกแยกที่เกิดขึ้น เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียว พล.อ.เปรม ย้อนถามกลับสื่อมวลชนว่า คุณคิดเองก็แล้วกัน เมื่อถามว่า จะมีการดำเนินการฟ้องร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะทำให้องคมนตรีเสื่อมเสียชื่อเสียง พล.อ.เปรม หัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า ?ผมว่าคงไม่ฟ้อง เพราะว่าผมไม่ทราบว่าท่านพูดอย่างไร?
ส่วน จะให้กำลังใจรัฐบาลในส่วนไหนบ้างนั้น พล.อ.เปรม กล่าวว่า รัฐบาลนี้ดี และตนก็เคยพูดว่านายกรัฐมนตรีคนนี้ดี ดังนั้นเราคงจะหวังได้ว่า ท่านจะเป็นผู้นำที่ดี และจะทำให้ประเทศดีขึ้น เมื่อถามว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะสามารถนำพาวิกฤตของประเทศได้หรือไม่ พล.อ.เปรม กล่าวสั้น ๆ ว่า
“ผมเชียร์”

http://www2.nurnia.com/19470/03/thai-social-political-economic/

-------------------------------------------------------------------------

วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 13:00:44 น. มติชนออนไลน์

"อภิสิทธิ์"แจงพบ"ป๋า"แค่กราบปีใหม่-ปัดถกปมร้อนสนาม กอล์ฟเขาสอยดาว "แม้ว"ท้า"เปรม"ทำเรียลลิตี้โชว์

"มาร์ค"แจงพบ"เปรม" แค่ไปกราบปธ.องคมนตรีช่วงปีใหม่ ปัดถกที่ดินสนามกอล์ฟเขาสอยดาว ทั้งยังไม่ได้หารือสถานการณ์ประเทศเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังได้รับพรให้ซื่อสัตย์สุจริต โบ้ยสื่อชี้แจงเองขอป๋าเป็นตัวกลางเบรก"เติ้ง" "แม้ว"ทวิตทันทีท้า"เปรม"ทำเรียลิตี้โชว์"พิสูจน์โปร่งใสไม่ยุ่งการเมือง

"มาร์ค"แค่ปราบปธ.องคมนตรีปีใหม่ ปัดถกปมเขาสอยดาว

เมื่อเวลา 10.30 น. ที่โรงแรมดุสิตธานี ถนนสีลม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 14 มกราคม ถึงการเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า เป็นเพียงการไปกราบประธานองคมนตรีในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่หนังสือพิมพ์ไปเขียนว่าไปคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตนก็เพิ่งทราบเนื่องจากไม่ได้คุยเรื่อง แม้แต่เรื่องยุบสภาก็ไม่ได้คุย ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.เปรมเป็นห่วงเรื่องใดบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ท่านเพียงสอบถามรวมของบ้านเมืองเท่านั้น พร้อมขอให้ยึดมั่นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ได้เจาะจงสถานการณ์ใด เพราะตนไปกราบอวยพรท่าน ท่านก็ให้พรมาให้ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ก็เท่านั้นเอง

เมื่อถามว่า พล.อ.เปรมกังวลเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ท่านไม่ได้แสดงความกังวลเรื่องใดเป็นพิเศษ เมื่อถามว่ามีการพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีเลยครับ รัฐธรรมนูญไม่มีการพูดถึงแม้แต่เรื่องเดียว เมื่อถามว่าจะชี้แจงกับนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยหรือไม่ เพราะข่าวออกมาว่าไปขอให้พล.อ.เปรมช่วยเป็นตัวกลางขอให้นายบรรหารหยุดสร้าง ปัญหา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า "หนังสือพิมพ์ต้องไปชี้แจงมั้งครับ เพราะเป็นคนไปพูด ผมไม่ได้พูด" เมื่อถามว่าได้พูดถึงเรื่องสนามกอล์ฟบนเขาสอยดาว จ.สระบุรีที่คนเสื้อแดงเชื่อว่า พล.อ.เปรมเป็นเจ้าของหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ได้พูดเลยครับ

"สุเทพ"ปัด"มาร์ค"คุย"เปรม"ปมเขาสอยดาว แค่เข้ารายงานสถานการณ์

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้าพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อช่วงค่ำวันที่13 ม.ค. ว่า เป็นการเข้าเยี่ยมคารวะและรายงานสถานการณ์ตามปกติ ไม่ได้เข้าหารือถึงปัญหาการครอบครองพื้นที่บนเขาสอยดาว จ.จันทบุรี

"เรื่อง ป๋ามีที่ดินบนเขาสอยดาวนั้น ไม่มี ไม่เป็นความจริง เผชิญผมรู้เรื่องเขาสอยดาวตอนเป็นฝ่ายค้าน ช่วงนั้นฝ่ายรัฐบาลพยายามเล่นงานบริษัทเอกชน ซื้อที่ดินทำสนามกอล์ฟ แต่บังเอิญผมทราบเรื่อง จึงมีการอภิปรายในสภาฯ"

"แม้ว"ทวิตท้า"เปรม"ทำเรียลิตี้โชว์ "พิสูจน์โปร่งใสไม่ยุ่งการเมือง

เมื่อเวลา 02.00 น วันที่ 14 ม.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้าพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อช่วงค่ำวันที่13 ม.ค. ว่า "เข้าพบเพื่อเน้นให้สังคมรู้ว่าประธานองคมนตรีเปล่ายุ่งการเมืองนะ การเมืองมายุ่งเองต่างหาก น่าจะทำเป็นเรียลิตี้ โชว์ จะได้โปร่งใส"

