บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


23 มีนาคม 2553

<<< เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ >>>

พฤษภาทมิฬ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



กลุ่มทหารที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในเหตุการณ์พฤษภา ทมิฬ
พฤษภาทมิฬ เป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วง รัฐบาลที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่ง ชาติ (รสช.) ระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นการรัฐประหารรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกับ ประชาชนผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ชนวนเหตุ
เหตุการณ์ครั้งนี้ เริ่มต้นมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 หรือ 1 ปีก่อนหน้าการประท้วง ซึ่ง รสช. ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็น นายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลหลักว่า มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนักในรัฐบาล และรัฐบาลพยายามทำลายสถาบันทหาร โดยหลังจากยึดอำนาจ คณะ รสช. ได้เลือก นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ มีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่ง ชาติขึ้น รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการ ร่างรัฐธรรมนูญ 20 คน เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่
หลังจากร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จ ก็ได้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 โดยพรรคที่ได้จำนวนผู้แทนมากที่สุดคือ พรรคสามัคคีธรรม (79 คน) ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีการรวมตัวกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ คือ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม และพรรคราษฎร[1] และมีการเตรียมเสนอนายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีผู้แทนมากที่สุด ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่า ทางโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นางมาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ ได้ออกมาประกาศว่า นายณรงค์ นั้นเป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติด
ในที่สุด จึงมีการเสนอชื่อ พล.อ. สุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งเมื่อได้รับพระราชทานแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ก็เกิดความไม่พอใจของประชาชนในวงกว้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้, ในระหว่างที่มีการทักท้วงโต้แย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาใหม่ว่า ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย, ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้ถูกประกาศใช้

พรรคเทพ พรรคมาร

พรรคเทพ พรรคมาร เป็นคำที่สื่อมวลชนใช้เรียกกลุ่มพรรคการเมืองในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่แบ่งแยกเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน พรรคที่ถูกเรียกว่า พรรคเทพ คือพรรคที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน ไม่สนับสนุนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้นำคณะรัฐประหาร รสช. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และได้ประกาศต่อสาธารณะมาตลอดว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่กระแส "นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง" เป็นกระแสหลักของสังคมไทยในขณะนั้น พรรค เทพ ประกอบด้วย 4 พรรคการเมืองคือ พรรคความหวังใหม่ (72 เสียง) พรรคประชาธิปัตย์ (44 เสียง) พรรคพลังธรรม (41 เสียง) และพรรคเอกภาพ (6 เสียง)
ในขณะที่ พรรคมาร คือพรรคที่สนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร ประกอบด้วยพรรคการเมือง 5 พรรค ได้แก่ พรรคสามัคคีธรรม (79 เสียง) พรรคชาติไทย (74 เสียง) พรรคกิจสังคม (31 เสียง) พรรคประชากรไทย (7 เสียง) และพรรคราษฎร (4 เสียง) ซึ่งก่อนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมีกระแสเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง และทั้ง 5 พรรคนี้ต่างเคยตอบรับมาก่อน แต่ในที่สุดกลับหันมาสนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร และเห็นว่าเป็นการพยายามสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร (รสช.)

การต่อต้านของประชาชน


พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นั่งประท้วงอดข้าวที่ฝั่งตรงข้ามอาคารรัฐสภา (กำแพงด้านนอกของสวนสัตว์ดุสิต)

การชุมนุมในเวลากลางคืนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
พล.อ.สุจินดา คราประยูร ได้ให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่า ตนและสมาชิกในคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง ใด ๆ แต่ภายหลังได้มารับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งไม่ตรงกับที่เคยพูดไว้ เหตุการณ์นี้ จึงได้เป็นที่มาของประโยคที่ว่า "เสียสัตย์เพื่อชาติ" และเป็นหนึ่งในชนวนให้ฝ่ายที่คัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำการเคลื่อนไหวอีก ด้วย
การรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุจินดา ดังกล่าว นำไปสู่การเคลื่อนไหวคัดค้านต่าง ๆ ของประชาชน รวมถึงการอดอาหารของ ร.ต. ฉลาด วรฉัตร และ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง (หัวหน้าพรรคพลังธรรมในขณะนั้น) สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ที่มีนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล เป็นเลขาธิการ ตามมาด้วยการสนับสนุนของพรรคฝ่ายค้านประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเอกภาพ พรรคความหวังใหม่และพรรคพลังธรรม โดยมีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง และเสนอว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง
หลังการชุมนุมยืดเยื้อตั้งแต่เดือนเมษายน เมื่อเข้าเดือนพฤษภาคม รัฐบาลเริ่มระดมทหารเข้ามารักษาการในกรุงเทพมหานคร และเริ่มมีการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารใน บริเวณราชดำเนินกลาง ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ
กระทั่งในคืนวันที่ 17 พฤษภาคม ขณะที่มีการเคลื่อนขบวนประชาชนจากสนามหลวงไปยังถนนราชดำเนินกลางเพื่อไปยัง หน้าทำเนียบรัฐบาล ตำรวจและทหารได้สกัดการเคลื่อนขบวนของประชาชน เริ่มเกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในบางจุด และมีการบุกเผาสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง จากนั้นเมื่อเข้าสู่วันที่ 18 พฤษภาคม รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและให้ทหารทำหน้าที่รักษา ความสงบ แต่ได้นำไปสู่การปะทะกันกับประชาชน มีการใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมในบริเวณถนนราชดำเนินจากนั้นจึงเข้าสลาย การชุมนุมในเข้ามืดวันเดียวกันนั้น ตามหลักฐานที่ปรากฏมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน
ก่อนเที่ยงวันที่ 18 พฤษภาคม ทหารได้ควบคุมตัว พล.ต. จำลอง ศรีเมือง จากบริเวณที่ชุมนุมกลางถนนราชดำเนินกลาง และรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์หลายฉบับและรายงานข่าวทางโทรทัศน์ของรัฐบาลทุกช่อง ยืนยันว่าไม่มีการเสียชีวิตของประชาชน แต่การชุมนุมต่อต้านของประชาชนยังไม่สิ้นสุด เริ่มมีประชาชนออกมาชุมนุมอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพ โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมมีการตั้งแนวป้องกันการปราบปรามตามถนนสายต่าง ๆ ขณะที่รัฐบาลได้ออกประกาศจับแกนนำอีกเจ็ดคน คือ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล, น.พ. เหวง โตจิราการ, น.พ. สันต์ หัตถีรัตน์, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ, น.ส. จิตราวดี วรฉัตร และนายวีระ มุสิกพงศ์ และยังปรากฏข่าวรายงานการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนในหลายจุดและ เริ่มเกิดการปะทะกันรุนแรงมากขึ้นในคืนวันนั้นในบริเวณถนนราชดำเนิน
19 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่เริ่มเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนินกลางได้ และควบคุมตัวประชาชนจำนวนมากขึ้นรถบรรทุกทหารไปควบคุมไว้ พล.อ. สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ย้ำว่าสถานการณ์เริ่มกลับสู่ความสงบและไม่ให้ประชาชนเข้าร่วม ชุมนุมอีก แต่ยังปรากฏการรวมตัวของประชาชนใหม่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงในคืนวันเดียวกัน และมีการเริ่มก่อความไม่สงบเพื่อต่อต้านรัฐบาลโดยกลุ่มจักรยานยนต์หลาย พื้นที่ในกรุงเทพมหานคร เช่นการทุบทำลายป้อมจราจรและสัญญาณไฟจราจร
วันเดียวกันนั้นเริ่มมีการออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจาก ตำแหน่งเพื่อรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชน ขณะที่สื่อของรัฐบาลยังคงรายงานว่าไม่มีการสูญเสียชีวิตของประชาชน แต่สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานภาพของการสลายการชุมนุมและการทำร้ายผู้ ชุมนุม หนังสือพิมพ์ในประเทศไทยบางฉบับเริ่มตีพิมพ์ภาพการสลายการชุมนุม ขณะที่รัฐบาลได้ประกาศให้มีการตรวจและควบคุมการเผยแพร่ข่าวสารทางสื่อมวลชน เอกชนในประเทศ
ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้ ด้วยผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางในเขตตัวเมือง เป็นนักธุรกิจหรือบุคคลวัยทำงาน ซึ่งแตกต่างจากเหตุการณ์ 14 ตุลา ในอดีต ซึ่งผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นนิสิต นักศึกษา ประกอบกับเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทย และใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารในครั้งนี้ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬนี้จึงได้ชื่อเรียกอีกชื่อนึงว่า "ม็อบมือถือ"

ไอ้แหลม

ไอ้แหลม เป็นชื่อที่เรียกบุคคลลึกลับซึ่งไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดจนถึงทุกวันนี้ เป็นชายที่ส่งเสียงรบกวนวิทยุสื่อสารของทหารและตำรวจตลอดระยะ เวลาการชุมนุม โดยมักกวนเป็นเสียงแหลมสูง และมีประโยคด่าทอรัฐบาล ทหารและตำรวจด้วยวาทะทึ่งเจ็บแสบ[2]

แผนไพรีพินาศ

แผนไพรีพินาศ เป็นแผนยุทธการจัดวางกองกำลังและสลายการชุมนุม ในลักษณะของแผนเผชิญเหตุ จัดทำขึ้นโดยกองกำลังรักษาพระนครตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบ ได้แก่ ทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน นำไปปฏิบัติ ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 และ พ.ศ. 2529 ได้มีการพัฒนาปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น
ส่วนแผนที่มีผลบังคับใช้ขณะเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ คือ แผนไพรีพินาศ/33 ซึ่งมี 4 ขั้นตอน ได้แก่
  1. ขั้นการเตรียมการ โดยให้ทุกกองกำลังออกหาข่าว รวบรวมข่าวสาร และเตรียมกำลัง เจ้าหน้าที่ รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการปฏิบัติการ
  2. ขั้นป้องกัน ใช้กองกำลังตำรวจในการสกัดกั้น ให้การประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ก่อความไม่สงบ ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์โดยถูกต้องและยุติการกระทำเอง ทางเจ้าหน้าที่จะปิดล้อมพื้นที่สำคัญ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งอารักขาสถานที่และบุคคลสำคัญของประเทศ
  3. ขั้นปราบปรามรุนแรง หากการปฏิบัติการขั้นที่ 2 หรือกองกำลังตำรวจไม่สามารถที่จะระงับสถานการณ์ได้สำเร็จ และสถานการณ์ทวีความรุนแรงจนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว จึงใช้กองกำลังของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เข้าระงับยับยั้งยุติภัยคุกคาม
  4. ขั้นสุดท้าย คือ การส่งมอบพื้นที่และความรับผิดชอบ ให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนหรือตำรวจรับผิดชอบต่อไป เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว

พระราชทานพระราชดำรัส

เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ นำพลเอก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และ พลตรี จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โอกาสนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย ทั้งนี้ มีการนำเทปบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่ง ประเทศไทย เมื่อเวลา 24.00 น. ของวันนั้นด้วย หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ พลเอก สุจินดา จึงกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรี รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปพลางก่อน

ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 ถึง พ.ศ. 2535


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้ พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง เข้าเฝ้า

