พอดีเห็นข่าวมีการขนกองกำลังทหารตำรวจ
มาอารักขาตามจุดสำคัญๆ ทั่วกรุง
15 วัน ก่อนและหลังวันตัดสินคดียึดทรัพย์ทักษิณ
ประมาณ 30 วันอะไรประมาณนั้น
ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรของเขา
เขาคิดว่ากำลังเฝ้าระวังอุบัติเหตุช่วงวันหยุดยาวๆ หรือยังไง
แบบปีใหม่ที สงกรานต์ที อะไรแบบเนี้ยะ
ที่มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังอุบัติเหตุ
เลยจากนั้นแล้วก็จบโครงการเฝ้าระวัง
เขาคิดว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้
เหมือนเรื่องเฝ้าระวังอุบัติเหตุหรือเปล่า
เขาถึงช่างกล้าคิดว่าหมูๆ ง่ายๆ
ไม่กี่วันก็เลิกได้
เคยได้ยินประโยคไหม
"แค้นนี้ 10 ปีแก้แค้นยังไม่สาย"
เกิดไปทำอะไรให้ชาวบ้านอาฆาตแค้นขึ้นมา
บรรยากาศกรุงเทพก็คงคล้ายๆ กรุงเบรุตเข้าสักวัน
ส่วนบรรยากาศแบบสามจังหวัดชายแดนใต้นั้น
คาดว่าคงอาจได้เห็นเร็วๆ นี้ก็ได้
อยากจะสกิดเตือนอีกครั้ง
สำหรับพวกที่คิดว่า
ที่กำลังทำๆ อยู่นี้ถูกต้องแล้ว
การให้สื่อโหมโรงเพื่อความชอบธรรมในการรุมยำ
คิดว่าหลอกได้หมดทุกคนหรือว่า
ไม่ใช่ขบวนการ ไม่มีตัวใหญ่ๆ หนุนหลัง
แล้วถ้าเกิดเขาคับแค้นขึ้นมา
ก็อาจกลายเป็นตี๋ใหญ่
ซึ่งตอนเล็กๆ ก็ไม่ได้เป็นนักเลง
แต่สิ่งแวดล้อมนำพาเขาไปเป็นนักเลงเอง
แต่ต่างกันแค่
ไม่ได้มีแค่ตี๋ใหญ่คนเดียว
มีตี๋เล็กตี่น้อยอีกมากมาย
ที่พร้อมสู้กับตี๋ใหญ่
ถ้าพวกข้าเจ๊งพวกเองต้องเจ๊งด้วย
ก็ช่วยไม่ได้ถ้าพวกอื่นเขาคิดแบบเดียวกัน
วันหนึ่งอาจต้องมานั่งเสียใจก็ได้ว่า
ไม่น่าเลยตู
ลองหลับตานึกภาพ 3 จังหวัดชายแดนใต้ดูซิ
มีทหารเข้าไปกี่หมื่นคนแล้ว
ทุ่มงบประมาณลงไปเท่าไหร่แล้ว
มีใครสนใจไปท่องเที่ยวบ้าง
มีใครสนใจไปลงทุนบ้าง
มีอะไรดีขึ้นมาบ้าง
และคิดว่า
อีกสิบปีต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นมา
มีแต่แย่ลงไปเรื่อยๆ
ที่ดีขึ้นคือสร้างภาพปิดปากอาจดูเหมือนดี
แต่ของจริงมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
แล้วถ้ากรุงเทพเป็นแบบนั้น
จะเกิดอะไรขึ้น
ไม่ใช่แค่อำนาจรัฐต้องสั่นคลอน
อำนาจอะไรก็สั่นคลอนไปหมด
คนทั่วไปไม่รู้เรื่องก็ต้องเดือดร้อนไปทั่ว
เหมือนการกอดคอกันตกเหว
มีหรือครับในโลกมนุษย์นี้
ที่ฝ่ายหนึ่งโดนเล่นแล้วไม่คิดเอาคืน
แถมเอาคืนได้ไม่จำกัดเวลาได้อีก
ใครจะไปนั่งเฝ้าระวังไหว
แถมไปนั่งเฝ้ามากๆ
บรรยากาศทางเศรษฐกิจ ก็ไม่น่าจะดีนัก
ขอยกตัวอย่างประกอบเผื่อจะได้เห็นภาพ
สำหรับบางคนที่หูตาเริ่มฝ้าฟาง
ทุกวันนี้ที่มีข่าวจากพวกนักวิชาการนักธุรกิจ
คนในรัฐบาลนี้หรือพวกสื่อทั่วไป
ที่ชอบมาประโคมข่าวว่า
การเมืองฉุดเศรษฐกิจอะไรพวกนี้
ซึ่งก็รู้สึกว่าความรู้สึกของคนพวกนี้ชั่งช้าเสียจริงๆ
มันน่าจะโวยวายมาตั้งแต่ปี 49