"มาร์ค"ดอดพบ "ป๋า"หารือสถานการณ์บ้านเมือง

ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าววันที่ 13 มกราคมว่า คดียึดทรัพย์เป็นเรื่องของศาล รัฐบาลไม่ได้ไปก้าวก่าย ส่วนการชุมนุมคาดว่าการเคลื่อนไหวจะรุนแรง ซึ่งถ้ารุนแรงขึ้นก็เป็นความชัดเจนว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง กับคดี ส่วนจะประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ หรือไม่ก็ต้องอยู่ที่การข่าวเพราะว่าที่ผ่านมาก็ไม่ได้ประกาศ เช่น กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและเขายายเที่ยง หน้าที่เราจะต้องพยายามจะขจัดเงื่อนไขที่มีเหตุมีผลอยู่บนหลัก ไม่ใช่เป็นเรื่องไปตามใจใคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงเย็นวันเดียวกันภายหลังที่นาย อภิสิทธิ์ออกจากาอาคารรัฐสภาเวลา 17.00 น. ได้เปลี่ยนรถประจำตำแหน่งและเดินทางเข้าไปพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยไม่ทราบเหตุผลในการเข้าพบ จากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้เดินทางกลับเข้ามายังทำเนียบรัฐบาลในเวลา 18.30 น. และเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลไปในเวลา 19.00 น.

รายงานข่าวแจ้งว่านายอภิสิทธิ์ใช้เวลาหารือพล.อ.เปรม ประมาณ 30 นาที ถึงปัญหาสถานการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามรุกหนักในช่วงนี้ เพราะต้องการที่เงิน จำนวน 7.6 หมื่นล้านบานคืนจึงพยายามต้องการเดินเกมเพื่อล้มรัฐบาลชุดนี้ เบื้องต้นมีการประเมินสถานการณ์ว่า ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย และ กลุ่มพรรคภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ ที่พยายามกดดันรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากมีการกดดันมาก รัฐบาลอาจจะมีการประกาศยุบสภา ซึ่งจากการเข้าพบครั้งนี้ พล.อ.เปรม ได้ให้กำลังใจนายกฯ ไม่อยากให้นายอภิสิทธิ์ ยุบสภา และอยากให้นายอภิสิทธิ์บริหารชาติต่อไป ทั้งนี้พล.อ.เปรม พร้อมจะพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าวกับนายบรรหาร เพื่อแก้ปัญหา

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1263399281&grpid=00&catid=

----------------------------------------------------------------

ป๋าเตือนจิ๋วระวังทรยศชาติ

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวเปิดใจถึงการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยว่า ก่อนไปสมัครได้ ให้คนไปบอกพล.อ.ชวลิตว่าให้คิด ให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ
“ที่มีคนไปเขียนทำนองว่าผม ไปว่าเขาเป็นคนทรยศต่อชาติ ซึ่ง ไม่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ถูกต้องคือวันนั้น ก่อนที่จิ๋วจะไปสมัคร ผมให้คนไปบอกเขาว่า จะทำอะไร ขอให้คิด ให้รอบคอบ ไตร่ตรองให้รอบคอบ ผมใช้คำว่าไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ นี่เป็นข้อความที่ผมขอให้เขาสื่อไปถึงจิ๋วในตอนเช้าวันนั้น” พล.อ.เปรม กล่าว

สำหรับเรื่องที่กล่าวหาว่าตนเองไม่ยอมให้ พล.อ.ชวลิต เข้าไปกราบเพื่อลาบวชที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์นั้นก็ไม่เป็นความจริง

“จิ๋วกับผมเป็นเพื่อนรักกันมานานหลายปีแล้ว และต่างคนต่างทำงานให้กันและกันมา ดังนั้นความเป็นเพื่อนระหว่างผมกับจิ๋วยังคงอยู่ ส่วนที่มีคนพูดซึ่งไม่รู้ว่าใครพูด อาจเป็นจิ๋วพูดเองก็ได้ว่า เขาไปลาบวชแล้วผมไม่ให้ลา อันนี้ไม่ใช่เพื่อนแล้ว เมื่อเพื่อนเขาจะไปลาบวชจะต้องให้อโหสิกรรม” พล.อ.เปรม กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อถามว่ายินดีให้ พล.อ.ชวลิต เข้าพบเพื่อขอโทษหรือ คารวะหรือไม่ พล.อ.เปรม กล่าวว่า จิ๋วเคยติดต่อมา ก่อนวันที่ 7 ต.ค. และวันเกิดจิ๋ววันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนเองโทรศัพท์ไปอวยพรและคุยกันดีเหมือนเพื่อน

“ถ้าเขาต้องการมาพบผมก็ได้ แต่ตอนนี้คิดว่าเมื่อเขาเป็นนักการเมืองแล้ว มาพบผมก็ไม่น่า จะสมควร” พล.อ.เปรม กล่าว

เมื่อถามอีกว่า พล.อ.ชวลิต มาพบเพื่อคุยเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้หรือไม่ พล.อ.เปรม กล่าวว่า ก็ดี แต่ตนเองไม่มีสิทธิที่จะคุยเรื่องการเมือง และจะ ไม่พูดเรื่องการเมือง

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า การเข้าสู่การเมืองของ พล.อ.ชวลิต จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้นหรือแย่กว่าเดิม พล.อ.เปรม กล่าวว่า คุณเชื่อในพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ ซึ่งพระสยามเทวาธิราชจะคอยดูว่า ทำอะไรกัน ถ้าใครทำไม่ดีต่อชาติบ้านเมืองจะถูกลงโทษ

ด้าน พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตรองผบ.ทบ. และอดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ในสมัยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวว่า ในวันนี้จะแถลงข่าวเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย

ข้อมูลจาก : โพสต์ทูเดย์
http://www.dooqo.com/detail_page.php?sub_id=1265

-------------------------------------------------------------------------