พล.ต.จำลองถูกจับกุม
พ.ศ. 2534
พ.ศ. 2535
  • 22 มีนาคม - มีการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ พรรคสามัคคีธรรม ของนายณรงค์ วงศ์วรรณ ได้รับเลือกตั้งมาเป็นลำดับหนึ่ง แต่ถูกขึ้นบัญชีดำผู้ค้ายาเสพย์ติดจากสหรัฐอเมริกา
  • 7 เมษายน - พล.อ.สุจินดา คราประยูร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
  • 8 เมษายน - ร.ต.ฉลาด วรฉัตร เริ่มอดอาหารประท้วงวันแรก
  • 17 เมษายน - มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
  • 20 เมษายน - พรรคฝ่ายค้านเริ่มการปราศรัยที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
  • 4 พฤษภาคม - พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เริ่มอดอาหารและน้ำประท้วงวันแรก
  • 6 พฤษภาคม - พล.อ.สุจินดา แถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่พรรคฝ่ายค้านไม่เข้าร่วม ขณะเดียวกันบริเวณหน้ารัฐสภามีผู้ชุมนุมร่วมประท้วง จนต้องมีการปิดประชุมโดยกระทันหัน
  • 8 พฤษภาคม - พล.อ.สุจินดา แถลงถึงเหตุผลที่ต้องมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
  • 9 พฤษภาคม - นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภาประสานให้พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านร่วมกันตกลงว่าจะแก้ไข รัฐธรรมนูญบางประการ และ พล.ต.จำลอง ประกาศเลิกอดอาหาร
  • 11 พฤษภาคม - พล.ต.จำลอง ประกาศสลายการชุมนุมและประกาศชุมนุมใหม่อีกครั้งในวันที่ 17 พฤษภาคม หากในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัญญาว่าจะแถลงถึงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ มีความคืบหน้า
  • 15 พฤษภาคม - พรรคร่วมรัฐบาลเปลี่ยนท่าทีเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเป็นการให้สัมภาษณ์โดยพลการของ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยอ้างว่าจะแก้ให้มีบทเฉพาะกาล ว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่ง พล.อ.สุจินดา ต้องดำรงตำแหน่งจนครบวาระ 4 ปี เสียก่อน
  • 17 พฤษภาคม - รัฐบาลจัดคอนเสิร์ตต้านภัยแล้งสกัดม็อบที่สนามกีฬากองทัพบกและวงเวียนใหญ่ โดยขนรถสุขาของกรุงเทพ ฯ มาไว้ที่นี่หมด ช่วงเที่ยงคืนเริ่มเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับทหาร ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 18 พฤษภาคม
  • 18 พฤษภาคม - ก่อนรุ่งสาง รัฐบาลเริ่มจัดการกับผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เวลาบ่าย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และผู้ชุมนุมบางส่วนถูกจับกุม
  • 19 พฤษภาคม - กลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ได้ถูกจับกุมย้ายสถานที่ชุมนุมไปที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
  • 20 พฤษภาคม - พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้ผู้นำทั้งสองฝ่าย คือ พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง เข้าเฝ้า โดยผู้ที่นำเข้าเฝ้าคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
  • 24 พฤษภาคม - พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง แถลงการณ์ร่วมกันผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่ง ประเทศไทยและ พล.อ.สุจินดา ลาออกจากตำแหน่ง
  • 10 มิถุนายน - แกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสนอชื่อ พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร และรักษาการประธานรัฐสภา ตัดสินใจนำชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ ให้ กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
  • 13 กันยายน - มีการเลือกตั้งใหญ่ทั่วทั้งประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนเสียงมาเป็น ลำดับหนึ่ง นายชวน หลีกภัย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
เหตุการณ์สืบเนื่องจากพฤษภาทมิฬ
หลังจากนั้นพลเอก สุจินดา
อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

http://th.wikipedia.org/wiki/พฤษภาทมิฬ

------------------------------------------------------


ลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ พฤษภาทมิฬ


การเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ. สุจินดา คราประยูร ในรัฐบาลผสมของพรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคราษฎร และ พรรคสามัคคีธรรม ( ปัจจุบันสองพรรคหลังเลิกไปแล้ว ) นับเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่พอใจและการคัดค้านของประชาชน พรรคฝ่ายค้านสี่พรรค ( พรรคประชาธิปัตย์ พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม พรรคเอกภาพ) และ กลุ่มองค์กรต่าง ๆ ทั่วประเทศ การคัดค้านครั้งนี้ยืนอยู่บนหลักการสำคัญสองประการ คือ

๑. คัดค้านการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ รสช.
เนื่องจาก พล.อ. สุจินดาเป็นผู้หนึ่งในคณะ รสช. ซึ่งทำการรัฐประหารล้มรัฐธรรมนูญ และเป็นที่ทราบกันดีกว่าเหตุผลแท้จริงของการรัฐประหารนั้นเนื่องจากความขัด แย้งระหว่างทหารกับรัฐบาล มิใช่เรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือประชาธิปไตยแต่อย่างใด การเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ของ พลงอ. สุจินดา จึงเป็นการเข้าสืบทอดอำนาจเผด็จการของคณะ รสช. อย่างเห็นได้ชัด
๒. คัดค้านรับธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
รัฐธรรมนูญ ซึ่งร่างกายใต้อำนาจของคณะ รสช. เป็นรับธรรมนูญที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยหลายประการ ทั้งนี้เพื่อเปิดช่องทางสำหรับการสืบทอดอำนาจของคณะ รสช. เช่นนายกรับมนตรีคนนอก จำนวนวุฒิสมาชิกและอำนาจของวุฒิสภา ประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเหตุผลคัดค้าน เรื่องความชอบธรรมของตัวบุคคลที่ร่วมรัฐบาลเช่น
พล.อ.สุจินดา เป็นคนไม่รักษาคำพูดเนื่องจากเคยสัญญาว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรับมนตรี หากยังบริหารประเทศได้อย่างไร รับมนตรีหลายคนในคณะรัฐบาลเคยถูกคณะกรรมการตรวขสอบทรัพย์สินซึ่งาตั้งโดยคณะ รสช. สั่งยึดทรัพย์และประกาศว่าเป็นผู้ร่ำรวยผิดปรกติ ฯลฯ
ในขณะที่เสียงคัดค้านอันยืนอยู่บนหลักการประชาธิปไตยดังขึ้นทุกขณะ พรรคร่วมรับบาล พล.อ. สุจินดากลับเฉยเมยต่อเสียงประชาชนโดยถือว่าเป็นการเล่นนิกสภาและได้พยายาม ปิกกั้นบิดเบือนข่าวสารทุกอย่างเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวคัดค้านของประชาชน รวมทั้งกล่าวหาผุ้คัดค้านว่าเป็นขัดพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดย ลืมนึกไปว่าคณะ รสช. นั่นเองเป็นผู้ขัดพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรับมนตรีโดยลืมนึกไปว่าคระ รสช. นั้นเองเป็นผู้ขัดพระบรมราชโองการ และใช้กำลังทหารเล่นการเมืองนอกสภาโดยการล้มรับบาลชาติชายและล้มรัฐธรรมนูญ อันถือเป็นหัวใจของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
การต่อสู้ของประชาชนผู้ยึดมั่นในหลักการและความถูกต้องของการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยกับกลุ่มผู้มีอำนาจทางทหารซึ่งยึดมั่นในอำนาจและกติกาที่ตนเอง เป็นผู้ร่าง และกลุ่มนักการเมืองผู้ต้องการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง จึงเปิดฉากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำพูดและการกระทำของ ทุก ๆ คนในเหตุการณ์พฤษภาวิปโยค เป็นภาพสะท้อนอย่างแจ่มชัดถึงจุดยืนทางความคิดของคนคนนั้นว่า เขาเป็นผู้ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย หรืออำนาจเผด็จการ หรือยึดมั่นในผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง…หรือเป็นคนที่ไม่มีหลักการใด ๆ เลย
๗ เมษายน ๒๕๓๕สุจินดาเป็นนายกฯ ท่ามกลางกระแสคัดค้าน มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ. สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรับมนตรีคนที่ ๑๙ ตามความคาดหมาย มีข้าราชการทหารและพลเรือนจำนวนหนึ่งไปมอบดอกไม้แสดงความยินดี
พล.อ. สุจินดาให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งคณะรับมนตรีว่า ส.ส. ที่ถูกยึดทรัพย์สามารถเป็นรับมนตรีได้ เพราะประชาชนเลือกเข้ามา และศาลยังไม่ได้ตัดสินว่าผิด
ส่วนพรรคการเมืองสี่พรรค คือ พรรคความหวังใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังธรรม และพรรคเอกภาพ ที่หลายเป็นพรรคฝ่ายค้านได้ออกแถลงการณ์คัดค้านนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
องค์กรต่าง ๆ เริ่มเคลื่อนไหวคัดค้าน เช่น การประชุมเพื่อคัดค้านนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนและสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ( สนนท.) หลังนั้นมีการวางหรีดอาลัยแก่ตำแหน่งนายกฯ ของพล.อ. สุจินดา ที่สวนรื่นฤดี รวมทั้งมีการแสดงการคัดค้านของนักวิชาการหลายท่าน
๘ เมษายน ๒๕๓๕
ฉลาดอดอาหารประท้วง /ชนวนแรกของการคัดค้าน เวลาตีหนึ่ง ร.ต. ฉลาด วรฉัตร อดีต ส.ส. เริ่มอดอาหารประท้วงให้นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ที่บริเวณหน้ารัฐสภา พร้อมป้ายสีดำข้อความว่า “ข้าขอพลีชีพเพื่อประชาธิปไตยนายกรับมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง”
สุจินดาหลั่งน้ำตา “เสียสัตย์เพื่อชาติ” /พล.อ. สุจินดาหลั่งน้ำตากล่าวอำลาตำแหน่ง ผบ.สูงสุด และ ผบ.ทบ. ที่หอประชุมกองทัพบกบอกว่ามีความจำเป็นต้องเสียสัตย์เพื่อชาติและขอให้ทหาร คดิว่าตนเป็นพลเรือนแล้ว พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี รักษาการ ผบ.ทบ. ได้กล่าวว่า ตนสนับสนุน พล.อ. สุจินดา ๒,๐๐๐ เปอร์เซ็นต์
ในวันนี้ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย มีประชาชนจากที่ต่าง ๆ ไปชุมนุมสนับสนุนนายกฯ คนใหม่ที่จังหวัดจัดรถไปรับและจ่ายเงินให้คนละ ๒๐ บาท
พล.อ.สนุทร คงสมพงษ์ ประธาน รสช. กล่าวว่า ทางห้าพรรคที่จัดตั้งรัฐบาลขอให้ พล.อ. สุจินดาที่จะทำได้ ส่วนเรื่องนักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์นั้น ตนคิดว่าไม่ควรนำมาเป็นรัฐมนตรีแต่ก็เป็นเรื่องของนายกฯ
นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร บอกว่า ควรให้รัฐบาลทำงานก่อน ส.ส.ฝ่ายค้านได้ออกมาแสดงการคัดค้าน พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้นายอาทิตย์ชี้แจงบทบาทของตัวเองในการเลือก นายกรับมนตรี และพรรคฝ่ายค้านทั้งสี่พรรคแถลงว่าจะยึดหลักต่อสู้ต่อไปทั้งในและนอกสภา ทางฝ่าย ครป. และ สนนท. ได้มีจดหมายส่งถึง พล.อ. สุจินดา คัดค้านการเข้ารับตำแหน่งนายกฯ และขอร้องให้ลาออก มีการเสวนาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนนักศึกษาไทยในสหรัฐฯประกาศจะวางหรีดดำประท้วง
๙-๑๕ เมษายน ๒๕๓๕
ใคร ๆ ก็ยกป้ายเชียร์ /พล.อ.อ. เกษตร โรจนนิล ผบ.ทอ. และ ผบ.สูงสุด กล่าวว่ารัฐบาลจะได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย แต่ก็ไม่ยืนนับว่าไม่มีการปฏิวัติขณะที่ พล.อ. อิสระพงศ์กล่าวว่า นายกฯ เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์
ตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศมีประชาชนออกมาสนับสนุนนายกฯ ทั่วประเทศมีประชาชนออกมาสนับสนุนนายกฯ คนใหม่มากมาย จน พล.อ. สุจินดาบอกว่า อยากให้ยกป้ายด่ามากกว่าป้ายเชียร์ รวมทั้งโต้การที่ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธหัวหน้าพรรคความหวังใหม่จะมอบตุ๊กตาทองให้ว่า ตนไม่เคยเล่นละคร นายมนตรี พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคกิจสังคม บอกว่า นายกฯ เป็นผู้มีบารมีมาก จะอยู่ครบสี่ปี
ฉลาดอดอาหารต่อ
ร.ต. ฉลาดยังยืนยันที่จะอดอหารต่อไปและปฎิเสะคำขอของพระภิกษุและประชาชนที่ขอให้ เลิกอดอหาร รวมทั้งไม่นำพาต่อการยั่วยุเช่นมีการส่งโลงศพมาหใพร้อมรับเป้นเจ้าภาพสวดศพ ในวันเดียวกันนี้ น.ส. จิตราวดี วรฉัตร ลูกสาวของ ร.ต. ฉลาด ประกาศสานต่อเจตนารมณ์ถ้าพ่อเป็นอะไรไป
ทางพรรคฝ่ายค้าน พล.ต. จำลอง ศรีเมืองหัวหน้าพรรคพลังธรรม ได้มีจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ. สุจินดา คัดค้านนายกฯ คนนอก และขอให้ พล.อ.สุจินดาถอนตัวจากตำแหน่งนายกฯ
พรรคฝ่ายค้านทั้งสี่พรรคมีมติแต่ง ชุดดำไว้ทุกข์ และจัดปราศรัยเพื่อคัดค้านนายกฯคน นอก สำหรับการคัดค้านจากฝ่ายอื่น ๆ ยังมีอยู่ทั่วไป จากองค์ต่าง ๆ และนักวิชาการทั้งในและนอกประเทศ