ที่ทักษิณชนะการเลือกตั้งมาครั้งล่าสุด
ทำงานได้ไม่ถึงปีก็อยู่ในสภาพที่ทำงานไม่ได้แล้ว
โดนป่วนนั่นนี่จากม็อบในโครงการ
ตามมาด้วยการสร้างสถานการณ์ต่างๆ
เรื่อยมาถึงสมัยสมัคร สมชาย
ก็โดนแบบเดียวกัน
แถมสมัยสมชายแทบไม่มีโอกาส
ได้เข้าไปนั่งในทำเนียบเลยด้วยซ้ำ
เพราะถูกพวกม็อบในโครงการเข้ายึด
และตามไปยึดนั่นนี่ แถมปิดสนามบินให้อีกด้วย
นักวิชาการ นักธุรกิจ รวมทั้งคนในรัฐบาลนี้
น่าจะชุดเดิมที่ชอบออกมาให้ข่าวช่วงนี้
ล้วนเงียบกริบหรือไม่ก็ไปโทษรัฐบาลให้ลาออกได้แล้ว
รวมไปถึงคนของพรรค ปชป. ไปหนุนม็อบชัดเจน
ทั้งนายอภิสิทธิ์เองก็เคยไปเยี่ยมถึงที่
ลูกพรรคก็ขนรถไปช่วยในการปิดรัฐสภา
เรียกว่าหลักฐานครบถ้วนหมด
แถมยังมีพวกมือตบไปตามอาละวาดไล่นายกตอนนั้นอีกด้วย
คราวนี้พอไปช่วยกันปล้นตำแหน่งมาประเคนให้อภิสิทธิ์
ก็คงคิดกันว่าพวกนั้นหมดฤทธิ์แล้ว
ประเทศเข้าที่เข้าทางสงบเรียบร้อยแน่ๆ
แล้วเป็นยังไงโดนทุกดอกเหมือนกันเลยใช่ไหม
มันเหมือนกงกรรมกงเกวียน
มันเหมือนทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
มันเหมือนให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวไหม
ซึ่งก็ไม่ได้แค่ระดับนายก
ยังขยับไปถึงระดับอำมาตยาอำมาตยีแล้วด้วย
เลยอยากถามว่า
คนที่คิดแผนปล้นทรัพย์นั้น
ได้คิดดีแล้วหรือ
คิดว่าแค่เดือนสองเดือน
ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วหรือ
คิดว่าจะคงกำลังไว้แบบนี้ได้จริงๆ หรือ
และคิดว่ามันไม่มีช่องทางให้ป่วนหรือ
ซึ่งการป่วนนับวันก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น
ทั้งพวกตัวเองป่วนเพื่อโทษพวกอื่น
หรือพวกอื่นป่วนเองจริงๆ
หรือพวกมือที่สาม สี่ ห้า พร้อมผสมโรง
คิดว่าสถานการณ์ประเทศนี้จะเดินไปได้ดีจริงๆ หรือ
และคิดหรือว่า ในอนาคตจะไม่พากันฉิบหายไปหมด
อันที่จริง
ถ้ามีการสู้แบบสุนัขจนตรอก
ผมว่าจะเจ๊งกันหมดถ้วนหน้า
โดยเฉพาะระดับอภิมหาเศรษฐีจะเจ๊งมากกว่าเพื่อน
เพราะมีมากกว่าเพื่อน
ถึงยังไงก็ต้องเจ๊งมากกว่ายากจกอยู่แล้ว
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า
ถ้าช่วงนี้คนมีเงินมากๆ เขาจะอาศัยช่วงนี้
ขนเงินออกไปฝากไว้ยังต่างประเทศ
เพราะถ้าแรงจนไม่เผาผีกันวันไหน
เงินบาทก็มีค่ากว่าแบงค์กงเต๊กไม่มากนัก
และจะมีการเปลี่ยนแปลง
ที่แรงมากๆ ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย
เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ
จะเก็บคำทำนายเอาไว้
ให้นำมาพิสูจน์กันในวันข้างหน้า
ไม่แน่ว่าวันที่ 26 ก.พ. 53
อาจเป็นวันเริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไทยก็ได้ใครจะรู้
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.