๑๖–๑๙ เมษายน ๒๕๓๕

คลอดรัฐบาลเป็ดง่อย
วันที่ ๑๗ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี รัฐบาลชุดนี้ประกอบด้วยพรรคการเมืองห้าพรรค คือ พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย และ พรรคราษฎร โดยมีรัฐมนตรีที่ถูกยึดทรัพย์รวมอยู่ด้วยถึงสามคนทั้งที่คณะ รสช.อ้างเหตุผลในการทำรัฐประหารเมื่อปีที่แล้วว่า สาเหตุหนึ่งก็เพื่อกำจัดรัฐมนตรีที่คอรัปชัน

พล.อ. สุจินดาให้เหตุผลที่มีรัฐมนตรีที่ถูกประกาศยึดทรัพย์ว่า ศาลยังไม่ตัดสินว่ามีความผิดอีกทั้งประชาชนเป็นคนเลือกเข้ามาและบอกว่าทำได้ ดีที่สุดแค่นี้ ขณะที่ พล.อ. สนุทร ให้สัมภาษณ์ว่า มองคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้วเศร้าใจ
การคัดค้านนอกสภา

บริเวณหน้ารัฐสภาที่ร.ต. ฉลาดอดอาหารประท้วงอยู่ มีการอภิปรายต่อต้าน พล.อ. สุจินดาและมีผู้ร่วมอดอาหารเพิ่มขึ้น ทั้งยังมีการแสดงการคัดค้านจากประชาชนและองค์กรต่าง ๆ เช่นนางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ
หลังการประชุมสภา (วันที่ ๑๖) ฝ่ายค้านซึ่งพร้อมใจกันแต่งเข้าสภาได้แถลงว่า จะเปิดการปราศรัยใหญ่ที่ลานพระบรมรูปฯ ในวันที่ ๒๐ เวลา ๑๗.๐๐ น. และจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญสี่ข้อ คือ ให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ให้ประธานรัฐสภามาจากประธานสภาผู้แทนฯ ตัดอำนาจวุฒิสมาชิกเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และแก้ไขสมัยการประชุม
นายสมัคร สนุทรเวช รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่พรรคฝ่ายค้านออกมาคัดค้านนั้นเพราะฝ่ายค้านอยากเป็นรัฐบาลบ้าง พล.อ.อ. อนันต์ กลินทะ รมว. กระทรวงมหาดไทย พูดว่าเสียงคัดค้านนอกสภาเป็นเสียงส่วนน้อย

๒๐ เมษายน ๒๕๓๕

นายกฯ บอกหลับสบาย ก่อนหน้าที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายที่ลานพระบรมรูปฯ ในเย็นวันนี้ พล.อ. สุจินดาให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อมีสภาแล้วไม่ควรเล่นนอกสภา และบอกว่าไม่ห่วงเรื่องการปราศรัยเลย ตนพร้อมจะรับคำตำหนิ คิดว่าประชาชนจะมาชุมนุมไม่ถึงแสนคน ไม่หนักใจม็อบต้าน และบอกว่า “ผมไม่เครียดหลับสบายทุกคืน” ส่วน พล.อ.อ. เกษตรบอกว่าการชุมนุมเป็นการเล่นนอกเกม ถ้าเหตุการณ์บานปลายลุกลาม จะใช้มาตรการให้บ้านเมืองสงบ พล.อ. อิสระพงศ์ ก็กล่าว มีแผนจัดการกับผู้ร่วมชุมนุมแล้ว ถ้าเกิดเหตุการณไม่สงบ ประชาชนเรือนแสนร่วมคัดค้านนายกฯคนนอก

การปราศรัยเริ่มขึ้นเมื่อเวลา ๑๗.๐๐ น. เป็นการปราศรัยของตัวแทนฝ่ายต่าง ๆ ประชาชนมาร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้นจนตำรวจต้องปิดการจราจรบริเวณลานพระบรมรูปฯ มีประชาชนเข้าฟังประมาณ ๑ แสนคน โดยแกนนำคือพรรคการเมืองฝ่ายค้านได้ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้าน และชี้ให้เห็นถึงความไม่เหมาะสมของนายกฯ คนปัจจุบัน หลังการปราศรัยของพรรคต่าง ๆ จบลง มีการจุดเทียนพร้อมกันโดยข่าวนี้ไม่ได้เผยแพร่ทางโทรทัศน์เลย ยกเว้นช่อง ๓ ที่ออกอากาศประมาณนาทีครึ่ง
๒๑ เมษายน - ๓ พฤษภาคม ๒๕๓๕

ฉลาด เข้าไอซียู / ร.ต. ฉลาดที่อดอาหารมาเกือบ ๒๐ วัน เริ่มมีอาการแย่ลง แต่ก็ยังอดอาหารต่อไปแม้จะได้รับการ้องขอให้เลิกจากสมเด็จพระสังฆราชในตอน สายของวันที่ ๒๙ ร.ต. ฉลาดช็อกหมดสติและถูกนำส่งโรงพยาบาล แพทย์บอกว่าต้องรักษาตัวอย่างน้อยเจ็ดวัน ต่อมา น.ส. จิตราวดีได้ประกาศอดอาหารต่อแทนบิดา
พล.อ.อ. อนันต์ให้สัมภาษณ์ว่า “การอดอาหารเป็นอาชีพของ ร.ต. ฉลาด”
ฝ่ายค้านเดินหน้า รัฐบาลบอกเล่นนอกเกม /ทางพรรคฝ่ายค้านนอกจากมีการออกไปอภิปรายตามจังหวัดต่าง ๆ แล้ว ยังได้ตกลงกับองค์กรเอกชนเพื่อจัดการชุมนุมใหญ่คัดค้านนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ในวันที่ท๔ พฤษภาคมที่ท้องสนามหลวง นอกจากนี้ตัวแทนพรรคพลังธรรมยังเสนอให้นายกฯ ลงมาเลือกตั้ง โดย ส.ส. พลังธรรมยินดีลาออกเปิดทางให้
พล.อ. สุจินดาได้พูดว่า เมื่อมีสภาแล้วให้พูดกันในสภา ตนยอมรับการคัดค้านในสภาเท่านั้น พล.อ.อ. อนันต์คาดว่า กระแสคัดค้านนั้นสองสัปดาห์คงหมดไป และบอกว่านายกฯ ส่วนการประท้วงหากรุนแรงอาจจะต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน
๔ พฤษภาคม ๒๕๓๕
จำลองขออดข้าวตาย
วันนี้เป็นวันชุมนุมของประชาชนเพื่อคัดค้าน นายกฯ คนนอกที่ท้องสนามหลวง
บรรยากาศเริ่มคึกคักตั้งแต่ช่วงเย็น กลุ่มมวลชนต่าง ๆ ผลัดกันขึ้นเวทีอภิปรายให้หัวข้อ”ร่วมพลังประชาธิปไตย นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง” มีประชาชนเข้าร่วมเกือบแสนคน ในช่วงท้ายเป็นการปราศรัยของนักการเมืองฝ่ายค้านข้อความเน้นความไม่ถูกต้อง ความไม่ชอบธรรมและการสืบทอดอำนาจของ พล.อ. สุจินดา มีการกล่าวถึงคำพูดของนายกฯ เช่น “เสียสัตย์เพื่อชาติ” การอภิปรายมุ่งไปที่ตัวนายกฯ โดยตรงและเรียกร้องให้ พล.อ. สุจินดาลาออก
พล.ต. จำลองขึ้นเวทีประกาศอดอาหารทุกชนิด บอกว่าจะตายภายในเจ็ดวัน หาก พล.อ. สุจินดาไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งนายกฯ และได้ขอให้ประชาชนไปร่วมแสดงพลังคัดค้านนายกฯ และได้ขอประชาชนไปร่วมแสดงพลังคัดค้านนากฯคนนอกที่หน้ารัฐสภา ส่วน ร.ต. ฉลาดที่ออกจากห้องไอซียูแล้ว บอกว่าจะไปอดข้าวกับ พล.ต.จำลอง
พล.อ. สุจินดาให้สัมภาษณ์ว่าให้ ร.ต. ฉลาดทำไปจนกว่าจะหมดแรงไปเอง คงยุติเข้าสักวัน และยืนยันว่าไม่มีอะไรสร้างแรงกดดันได้ถ้าเรื่องนอกสภา
๕ พฤษภาคม ๒๕๓๕
อดได้อดไป แต่ให้เล่นในสภา / พล.อ. สุจินดาตอบคำถามนักข่าว กรณี พล.ต. จำลองอดอาหาร โดยย้อนถามนักข่าวว่าควรจะให้ตนลาออกหรือปล่อยให้ พล.ต. จำลองตาย และบอกว่าตนจะไม่ให้ พล.ต. จำลองตาย และบอกว่าตนจะไม่ใช้ความรุนแรง การคัดค้านนอกสภาไม่เป็นผล ส่วนนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีบอกว่า การอดอาหารเป็นการกระทำเกินขอบเขตและไม่ใช่ชาวพุทธที่ต้องเดินสายกลาง

ทางฝ่าย ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลก็ให้สัมภาษณ์ว่า เรามีสภาแล้วให้เล่นในสภา ด้าน พล.ต. ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ บอกว่าเป็นเรื่องของนักการเมืองที่อยากดัง ตนยังยืนสนับสนุน พล.อ. สุจินดาเป็นนายกฯ ในฝ่ายของทหาร พล.อ. อิสระพงศ์ บอกว่าเรื่องประกาศกฎอัยการศึกต้องดูสถานการณ์และฟังคำสั่งของ ผบ. สูงสุด ซึ่งกองทัพมีคำสั่งให้เตรียมพร้อมในที่ตั้ง
ฝ่ายค้านมีมติสนับสนุนการกระทำของ พล.ต. จำลอง และจะไม่เข้าร่วมฟังการแถลงนโยบายนายกฯ แต่จะเข้าไปทำหน้าที่อภิปรายในสภา
พระประจักษ์เข้าเยี่ยม / บริเวณหน้ารัฐสภาในตอนเช้า ร.ต. ฉลาดได้กลับมาร่วมอดอาหารกับ พล.ต. จำลองพระประจักษ์ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมได้เขียนข้อความให้ พล.ต. จำลองว่า “ไม่มีใครตายได้สองครั้งอาตมามีความรู้สึกเหมือนคุณโยม ไม่ต้องกลัวอะไรฉันยินดีตายด้วย”
ประชาชนที่มาร่วม ชุมนุมได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นหมื่นคน จนต้องตั้งเวทีขึ้นในตอนค่ำและปิดการจราจรในถนนอู่ทองใน กระแสการคัดค้านได้เกิดขึ้นในต่างจังหวัดด้วย เช่น ที่เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา สงขลา เป็นต้น
๖ พฤษภาคม ๒๕๓๕

นายกฯ เป็นไปในการอภิปราย / วันนี้เป็นวันแถลงนโยบายของรัฐบาลและมีการซักถามของส.ส. ในช่วงก่อนเปิดสภา พล.อ. สุจินดาให้สัมภาษณ์ว่า ไม่มีเหตุการณ์อะไรและไม่มีอะไรกดดัน พล.อ.อ. อนันต์ แสดงความไม่เห็นด้วยในการอดอาหารประท้วง และว่ารัฐบาลเข้ามาถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ควรใช้เวทีรัฐสภามากกว่า นายมีชัย ฤชุพันธ์ รองนายกฯ กล่าวว่า การที่ พล.อ. สุจินดาเป็นนายกฯ เพราะเรามีรัฐธรรมนูญอย่างนี้ แต่ก็เลิกได้โดยเป็นการเลิกในสภา ช่วงนี้ต้องทำตามกฎเกณฑ์ไปก่อน
ในช่วงการแถลงนโยบายของนายกฯ ส.ส.ฝ่ายค้านซึ่งมีมติไม่เข้าฟังได้ออกปราศรัยกับประชาชนกว่า ๓ หมื่นคนที่ชุมนุมอยู่หน้ารัฐสภาเสร็จแล้วจึงกลับเข้าอภิปรายโจมตีนดยบายต่าง ๆ เช่น นโยบายที่บอกว่าจะรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย การกระจายอำนาจพูดถึงรัฐมนตรีถูกยึดทรัพย์ และสุดท้ายการรักษาสัจจะ โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ มีอาการกระสับกระส่ายตลอดเวลา
คัดค้าน – ถวายฎีกา สุจินดาต้องลาออก
นักวิชาการ ๑๕ สถาบันการศึกษาเตรียมยื่นจดหมายถึง พล.อ. สุจินดา เรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ แต่ถูกขัดขวาง มีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทำหนังสือกราบบังคมทูลถวายความเห็นว่าทางออกประการหนึ่งคือ การพระราชทานคำแนะนำให้นายกฯ ยุบสภา
การชุมนุมที่หน้ารัฐสภายังดำเนินต่อไป มีประกาศจาก พล.ต. จำลองว่ามีความลำบากในการอดอาหารและคงอยู่ไม่ครบเจ็ดวัน
ทางด้านพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลได้มีการเคลื่อนไหวเพื่อลดแรงกดดัน ส.ส. พรรคชาติไทยคิดว่าจะให้ยื่นเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญสองประเด็นในวันพรุ่งนี้ คือ นายกฯ มาจากการเลือกตั้ง และประธานสภาผู้แทนฯ เป็นประธานรัฐสภา โดยให้มีบทเฉพาะกาลหนึ่งปี พรรคกิจสังคม ก็ได้ยอมรับหลักการของฝ่ายค้าน แต่ต้องหากับทางพรรคก่อน
๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕
นายกฯ กับเหตุผลการรับตำแหน่ง / การแถลงนโยบายในวันที่ ๒ จบลงด้วยความวุ่นวาย เมื่อนายกฯ พูดถึงเหตุผลที่เข้ารับตำแหน่งว่า เพราะ หนึ่ง รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามไว้สอง กล่าวพาดพิงถึง พล.อ. ชวลิต ว่าเลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตยแบบสภาเปรซิเดียมและ กลุ่มที่เคลื่อนไหวนอกสภาก็เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การปกครองแบบนี้ สาม ได้รับการขอร้องจากชาวพุทธที่กำลังถูกกลุ่มหนึ่งก่อตั้งศาสนาใหม่ และ สี่ การที่นายกฯ เป็นคนกลางจะทำให้ควบคุมการคอรัปชันได้ดีที่สุด ในขณะที่นายกฯ ชี้แจงอยู่นั้น ได้มีเสียงตะโกนและเสียงโห่แสดงความไม่พอใจของ ส.ส. ฝ่ายค้านตลอดเวลา หลังจากชี้แจงแล้ว ประธานรัฐสภาได้กล่าวปิดการประชุมทันที

เป็นที่น่าสังเกตว่า ภาพข่าวทางโทรทัศน์ช่อง ๕ เสียงที่ได้ยินหลังคำแถลงของนายกฯกลายเป็นเสียงปรบมือ
ประกาศเตือนให้ยุติการชุมนุม

ที่หน้ารัฐสภาภายหลังปิดสภาแล้ว ประชาชนมาร่วมชุมนุมเพิ่มมากขึ้น แต่ถูกฝ่ายตำรวจกั้นไว้ภายนอก จนเมื่อ ส.ส. คนหนึ่งขับรถชนแผงกั้นที่ด้านลานพระบรมรูปฯ ประชาชนจึงสมารถเข้าร่วมชุมนุมที่บริเวณหน้ารัฐสภาได้
หลังปิดสภาได้มีการประชุมกันของฝ่ายทหาร ประกอบด้วย พล.อ. สุจินดา พล.อ.อ.เกษตร พล.อ. อิสระพงศ์ พล.ท. ชัยณรงค์ พล.อ.อ. อนันต์ สรุปว่าจะใช้มาตรการสามมาตรการ ถ้าผู้ชุมนุมไม่สลายตัว คือ ๑ . ออกประกาศเตือน ๒. ประกาศกฎอัยการศึก ๓. ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด โดยมั่นใจว่าจะสลายม็อบได้สามวัน
เวลา ๑๕.๐๐ น. มีประกาศของกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ฉบับที่ ๑ เรียกร้องให้ยุติการชุมนุมและเวลา ๑๗.๐๐ น. ก็มีประกาศกองกำลังรักษาพระนคร ฉบับที่ ๑ ( ผู้ประกาศคือ นายจักรพันธ์ ยมจินดา ซึ่งหลังจากนั้นได้ลาพักร้อนและลาออกจากหน้าที่ในเวลาต่อมา) ว่าจะจัดการกับผู้ชุมนุม แทนที่จะได้ผล กลับเป็นการท้าทายให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมมาขึ้น ๆ จนล้นออกมาถึงบริเวณลานพระบรมรูปฯ
เคลื่อนม็อบไปสนามหลวง
ในเย็นวันนั้น พล.อ.อ. เกษตรให้สัมภาษณ์ว่า การสลายม็อบจะทำอย่างนิ่มนวล ถ้าไม่เชื่อฟังก็มีหลายมาตรการจัดการ แต่รับรองจะไม่ใช้วิธีรุนแรง ส่วน พล.อ. อิสระพงศ์ กล่าวว่า จะใช้มาตรการนุ่มนวล และจะทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว

ในตอนค่ำ ครป. สนนท. และ พล.ต. จำลอง ได้นำผู้ชุมนุมนับแสนคนจากหน้ารัฐสภาไปยังสนามหลวงอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางเสียงเชียร์จากประชาชนโดยรอบ และเสียงตะโกนว่า
“สุจินดาออก ๆๆๆ” คาดว่าการที่แกนนำการชุมนุมเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมไปท้องสนามหลวง เพราะมีข่าวว่าจะมีการสลายม็อบตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งบริเวณหน้ารัฐสภาถูกปิดล้อมได้ง่าย ไม่เหมาะแก่การชุมนุม
๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕
สุ ยังไม่ออก
พล.อ. สุจินดาให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่าตนสามารถทนการถูกอภิปรายในสภาได้ ที่พูดในสภาเรื่องเหตุผลการเป็นนายกฯ เป็นการชี้แจงส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเก้เป้นเรื่องของสภาซึ่งตนกระทำตามมติ ของสภาเท่านั้น ตนไม่ยึดติดกับอำนาจ และพร้อมที่จะลาออกถ้าเป็นไปตามกระบวนการ และว่าจะไม่ใช้มาตรการรุนแรงอย่างเด็ดขาด

พล.อ.อ. อนันต์กล่าวว่า มีมาตรการแก้ไขปัญหาการชุมนุมอยู่แล้ว และว่า พล.ตง จำลองเป็น ส.ส. ทำไมไม่ไปทำหน้าที่ในสภา ส่วนเรื่องอดข้าวนั้นตนไม่เห็นตายสักที
รัฐบาลพยายามลดพลังการชุมนุม

ฝ่ายรัฐบาลใช้สื่อวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าวแก่ประชาชนว่า การเข้าชุมนุมอาจได้รับอันตรายทั้งยังแพร่ภาพตัวแทนชาวพุทธเข้าเยี่ยมและให้กำลังใจ พล.อ. สุจินดา

พล.อ.อ. อนันต์ได้เชิญตัวแทนหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับเข้าพบ และขอร้องให้เสนอข่าวตามจริงเพื่อประโยชน์ของชาติ กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งห้ามพนักงานรัฐวิสาหกิจไปชุมนุมที่สนามหลวง ผู้ใดไปถือว่ามีความผิดทางวินัย
นายมนตรีกล่าวว่าห้าพรรครัฐบาลมีมติที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่ แต่ต้องคุยกับฝ่ายค้านก่อน ส่วนนายอาทิตย์ขบอกว่าจะมีการประชุมร่วมแก้พรรคการเมืองได้ในวันที่ ๑๑ เพื่อหารือเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ยังติดที่เงื่อนไข ของ พล.ต. จำลอง
เคลื่อนม็อบอีกรอบ

ที่ท้องสนามหลวง บรรยากาศเริ่มคึกคักตั้งแต่ตอนเช้า มีประชาชนทยอยเดินทางมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกินแสนคน ในตอนเย็นพล.ต. จำลอง ซึ่งอดอาหารมาเป็นวันที่ ๕ ก็ยอมรับในหลักการของประธานสภาผู้แทนฯ แต่มีเงื่อนไขที่ พล.อ. สุจินดาต้องมาแถลงเองว่าจะแก้ไขในหนึ่งเดือน ไม่มีบทเฉพาะกาล และต้องขอรับโทษถ้าไม่ทำตาม
ช่วงค่ำ พล.ต. จำลองตัดสินใจนำขบวนผู้ชุมนุมออกจากสนามหลวง เพราะจะมีการใช้ผู้ชุมนุมออกจากสนามหลวงประกอบพิธีสัปดาห์พุทธสาสนาและพระ ราชพิธีพืชมงคล จึงได้นำขบวนประชาชนกลุ่มหนึ่งเดินมาตามถนนราชดำเนินและมาพบกับแนวรั้วลวด หนามของทางตำรวจที่กั้นไว้ที่บริเวณถนนราชดำเนินกลาง
เนื่องจากการชุมนุมครั้งนี้มีแกนนำอยู่ สองกลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่ม ครป. และ สนนท. ซึ่งเข้ามามีบทบาทนำการชุมนุมในช่วงแรก กลุ่มที่สองคือ กลุ่มของ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ซึ่งเริ่มเข้ามีบทบาทนำการชุมนุมในช่วงหลังวันที่ ๗ พฤษภาคม ต่อมาทั้งสองกลุ่มได้ขัดแย้งกันในเรื่องการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุม โดยกลุ่ม พล.ต. จำลอง ต้องการย้ายผู้ชุมนุมจากสนามหลวงไปยังถนนราชดำเนิน แต่ทาง ครป. และ สนนท. เห็นว่าไม่ควรเคลื่อนย้าย จนเป็นเหตุให้ที่ชุมนุมเกิดความสับสน เมื่อประชาชนส่วนหนึ่งเคลื่อนย้ายตาม พล.ต. จำลองไป ขณะที่อีกส่วนหนึ่งยังคงปักหลักอยู่ที่ท้องสนามหลวง
รับบาลได้ฉกฉวยโอกาสนี้ขยายภาพความขัดแย้ง ดังกล่าว โดยออกแถลงการณ์ฉบับที่ ๑ ว่า ครป. และ สนนท. ได้สลายการชุมนุมแล้วเหลือเพียง พล.ต. จำลอง กับ พล.อ. ชวลิตที่ยังนำการชุมนุมต่อที่สะพานผ่านฟ้า ฯ ต่อมาทาง สนนท. เห็นว่าควรให้การชุมนุมเป็นเอกภาพ จึงตัดสินใจเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมจากสนามหลวงไปรวมกันที่ถนนราชดำเนิน
รัฐบาลจึงออกแถลงการณ์ฉบับที่ ๒ ว่า นายปริญญาได้ฝ่ายฝืนมติของ สนนท. และ กลับมาร่วมชุมนุมใหม่ หลังจากแถลงการณ์ฉบับนี้นายโคทม อารียา จึงประกาศว่า ครป. และ สนนท. ยังเข้าร่วมการชุมนุมเหมือนเดิม เพื่อให้รัฐบาลยุติการตอนกลิ่มลงบนความขัดแย้ง

๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕

จำลอง เลิกอดอาหาร
กลุ่มผู้ชุมนุมยังคง ปักหลักอยู่ที่ถนนราชดำเนินกลาง บริเวณเชิงสะพานผ่านฟ้าฯ ถูกกั้นด้วยลวดหนาม จนได้รับการขนานนามว่ากำแพงเบอร์ลิน ในตอนสายของเช้าวันนี้ พล.ต. จำลองได้ขอประชามติจากที่ชุมนุมว่าจะให้อดอาหารต่อหรือให้เลิกเพื่อที่จะสู้ ต่อไป ผู้ชุมนุมมีมติเลือกข้อที่สอง

พล.ต. จำลอง จึงเลิกอดอาหารและประกาศลาออกหัวหน้าพรรคพลังธรรม เพื่อป้องกันข้อครหาว่าต่อสู้เพื่ออำนาจ พร้อมทั้งลดเงื่อนไขการเรียกร้องเหลือเพียงการแก้ไขรับธรรมนูญ และให้บทเฉพาะกาลไม่เกินหนึ่งเดือน
สถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยออกข่าวการประท้วงเลย ได้ออกข่าวการประกาศเลิกดอดอาหารของ พล.ต. จำลอง
เป็นที่น่าสังเกตว่า การชุมนุมประท้วงตลอดเวลาที่ผ่านมา กลุ่มผู้ชุมนุมจะมีมากเป็นเรือนแสนในตอนเย็น และเริ่มน้อยลงในตอนเช้าของแต่ละวัน กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมากขับรถยนต์มากันเอง และใช้โทรศัพท์มือถือ การชุมนุมครั้งนี้จึงได้รับการเรียนขานว่า “ม็อบรถเก๋ง” และ “ม็อบมือถือ”
แถลงมติเก้าพรรคยินดีแก้ไขรัฐธรรมนูญ

พรรคการเมือง นักวิชาการ อาจารย์พยายามหาทางออกด้วยการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญตัวแทนพรรคฝ่ายรัฐบาลและฝ่าย ค้านรวมเก้าพรรคได้ประชุมกันโดยความพยายามของนายอาทิย์ และมีมติว่าเก้าพรรคเห็นชอบแก้รับธรรมนูญในสี่ประเด็น คือ ประธานสภาผู้เป็นแทนฯเป็นประธานรัฐสภา นายกฯ มาจากการเลือกตั้งลดอำนาจวุฒิสมาชิก และการการแบ่งเขตเลือกตั้งลดอำนาจวุฒิสมาชิก และการแบ่งเขตเลือกตั้งโดยพรรคร่วมรัฐบาลขอเวลาไปขอมติพรรคและจะยื่นวาระให้ ประธานรัฐสภาได้ทันในวันที่ ๑๕

๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕

เคลียร์ ม็อบรับเสด็จ
สมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯ จะเสด็จพระราชดำเนินผ่านถนนราชดำเนินไปยังท้องสนามหลวงในวันนี้ ตอนสายประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมได้ร่วมกันทำความสะอาดถนนราชดำเนินมีการย้าย เต็นท์ไปข้าทาง และแจกธงชาติให้แก่ผู้ชุมนุมเพื่อเตรียมรับเสด็จแต่ปรากฏว่าได้มีการเปลี่ยน เส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน เจ้าหน้าที่ตำรวจให้เหตุผลว่าเพื่อความปลอดภัย ขณะที่สถานีวิทยุ จส. ๑๐๐ ออกข่าวว่าผู้ชุมนุมปิดกั้นเส้นทางเสด็จฯ
เลิกชุมนุมชั่วคราว ดูท่าทีพรรคการเมือง
แกนนำการชุมนุมได้ประชุมและแถลงแก่ผุ้ ร่วมชุมนุมเรือนแสนว่าจะสลายการชุมนุมชั่วคราว เพื่อรอสัญญาของเก้าพรรคที่แก้ไขรับธรรมนูญ และ เพราะได้รับชัยชนะในระดับหนึ่งแล้ว โดยจะนัดชุมนุมกันใหม่ในวันที่ ๑๗ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทางรัฐสภา การชุมนุมได้ยุติลงเวลา ๐๔.๑๕ น. ของวันที่ ๑๑

๑๑ – ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๕

ห้าพรรค หลอกอีกแล้ว / หลังจากการชุมนุมของประชาชนยุติลงห้าพรรครัฐบาลก็มีท่าทีเปลี่ยนไป นายมนตรีกล่าวว่าการประชุมวันที่ ๙ นั้นไม่ใช่มติพรรคต้องนำเข้าที่ประชุมพรรคก่อน นายบรรหาร ศิลปอาชา เลขาธิการพรรคชาติไทยได้กล่าวหาว่า นายอาทิตย์กระทำการโดยพลการ และบอกว่าที่ทำไปเพื่อลดแรงกดดัน จนนายอาทิตย์ต้องออกมาประกาศว่า ได้ทำหน้าที่อย่างถึงที่สุดแล้ว และจะเกิดอะไรขึ้นเกินกว่าที่ตนจะผลักดันใด ๆ ได้

นอกจากนี้ทั้งห้าพรรค ยังมีท่าทีที่จะถ่วงเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไป โดยอ้างว่าต้องไปปรึกษากับ ส.ส. ในพรรคก่อน ไม่สามารถยื่นหนังสือขอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทันวันที่ ๑๕ นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมบอกว่าต้องมีบทเฉพาะกาลสองปี นายมนตรีบอกว่าจะให้เริ่มมีผลบังคับใช้ในรัฐบาลหน้าส่วนนายสมัครบอกว่า นายกฯ ไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง
การพลิกลิ้นของพรรค ฝ่ายรัฐบาลครั้งนี้คาดว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่ ท้องสนามหลวงในวันที่ ๑๗ พฤษภาคมเป็นจำนวนมาก
ฉลาด ขออดจนตาย ถ้าสุจินดาไม่ลาออก

แม้ว่าทาง พล.ต. จำลองจะประกาศเลิกอดอาหารแล้ว แต่ ร.ต. ฉลาดยังยืนยันที่จะอดอาหารประท้วงต่อไป เพราะไม่เชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จ โดยย้ายมาอยู่ที่หน้ารัฐสภาและประกาศว่า ถ้า พล.อ. สุจินดา ไม่ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ภายในวันที่ ๒๕ จะขออดทั้งอาหารและน้ำจนกว่าจะตาย

จัดคอนเสิร์ตกัดม็อบ

ได้มีความพยายามจะไม่ให้เกิดการชุมนุมของประชาชนวันที่ ๑๗ กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่า ทุกจังหวัดดูแลไม่ให้เกิดการชุมนุมคัดค้าน โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ มีการสั่งห้ามผู้ว่าฯ กทม. ไม่ให้สนับสนุนการชุมนุม เช่น ห้ามบริการสุขาเคลื่อนที่ ในตอนท้ายแม้ว่านายกฯ จะอนุญาต แต่ปรากฏว่าฝ่ายทหารได้นำรถไปใช้และยังไม่ได้นำส่งคืน กทม. นอก จากนี้ในวันที่ ๑๕ มีปรากฏการณ์หนึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ คือมีประชาชนไปรวมกันที่หน้าศาลากลางของแต่ละจังหวัด พร้อมชูป้ายสนับสนุน พล.อ. สุจินดาเป็นนายกฯ เช่น “แล้งไม่ว่า ให้สุจินดาเป็นนายกฯ”

ความพนายามอีกประการหนึ่งก็คือ การจัดคอนเสิร์ต “รวมใจต้านภัยแล้ง” ที่สนามกีฬากองทัพบก ซึ่งถูกจัดขึ้นอย่างฉุกละหุกในวันและเวลาเดียวกันกับการชุมนุมของประชาชนที่ ท้องสนามหลวง
ประกาศตั้งสมาพันธ์ประชาธิปไตย

หลังจากยุติการชุมนุมชั่วคราว บรรดาแกนนำได้นำประชุมร่วมกันเพื่อปรึกษาและสรุปบทเรียนที่ผ่านมาในวันที่ ๑๔ พ.ค. ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ เนื่องจากพบว่าการชุมนุมในช่วงแรก

(๔-๑๑ พ.ค.) นั้นแกนนำขาดความเป็นเอกภาพมีความแตกต่างทางแนวคิดและไม่สามารถหาข้อยุติได้ ด้วยขาดองค์กรนำ ที่ประชุมจึงลงมติจัดตั้งสมาพันธ์ประชาธิปไตยขึ้น ประกอบด้วยกรรมการ
เจ็ดคน คือ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง นายปริญญา เทวนฤมิตรกุล น.พ. เหวง โตจิราการ น.พ. สันต์ หัตถีรัตน์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ และร.ต. ฉลาด วรฉัตร (ภายหลังได้ถอนตัว และให้ น.ส. จิตราวดีเป็นแทน) นอกจากนี้ยังได้ออกแถลงการณ์ ใบปลิว ชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมในเย็นวันที่ ๑๗ ด้วย
กิจกรรม ในช่วงนี้ได้แก่ การเผาหุ่นสุจินดาในวันที่ ๑๒ การอภิปรายที่ธรรมศาสตร์วันที่ ๑๓ การแสดงของศิลปินที่สวนจตุจักรในวันที่ ๑๕ รวมทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชาในวันที่ ๑๖ เป็น ที่น่าสังเกตว่าเพลงของนักดนตรีที่เข้าร่วมในงานวันที่ ๑๕ ที่สวนจตุจักร ต่างถูกห้ามเปิดตามสถานีวิทยุของทหาร

๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕
นายกฯ ไปน่าน

ช่วงเช้า พล.อ สุจินดาเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดน่าน นายกฯ กล่าวว่า ตนพร้อมเดินทางกลับทันที หากเกิดเหตุรุนแรงในการชุมนุมที่กรุงเทพฯ

เกี่ยวกับเรื่อง พล.ต. จำลองเสนอทางออกว่านายกฯ ต้องลาออกนั้น พล.อ. สุจินดากล่าวว่า นั้นเป็นทางออกของ พล.ต. จำลอง ส่วนตนมีแต่ทางเข้าอย่างเดียว รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง ยกเว้นมีผู้ใช้ความรุนแรงขึ้นมา

ที่กรุงเทพฯ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวปฏิเสธว่า การเลื่อนเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่การหักหลัง แต่ต้องการปรึกษากันภายในพรรคก่อน เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องง่าย
นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ เลขาธิการพรรคราษฎร ชี้แจงความเห็นของพรรคราษฎรต่อการแก้ไขว่ามีสองประเด็น คือ เรื่องของประธานรัฐสภาและการลดอำนาจวุฒิสมาชิก ส่วนประเด็นนายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องสำคัญหากให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ทูลเกล้าฯ และไม่ควรปิดประตูรัฐธรรมนูญเพราะจะทำให้ประเทศล้มลุกคลุกคลาน
คอนเสิร์ตต้านภัยแล้ง ?
ช่วงเย็น มีการจัดคอนเสิร์ตต้านภัยแล้งที่สนามกีฬากองทัพบกและวงเวียนใหญ่ รถบัส รถยีเอ็มซี ของทหารและรถบัสทหาร นำชาวบ้านจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น ปทุมธานี นครนายก ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร ฯลฯ รวมประมาณ 1 หมื่นคน มาร่วมชมคอนเสิร์ตที่สนามกีฬากองทัพบก นอกจากชาวบ้านจากต่างจังหวัดแล้ว กลุ่มลูกเสือชาวบ้านในกรุงเทพฯ ประมาณ 600 คน ก็ได้เดินทางมาร่วมด้วย ผู้มาร่วมวานส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและมีนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลมาร่วมงาน หลายคน
ชาวบ้านคนหนึ่งจากจังหวัดฉะเชิงเทราเผยว่า ไม่ทราบว่ามางานอะไร เพียงแต่ผู้ใหญ่บ้านบอกให้มาช่วยม็อบ ในการเดินทางมาครั้งนี้มีผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
นาย ชิน ทับพลี ผู้นำแรงงานย่านสมุทรปราการประธานคณะกรรมการจัดงาน กล่าวว่างานนี้ไม่ใช่ม็อบจัดตั้ง มีวัตถุประสงค์เพื่อรับเงินบริจาคช่วยภัยแล้ง แต่ที่ตรงกับการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือก หากเห็นว่าการชุมนุมประท้วงที่สนามหลวงถูกต้องก็ไม่ต้องมาที่นี่
นาย ชินกล่าวว่าใช้งบประมาณการจัดงานประมาณ 1 แสนบาทและคาดว่าจะได้ยอดเงินบริจาคประมาณ 10-20 ล้านบาท ซึ่งเมื่อถึงเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ยอดเงินบริจาคมีประมาณ 149,000 บาท
ในบริเวณรอบสนามกีฬาฯ ได้จัดให้มีรถสุขาเคลื่อนที่ของ กทม. ประมาณเจ็ดคัน แต่ไม่มีคนใช้บริการเพราะในบริเวณอัฒจันทร์รอบสนามฟุตบอลมีสุขาให้ใช้อยู่ แล้ว มีการแจกอาหารกล่อง ผลไม้และเครื่องดื่มเป๊ปซี่ตลอดงาน
ส่วนที่วงเวียนใหญ่ นักร้องค่ายนิธิทัศน์เปิดการแสดงบนเวทีในราวหกโมงเย็น มีผู้สนใจชมประมาณ 3,000 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น มีเคลื่อนที่ของ กทม. จำนวนสามคันมาให้บริการ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ทำการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ โดยการอนุมัติของนายปิยะนัฐ วัชราภรณ์ รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ชุมนุมที่ท้องสนามหลวง

ช่วงเช้าถึงเที่ยงเจ้าหน้าที่สมาพันธ์ประชาธิปไตยได้มารวมตัวอยู่ที่บริเวณสนามหลวงเพื่อ เตรียมการชุมนุมที่จะขึ้นในตอนเย็น เช่น เรื่องอาหาร โปสเตอร์ เต็นท์อำนวยการ รวมทั้งสุขาชั่วคราวโดยใช้ถังน้ำมันผ่าครึ่งเป็นโถ มีผ้าพลาสติกกั้นเป็นห้องไว้ ตั้งชื่อว่า "สุขาเพื่อผู้รักประชาธิปไตย"
ราวเที่ยงมีประชาชนกว่า 5,000 คนทยอยมาที่สนามหลวงทั้ง ๆ ที่เวทียังไม่เริ่มตั้ง มีการขายเทปวีดีโอคำปราศรัยการชุมนุมเมื่อวันที่ 6-11 พ.ค. ที่ผ่านมา รวมทั้งเสื้อยืด สติกเกอร์ต่อต้าน พล.อ.สุจินดา และเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งขายดีมาก
นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร และผู้อดอาหารประท้วงคนอื่น ๆ ได้ย้ายมาที่เต็นท์ข้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วน ร.ต. ฉลาด วรฉัตร ซึ่งยังคงปักหลักอดอาหารประท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาลได้ขอถอนตัวจากคณะ กรรมการบริหารสมาพันธ์ประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลว่าไม่อาจเข้าร่วมประชุมได้ เนื่องจากร่างกายของตนอยู่ในสภาพที่อ่อนล้าการกระทำครั้งนี้ไม่ใช่ความแตก แยก แต่เพราะตนเหลือเวลาน้อยเต็มที่แล้ว
บ่ายโมงเจ้าหน้าที่สมาพันธ์ฯ เริ่มตั้งเวทีขึ้นโดยหันหน้าไปทางวัดพระแก้ว บนเวทีขึงผ้าสีขาวมีข้อความว่า "สมาพันธ์ประชาธิปไตย สุจินดาออกไปประชาธิปไตยคืนมา"
จากประชาชนประมาณ 3 หมื่นคนในเวลาบ่างสามโมง ได้เพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนคนเมื่อถึงเวลาทุ่มครึ่ง การจราจรโดยรอบสนามหลวงติดขัดเพราะมีผู้คนเดินทางมาทุกสารทิศ มีรายงานว่านายทหารตำรวจนอกเครื่องแบบประมาณ 1,000 คนได้ปะปนอยู่ในที่ชุมนุม
สมาพันธ์ประชาธิปไตยแจกธงกระดาษสีขาวมีข้อความว่า "ประชาธิปไตยต้องได้มาโดยสันติวิธี" และ "พร้อมใจยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตย" แก่ประชาชน เพื่อใช้โบกระหว่างฟังการปราศรัย
แอ๊ด คาราบาว ขึ้นร้องเพลงบนเวที ตัวแทนสมาพันธ์ประชาธิปไตยทยอยขึ้นปราศรัย บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีการตะโกนคำขวัญขับไล่ พล.อ. สุจินดาตลอดเวลา ธงสีขาวสะบัดพรึบทั่วท้องสนามหลวงเมื่อคำพูดถึงใจ
สองทุ่มเศษ พล.ต. จำลองตั้งเวทีปราศรัยย่อยขึ้นอีกแห่งหนึ่งเพื่อตรึงคนไว้ เนื่องจากเสียงจากเวทีใหญ่ได้ยินไม่ทั่วถึง จนถึงขณะนี้คาดว่ามีประชาชนกว่า 3 แสนคนแล้ว
นายพงษ์ศักดิ์ เปล่งแสง รองประธานกลุ่มรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ซึ่งมีองค์กรในสังกัดกว่า 200 องค์กร มีสมาชิกราว 3 หมื่นคน กล่าวปราศรัยต่อที่ชุมนุมว่า หากเกิดเหตุแรงจากการปราบปรามของรัฐบาล พนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดของตนพร้อมจะหยุดงาน
นายวีระ มุสิกพงศ์ พรรคความหวังใหม่ ขึ้นปราศรัยกล่าวเสียดสีถึงการที่รัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้นำสุขาเคลื่อนที่มาบริการ ว่านอกจากจะปิดกั้นข่าวสารปิดหูปิดตาประชาชนแล้ว ยังปิดกั้นประชาชนด้วย
หนังสือพิมพ์ประมาณว่ามีผู้ร่วมชุมนุมเกือบ 5 แสนคน นับเป็นการชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ของพลังประชาธิปไตย ทว่าไม่มีสถานีโทรศัพท์ช่องใดรายงานข่าวการชุมนุนนี้

เคลื่อนขบวนสู่ทำเนียบ

พล.ต.อ. สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจเปิดเผยว่าได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ประมาณ 4,000-5,000 นาย ทั้งในและนอกเครื่องแบบ โดยประสานกับกองกำลังรักษาพระนครตลอดเวลา

ผู้บัญชาการกองกำกับ รักษาพระนคร ได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรง (นขต.) กองกำลังรักษาพระนคร ปฏิบัติการตามแผนไพรีพินาศ / 33 ขั้นที่ 2 และปฏิบัติตามคำสั่งยุทธการที่ 1/35 โดยให้ทุกหน่วยเข้าที่รวมพลขั้นต้นใกล้พื้นที่ปฏิบัติการตามสี่แยกสะพานและ สถานที่สำคัญให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 19.00 น. สำหรับกองกำลังทหารบกและกองกำลังตำรวจ ให้รับผิดชอบสกัดบริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ สะพานสมมติอมรมารค สะพานระพีพัฒนลาภ สะพานเหล็ก และสะพานภาณพันธ์
เวลาหกโมงเย็น ทหารในสังกัดกองกำลังรักษาพระ นครเตรียมพร้อมในที่ตั้งประมาณ 2,000 นาย บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ มีรถดับเพลิงจำนวน 10 คัน และรถพยาบาลหนึ่งคัน
เวลาทุ่มเศษ ทหารช่างจาก ช.พัน 1 รอ. พร้อมด้วยรถยีเอ็มซีสองคัน บรรทุกรั้วลวดหนามมาจอดเตรียมพร้อมอยู่หน้ากระทรวงคมนาคม
ราวสามทุ่ม คณะกรรมการสมาพันธ์ฯ ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ น.พ.เหวง โตจิราการ ขึ้นไปบนเวที
พล.ต.จำลองได้นำประชาชนกล่าวปฏิญาณอย่างพร้อมเพรียงกันต่อหน้าพระแก้วมรกตและพระ บรมมหาราชวังว่า จะเคารพเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะต่อสู้กับเผด็จการ และให้มีประชาธิปไตยที่นายกฯ มาจากการเลือกตั้ง โดยยึดมั่นในหลักการอหิงสาสันติวิธี
น.พ.เหวงประกาศให้ประชาชนเดินไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอคำตอบจาก พล.อ. สุจินดา ประชาชนจึงทยอยเดินออกจากท้องสนามหลวงไปตามถนนราชดำเนินกลาง โดยมีขบวนของ พล.ต. จำลองเป็นผู้นำ
รายการบนเวทียังดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อดึงคนบางส่วนไว้ให้การเคลื่อนขบวนเป็นไปอย่าง ต่อเนื่องและไม่วุ่นวาย นางประทีปกล่าวถึงเหตุผลที่ต้องเคลื่อนขบวนว่า เพื่อตอกย้ำเจตนารมณ์อย่างสันติวิธีและขอให้ผู้ร่วมขบวนทุกคนรักษาความสงบ
ไม่นาน ถนนราชดำเนินกลางก็เต็มไปด้วยฝูงชน ธงเล็กสีขาวโบกไสวตลอดขบวน พร้อมกับเสียงร้องขับไล่ พล.อ. สุจินดาดังเป็นระยะ ๆ การจราจรย่านสนามหลวงเป็นอันพาตไปทันที
ที่สะพานผ่านฟ้าฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจนับพันนายพร้อมโล่หวาย ไม้กระบองตรึงกำลังอยู่โดยมีลวดหนาววางเป็นแนวกั้น รถดับเพลิงและทหารเสริมกำลังอยู่ด้านหลัง
มือที่สาม

การปะทะครั้งที่แรกเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 21.20-22.00 น. เมื่อฝูงชนกลุ่มแรกที่มาถึงสะพานผ่านฟ้าฯ เผชิญหน้ากับแนวกีดขวางและขอร้องตำรวจให้เปิดทางแต่ไม่สำเร็จ ประชาชนจึงพยายามฝ่าแนวกั้นโดยใช้ไม้กระแทกสิ่งกีดขวาง ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์หุ้มมือและเข้าดึงลวดหนาม บางคนก็ใช้มือเปล่า
พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์ รมช. มหาดไทยในขณะนั้น ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทำการฉีดน้ำสกัดฝูงชนในทันทีที่กลุ่มผู้ ชุมนุมรุกล้ำผ่านเข้ามาแต่เนื่องจากน้ำที่ฉีกออกมานั้นแรงทั้งยังเป็นน้ำครำ เน่าเหม็น ส่งผลให้ผู้ชุมนุมบางรายถึงกับเสียหลักและเกิดอารมณ์ฉุนเฉียว ประชาชนจึงตอบโต้ด้วยการขว้างปาขวดน้ำและก้อนหินเข้าใส่เจ้าหน้าที่
ต่อมา ฝูงชนกลุ่มหนึ่งบุกยึดรถดับเพลิงจำนวนแปดคันที่กำลังฉีดน้ำใส่กลุ่มชน แล้วฉีดน้ำกลับใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้ตำรวจต้องถอยร่นไป แต่ในที่สุดกำลังตำรวจนับพันนายก็บุกตะลุยเข้าชิงรถดับเพลิงคืนได้ โดยใช้กระบองรุมกระหน่ำตีกลุ่มผู้ยึดรถ การปะทะระหว่างฝูงชนกับตำรวจที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ และหน้ากรมโยธาธิการกินเวลานานนับชั่วโมง นอกจากก้อนหินและขวดน้ำแล้ว ยังมีคนใช้ขวดน้ำมันจุดไฟรวมทั้งระเบิดขวดขว้างใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้เกิดเสียงดังเป็นระยะ ๆ ทางฝ่ายตำรวจใช้กระบองเข้าทุบตีประชาชน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ (ผู้จัดการฉบับพิเศษ 2535) ผู้สื่อข่าวและช่างภาพหลายคนโดยทุบตี ถูกยึดฟิล์ม กล้อง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ไป มีผู้บาดเจ็บเลือดอาบรวมถึงถูกทุบตีจนเสียชีวิตหลายราย
ในช่วงเวลาเดียวกัน โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจออกข่าวว่า พล.ต. จำลองได้นำประชาชนเคลื่อนย้ายจากท้องสนามหลวงเพื่อมุ่งสู่พระตำหนักจิตรลดาฯ ผู้ชุมนุมได้ขว้างปาเจ้าหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บ รัฐบาลออกแถลงการณ์ให้ประชาชนที่มาชุมนุมกลับที่พักโดยด่วน
เวลา 22.15 น. ตำรวจนำรั้วลวดหนามมาตั้งขวางไว้ตามเดิม ผู้บาดเจ็บถอยมารวมกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เพิ่งเคลื่อนขบวนมาถึงสะพานผ่านฟ้าฯ พล.ต. จำลองได้กล่าวขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบและนั่งลงต่อสู้โดยสันติวิธี ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในความสงบ แต่มีบางส่วนที่ยังคงขว้างปาขวดน้ำใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชายฉกรรจ์กลุ่มหน้าสุดประมาณ 20 คน พยายามประสานมือกันเพื่อดึงประชาชนให้นั่งลง
ยึดสถานีตำรวจดับเพลิงภูเขาทอง
เวลา 23.00 น. ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ กลับสู่ความสงบ กลุ่มผู้ชุมนุนด้านกรมโยธาธิการกลับใช้ความรุนแรงและยั่วยุเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนเกิดการปะทะ มีการขว้างปาด้วยระเบิดเพลิงประทัด ในที่สุดก็มีการยึดสถานีตำรวจดับเพลิงภูเขาทอง นำรถดับเพลิงออกมา ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะในบริเวณดังกล่าวให้สัมภาษณ์ว่า มีบุคคลกลุ่มหนึ่งนำขวดบรรจุน้ำมันก๊าดมาเตรียมไว้ที่บริเวณสถานีตำรวจดับเพลิงภูเขาทอง และกระทำการยั่วยุให้เกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับประชาชนบริเวณ นั้นจนตำรวจต้องถอนกำลัง

เผาสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง

ในช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์ทางสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งมีสภาพไม่ต่างกับสถานีตำรวจดับเพลิง ภูเขาทองเท่าใดนัก เพราะมีบุคคลกลุ่มหนึ่งเจตนาก่อความรุนแรงขึ้น โดยการขว้างปาสิ่งของต่าง ๆ เข้าไปในสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งลงมือเผาและทุบรถยนต์ ซึ่งเป็นภาพที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณสะพานผ้านฟ้าฯ
ก่อนที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งจะถูกเผา เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ภายในอาคารเริ่มทยอยกันออกไปทางด้านหลังกองกำกับการ หลังจากตำรวจออกไป กลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้เข้าไปในสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งเพี่อเผาและฉกฉวย ทรัพย์สิน
ผู้บุกรุกสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ ตัดผมรองทรง บางคนศีรษะเกรียนร่วมกับกลุ่มวัยรุ่นอายุประมาณ 17-18 ปี มีข้อสังเกตว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีการเตรียมการในการเผาทำลายอาคารไว้พร้อมพรัก เพราะมีผู้ชุมนุมบางคนพยายามเข้าไปห้ามแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการขว้างปาถุง ใส่น้ำมันจำนวนหลายถุงที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวเตรียมมาได้ นอกจากนี้ยังไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ เพราะแม้แต่ประตูห้องขังก็ได้เปิดให้ผู้ต้องขังหนีออกมาก่อนแล้ว กลุ่มผู้บุกรุกทำงานด้วยความคล่องแคล่ว รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ราวกับได้เตรียมการมาอย่างรอบคอบ
ตลอดเวลาที่เกิดความวุ่นวายบนถนนราชดำเนิน นอก ประชาชนนับแสนตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าฯ ถึงสี่แยกคอกวัว ซึ่ง พล.ต. จำลอง คุมสถานการณ์ไว้ได้ ยังคงนั่งชุมนุมอย่างสงบ
พล.ต.จำลอง ได้ประกาศต่อที่ชุมนุมว่า ไม่ขอรับผิดชอบต่อการก่อจลาจลทั้งหมดเพราะเป็นฝีมือของมือที่สามที่หวัง สร้างสถานการณ์เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปรามประชาชน
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕
ประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉิน
เที่ยงคืนเศษ โทรทัศน์ได้ออกข่าวว่า พล.ต.จำลองได้ปลุกระดมประชาชนทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ทางราชการจึงต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียมากกว่า นี้
เวลา 00.30 น. โทรศัศน์ออกประการศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ลงนามโดย พล.อ. สุจินดา และ พล.อ.อ. อนันต์ กลินทะ รมว. มหาดไทย
เวลา 01.30 น. โทรทัศน์ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย ห้ามชุมนุมมั่วสุมเกิน 10 คนขึ้นไป
ต่อมาเวลาตีสาม โทรทัศน์ได้ประกาศเพิ่มเติมว่า พล.ต. จำลองได้นำการจลาจลเผารถ เผาสถานีตำรวจดับเพลิงภูเขาทอง ยึดสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน ทางราชการจึงต้องเข้าระงับความรุนแรงโดยเร็วที่สุด
มีข้อน่าสังเกตว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาล ให้เหตุผลที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง โดยกล่าวหาว่ากลุ่มผู้ชุมนุมที่พยายามรื้อลวดหนามมีเครื่องมือ ได้แก่ กรรไกรตัดเหล็กขนาดใหญ่ ถุงมือ และกระสอบ แต่หากพิจารณาจากภาพถ่ายของผู้สื่อข่าวแล้ว ประชาชนมีเพียงมือเปล่า
ในราวตีสี่เศษ กำลังทหาร 2,000 นายและตำรวจ 1,500 นาย ซึ่งเตรียมพร้อมที่สะพานมัฆวานฯ ก็เคลื่อนกำลังสู่สะพานผ่านฟ้าฯ มีการยิงปืนกราดใส่ฝูงชนบนถนนอย่างไร้เหตุผล มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย
แล้วในท่ามกลางความสงบของผู้ชุมนุมนับแสน เสียงปืนชุดแรกของทหารที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ ก็ดังสนั่นกึกก้องนานราว 15 นาที ลูกกระสุนแหวกอากาศเป็นห่าไฟขึ้นสู่ฟ้าตามวิถีเพื่อขู่ขวัญ ประชาชนที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณผ่านฟ้าฯ ภูเขาทอง ป้อมมหากาฬ หลบหนีกันแตกกระเจิง มีเสียงร้องโอดครวญของผู้ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกยิง และหลายคนเสียชีวิต
สิ้นเสียงปืน ผู้ชุมนุมกลับมาผนึกกำลังกันใหม่ตรงสะพานผ่านฟ้าฯ ปรบมือเสียงดังหนักแน่นเรียกขวัญกำลังใจของผู้ชุมนุมให้กลับมากอีกครั้ง
เกือบรุ่งสาง เสียงปืนชุดที่ 2 ก็ดังกึกก้องไม่แพ้ครั้งแรก ทหารเคลื่อนพลเดินดาหน้าเข้ามาพร้อมรถดับเพลิงฉีดน้ำใส่ฝูงชนจนแตกกลุ่มถอย รุนจากบริเวณสะพาน เสียงปืนจางลง ผู้ชุมนุมพร้อมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีราวกับต้องการขอพึ่งพระบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์ให้ช่วยพสกนิการที่กำลังถูกทำร้าย ทว่าไม่ทันที่เสียงเพลงจะจบดี เสียงปืนก็ดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง หนนี้ไม่มีเสียงตอบโต้จากผู้ชุมนุม
กำลังทหารเข้ายึดสะพานผ่านฟ้าฯ พร้อมกับเอาลวดหนามกั้นไว้ วิถียิงที่มีทั้งขึ้นฟ้าและระดับบุคคลได้สงหารประชาชนและทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายราย ส่วนลำโพงของเวทีใหญ่ถูกยิงแตกกระจุย
ในช่วงเวลาเดียวกัน โทรทัศน์ประกาศว่ากำลังทหาร ตำรวจ ได้เข้ากราดล้างผู้ก่อความไม่สงบแล้ว
แผนไพรีพินาศ - แผนสังหารผู้บริสุทธิ์
แผนไพรีพินาศ/ 33 ขั้นที่ 3 ระบุว่า หากปฏิบัติการในขั้นที่ 2 (ขั้นป้องกัน) ไม่สำเร็จ และสถานการณ์ทวีความรุนแรงจนไม่สามารถควบคุมได้ จำเป็นต้องใช้กำลังเข้าระงับยับยั้งและยุติภัยคุกคาม เพื่อสถาปนาความสงบเรียบร้อยให้กลับคืนมาก(รายงานของกองทัพบกต่อคณะกรรมการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาล)
มีข้อน่าสังเกตว่า ในช่วงเวลา 23.00 น. ขณะเกิดการปะทะกันบริเวณกรมโยธาธิการ นายตำรวจรักษาการณ์ที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งได้ขอกำลังทหารมาช่วยตั้งแต่ เที่ยงคืนก่อนมีการเผาสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง แต่กำลังทหารกลับมาถึงเวลา 04.00 น. หลังจากที่สถานีตำรวจนนครบาลนางเลิ้งถูกเผาไปเรียบร้อยแล้ว
ถ้าพิจารณาตามแผนไพรีพินาศแล้วกล่าวได้ว่าการสลายการชุมนุมเป็นไปตามขั้นตอนที่ วางไว้และเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งอาจตกเป็นเหยื่อของการ เผาสถานีตำรวจ เพราะนายตำรวจประจำสถานีนครบาลได้ขอกำลังจากโรงเรียนนายร้อย จปร. (เก่า) ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนแต่เป็นเพราะเหตุใด กำลังทหารจึงมาถึงล่าช้าทั้ง ๆ ที่ระยะทางห่างกันเพียงไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร !
จับจำลอง - สลายม๊อบ
หกโมงเช้า พล.ต. ฐิติพงษ์ เจนนุวัตร ผู้บัญชาการกองพล 1 กับตัวแทนทหารอีกหนึ่งคนเปิดเจรจากับตัวแทนฝ่ายชุมนุม คือ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ส.ส. พรรคพลังธรรม ที่จุดกึ่งกลางระหว่างทหารกับประชาชน โดยฝ่ายทหารขอให้ไปชุมนุมที่สนามหลวง
เจ็ดโมงเช้า พล.ต จำลองโทรศัพท์ติดต่อกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและขอความช่วยเหลือ
สิบโมงเช้า ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.สุจินดาชี้แจงกับคณะรัฐมนตรีถึงสถานการณ์และเหตุผลที่ประกาศภาวะฉุกเฉินแม่ไม่ได้พูดถึงการใช้กำลังอาวุธเข้าทำร้ายประชาชน
เตรียมสลายการชุมนุม
ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ หลังจากทหารได้ใช้อาวุธปราบปรามผู้ชุมนุมเมื่อตอนเช้ามืด ในตอนสาย บรรยากาศการชุมนุมกลับสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง ผู้ชุมนุมได้มอบดอกไม้ให้แก่ทหารและตำรวจปรามจราจล
12.30 น. กองกำลังรักษาพระนครวางแผนสลายการชุมนุม (จากรายงานของกองทัพบกต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาล)
13.00 น. ทหารตั้งกำลังปิดกั้นบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า ท่าพระจันทร์ สีแยกคอกวัว และวางลวดหนามขวางถนนราชดำเนินตรงบริเวณหน้ากรมประชาสัมพันธ์ ประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมชุมนุมถูกสกัดไว้ไม่ให้เข้า ในขณะที่ผู้ชุมนุมภายในเหลืออยู่เพียง 2 หมื่นคน
14.00 น. พล.อ. สุจินดาออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์กล่าวหา พล.ต. จำลองและบุคคลบางคนว่าเป็นภัยต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นผู้ยุยงปลุกปั่นให้การชุมนุมเกิดความรุนแรงจนทำร้ายเจ้าหน้าที่และทำลาย สถานที่ราชการ จึงต้องใช้กำลังทหารตำรวจเข้าปราบปรามขั้นเด็ดขาดเพื่อยุติความเสียหาย
15.00 น. กองกำลังรักษาพระนครก็สั่งการให้สลายการชุมนุมจากสะพานผ่านฟ้าฯ ถึงกรมประชาสัมพันธ์ โดยให้เหตุผลว่า
"ใน ขณะนั้นมีผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นจำนวนมากกองกำลังรักษาพระนครได้พิจารณาเห็นว่า หากการชุมนุมในจุดังกล่าวดำเนินต่อไปจนถึงเวลาค่ำเหตุรุนแรงก็คงจะเกิดขึ้น อีกเหมือนกับที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาแล้ว (17 พ.ค. 35 ) จึงจำเป็นต้องสลายการชุมนุม"
สังหารโหด ใบไม้ร่วงกลางนาคร
บ่ายสามโมง บนถนนราชดำเนิน
ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพพักผ่อนหลบแดดร้อน เสียงปืนก็ดังสนั่นราวฟ้าถล่มทหารเดินดาหน้าเข้าล้อมกรอบกลุ่มผู้ชุมนุมจาก ทุกทิศ โดยมีรถหุ้มเกราะเคลื่อนตามมาข้างหลัง ผู้คนนับหมื่นแตกกระเจิงวิ่งหนีหลบไปตามซอกเล็กซอกน้อย ส่วนที่เหลือราว 3,000 คนหมอบราบลงกับพื้น ได้ยินเสียงหวีดร้องและเสียงร้องให้สะอึกสะอื้นท่ามกลางเสียงปืนรัวกระหน่ำ
ผู้ที่หลบรอดมาได้เล่าว่า ทหารนอกจากยิงปืนขึ้นฟ้าแล้ว ยังยิงกราดใส่ผู้ชุมนุมด้วย และมีกองกำลังบางส่วนใช้กระบองเข้าทุบตีผู้ชุมนุมที่นอนหมอบกับพื้นอย่างไม่ ยั้งมือ
"อย่าทำร้ายประชาชน จับผมไปคนเดียว" พล.ต. จำลองพยายามเปล่งเสียงพร้อมกับชูมือแสดงตัวขณะที่หมอบราบอยู่กับฝูงชน สารวัตรทหารร่างยักษ์สองนายตรงเข้าจับกุมใส่กุญแจมือแล้วนำตัวขึ้นรถออกไป จากที่ชุมนุม
กำลังทหารเข้ายึดพื้นที่ถนนราชดำเนินตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าฯ ถึงสี่แยกคอกวัวไว้ได้อย่างสิ้นเชิงผู้ชายถูกสั่งให้ถอดเสื้อนอกคว่ำหน้า สองมือไพล่หลังมัดไว้ด้วยเสื้อ ส่วนผู้หญิงนอนคว่ำหน้า หลายคนร่างสั่นสะทกหวาดผวา น้ำตาอาบใบหน้า
รถ ยี เอ็ม ซี 10 คันและรถบัส 3 คน นำผู้ชุมนุมไปกักขังที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน ประมาณว่ามีผู้ถูกจับนับพันคน
15.45 น. ข่าวด่วนพิเศษทางโทรทัศน์ประกาศว่า กองกำลังรักษาพระนครได้สลายกลุ่มก่อการจลาจลเรียบร้อยแล้วโดยไม่เสียเดือด เนื้อ
การเข้าสลาบม๊อบครั้ง นี้ใช้กำลังทหารสามกองพัน ร่วมกับตำรวจตระเวนชายแดนในชุดปราบจราจลอีกหนึ่งกองพัน ประมาณ 2,000 คน พร้อมรถเกราะติดปืนกลสี่คัน ภายหลังการสลายม๊อบกำลังทหารยังหนุนเข้ามาไม่ขาดสาย ประมาณว่ามีกำลังทหารทั้งหมดไม่ต่ำกว่าหนึ่งกองพลกับอีกห้ากองพันหรือประมาณ 6,000-7,000 คน
เสียงปืนรัวเป็นชุด ๆ ยังดังอยู่ตลอดถนนราชดำเนินเพื่อสลายฝูงชนที่ยังเหลืออยู่ตามซอกเล็กซอกน้อย และปรามไม่ให้คนนอกเข้ามาภายในบริเวณ ส่วนตามแนวสกัดของทหารโดยรอบถนนราชดำเนินยังมีฝูงชนจับกลุ่มตะโกนด่าทหารและ ขับไล่ พล.อ. สุจินดา
สี่โมงครึ่ง มีการยิงปืนใหม่กราดไปทางป้อมมหากาฬ ใส่กลุ่มคนที่หลบตามซอกหลืบ มีคนล้มกองกับพื้นในบริเวณนั้นมากมาย
ห้าโมงเศษ กำลังทหารได้กราดยิงติดต่อกันเป็นเวลานานอีกครั้งทั่วทั้งถนนราชดำเนิน ตั้งแต่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปจนถึงสะพานผ่านฟ้า
หลังจาก พล.ต. จำลองถูกจับ ประชาชนยังคงไม่สลายการชุมนุม แต่กลับทวีจำนวนมากขึ้นและถอยร่นไปตั้งหลักอยู่บริเวณกรมประชาสัมพันธ์ โรงแรมรัตนโกสินทร์ และบริเวณใกล้เคียง ทางด้านหน้ากรมประชาสัมพันธ์มีกำลังของกองทัพบกจำนวนหนึ่งกองพันอยู่ในแนว ที่ 1 หน้าแนวรั้วลวดหนาม แนวที่ 2 เป็นกำลังของทหารอากาศจำนวนหนึ่งกองพัน และแนวที่ 3 เป็นกำลังของกองทัพบกอีกสองกองพัน
หกโมงเย็น ประชาชนจากที่ต่าง ๆ ราว 5 หมื่นคนได้กลับมารวมตัวกันที่บริเวณหน้ากรมประชาสัมพันธ์ทอดยาวไปถึงกระทรวง ยุติธรรมหน้าขบวนถือธงชาติโบกสะบัด ทั้งอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถ มายืนประจันหน้ากับแนวรั้วลวดหนามและแถวทหาร
เสียงปืนดังรัวถี่ยิบนานนับสิบนาที ฝูงชนหมอบราบกับพื้น บ้างส่งเสียงโห่ บ้างเคาะขวดพลาสติกกับพื้นดังสนั่น สิ้นเสียงปืนปรากฏว่าชายหนุ่มคนหนึ่งถูกยิงที่คอทรุดฮวบกับพื้น และชายชราคนหนึ่งถูกยิงตรงท้ายทอย กระสุนทะละหน้าผากมันสมองไหลนอง ประชาชนยืนมุงดูด้วยความโกรธแค้น เสียงตะโกนแช่งดา พล.อ. สุจินดา ดังกึกก้องทั่วบริเวณ
ทุ่มครึ่ง รถบรรทุกน้ำรถเสบียงของทหารพยายามฝ่าฝูงชนเข้าไปส่งเสบียง ฝูงชนจึงเข้ายึดและจุดไฟเผา กลุ่มผู้ชุมนุมพยายามต่อต้านการปราบปรามโดยใช้อาวุธและเครื่องกีดขวางที่หา ได้ในบริเวณนั้น เช่น ขวดน้ำพลาสติก กระถางต้นไม้แผงกั้นจราจร ตลอดจนรถประจำทาง รถน้ำมัน มีการยึดรถเมล์ 11 คน วัยรุ่นกล้าตายขึ้นยืนโบกธงเบียดเสียดกันบนหลังคารถ ร้องเพลงปลุกใจสลับกับตะโกนขับไล่ พล.อ. สุจินดา
พรรคฝ่ายค้านที่พรรคออกแถลงการณ์ให้รัฐบาลยุติการใช้กำลังรุนแรงกับประชาชนทันที โดยไม่มีข้อแม้ และพรรคฝ่ายค้านจะยื่นญัตติให้รัฐบาลชี้แจงกรณีใช้ความรุนแรงกับประชาชน ทั้งจะเสนอให้มีการตรวจสอบเหตุการณ์อย่างละเอียดเพราะมีเรื่องน่าสังเกตหลาย ประการ
ส่วนทางรัฐบาลออก ประกาศจับแกนนำเจ็ดคน คือ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล น.พ. เหวง โตจิราการ น.พ. สันต์ หัตถีรัตน์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ น.ส. จิตราวดี วรฉัตร และนายวีระ มุสิกพงศ์
เผา และ เผา
เพื่อนฝูงที่ล้มตายต่อหน้า คนเจ็บที่นอนพะงาบ ๆ อยู่กับพื้น กลิ่นคาวเลือด ควันปืน เสียงร่ำให้หวีดร้อง การต่อสู้ของคนมือเปล่าถูกตอบแทนด้วยอาวุธหนักยิ่งกว่าในสงคราม ความอัดอั้นคับแค้นปะทุออกมาอย่างสุดกลั้น รถยนต์หลายคันในบริเวณนั้นถูกเข็นออกมากลางถนน กระหน่ำตีด้วยไม้กระทืบและพลิกคว่ำให้สาแก่ใจ มีแต่ความรู้สึกต้องการทำลาย จนกว่าจะหมดเรี่ยวแรงหรือความคับแค้นที่มีต่อสิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงที่ ได้รับอุบัติขึ้น
ความพยายามเผากรมประชาสัมพันธ์เกิดขึ้นสองช่วงเวลาคือ ช่วงแรกเวลา 22.00 - 23.00 น. เริ่มจากการทุบกระจกกรมประชาสัมพันธ์โดยใช้ขวดบรรจุน้ำมัน เศษผ้า เศษกระดาษ โยนเข้าไปข้างในตึก ทำให้ไฟลูกไหม้โต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์ ผู้ชุมนุมพยายามช่วยกันดับไฟได้ทัน แต่เพลิงได้ลุกไหม้ขึ้นอีกครั้งในช่วงเวลาตีสามหลังจากการปราบปรามช่วงสี่ ทุ่ม มีผู้นำรถเมล์และรถน้ำมันเข้ามาในบริเวณอาคาร ไฟได้ลุกไหม้ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่มีใครสามารถดับได้ทัน
ทางด้านกองสลากถูกเผาในช่วงเวลาประมาณสี่ทุ่มเศษ และกรมสรรพากรเผาเมื่อเวลา 12.00 น. ของวันที่ 19 พฤษภาคม โดยกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวน 200-300 คนรวมทั้งม๊อบจักรยานยนต์ประมาณ 50 คัน ได้เริ่มเผาตั้งแต่ชั้นล่างจนกระทั่งกลุ่มควันได้กระจายออกมาจนถึงด้านนอก และลุกไหม้จนทั่วอาคารในที่สุด
เพลิงลุกโซนในราตรีอันมืดมิด ถนนราชดำเนินเงียบวังเวง มีเพียงเสียงเปลวไฟปะทุ กับเสียงปืนที่ดังเป็นระยะ ๆ ตลอดคืน
มีข้อน่าสังเกตว่า กรมประชาสัมพันธ์ที่มีเค้าว่าจะถูกเผาตั้งแต่สี่ทุ่มของคืนวันที่ 18 พฤษภาคม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจดับเพลิงกลับได้รับคำสั่งให้เข้าดับไฟเมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 19 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์ที่อยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่า เห็นรถดับเพลิงสามคันแรกมาถึงที่เกิดเหตุเมื่อเวลาประมาณตีสี่สิบนาที (รายงานการให้ข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการวิสามัญ) จึงมีผู้ตั้งคำถามว่า เหตุใดคำสั่งให้ดับเพลิงจึงล่าช้ากว่าเวลาเกิดเหตุนานจนกระทั่งสถานที่ ราชการถูกไฟเผาจนหมด หรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้งเมื่อรัฐต้องการสร้างความชอบธรรมในการ ปราบปรามประชาชนด้วยเหตุผลทำลายทรัพย์สินราชการ !
สามทุ่มครึ่ง ทหารที่ยืนตรึงกำลังชั้นนอกสุดได้รับคำสั่งให้ติดดาบปลายปืน บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทันที
สี่ทุ่มเศษ ขณะที่รถเมล์คันใหม่ที่เพิ่งยึดมาได้กำลังเคลื่อนที่เข้าเทียบติดรั้วลวด หนาม ทหารก็กระหน่ำปืนกลขึ้นชุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ฝูงชนหมอบราบกับพื้น บ้างตะเกียกตะกายคลานหลบจากแนวหน้า กระสุนแหวกอากาศเป็นแสงไฟแลบแปลบปลาบ วัยรุ่นบนหลังคารถถูกยิงร่วงกราว ไม่เว้นแม้แต่คนที่กำลังถือธงหรือชูพระบรมฉายาลักษณะห่ากระสุนส่วนหนึ่งเด็ด ชีวิตประชาชนบนหลังคาอาคารกองสลากฯ โดยไม่ทันรู้ตัว
แล้วเกินกว่าใครจะคาดคิด คนขับรถเคนตายคนหนึ่งก็ตะบึงรถเมล์พุ่งพังรั้วลวดหนามเข้าหาแนวทหาร ห่ากระสุนถล่มเข้าใส่รถเมล์เสียงดังหูดับตับไหม้จนกระทั่งพรุนไปทั้งคันรถ และจอดแน่นิ่งพร้อมกับร่างคนขับหลังพวงมาลัย
ความกล้าหาญและความตายของเขาปลุกจิตใจของคนที่เหลือ รถเมล์อีกหลายคันถูกเข็นให้เคลื่อนเข้าใส่ทหาร ห่ากระสุนชุดใหม่คำรามก้องแต่ไม่อาจหยุดยั้งฝูงชนที่กำลังบ้าคลั่งได้อีกต่อ ไป รถเมล์ยังคงรุกคืบหน้าเข้าไปเรื่อย ๆ แถวทหารทั้งระดมยิงและถอยร่นไปตั้งหลักห่างออกไป ชายคนหนึ่งขึ้นไปยืนโบกธงชาติอย่างไม่เกรงกลัวอยู่บนหลังคารถกระสุนไม่ทราบ จำนวนถีบร่างเขาร่วงสู่พื้นเสียชีวิตไปทันที
เสียงปืนยาวนานต่อเนื่องราวกับเป็นสนามรบที่กำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ทว่าในความเป็นจริงมีแต่ฝ่ายทหารเท่านั้นที่ใช้ปืน ส่วนประชาชนมีเพียงมือเปล่า
สิ้นเสียงปืน ซากรถเมล์กลายเป็นเศษเหล็กกลิ่นคาวเลือกโชยคลุ้ง เสียงหวีดร้องสับสน ถนนราชดำเนินเกลื่อนกลาดด้วยศพและผู้บาดเจ็บนับร้อย ๆ เลือดสีแดงอาบพื้นแผ่นดิน
หนึ่งในหลาย ๆ ร่างที่นอนแน่นิ่งจมกองเลือกจักรพันธ์ อมราช ชายหนุ่มวัย 22 ปี ขึ้นไปโบกธงชาติอยู่บนหลังคารถ ถูกยิงเสกหน้า หัวสมองแตกระเบิดด้วยแรงกระสุน ร่างของเขาร่วงหล่นสู่ผืนดิน ผู้คนร่ำไห้กรีดร้องโหยหวนรอบ ๆ เขา
"ทหารฆ่าประชาชน ทหารฆ่าประชาชน"
ในช่วงเวลาสี่ทุ่มเป็นต้นมา หน่วยพยาบาลซึ่งประจำอยู่ที่ภัตตาคารศรแดง มุนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ได้ย้ายมายังโรงแรมรัตนโกสินทร์เพราะกลุ่มแพทย์ประเมินสถานการณ์ว่า การรวมตัวของประชาชนที่บริเวณหน้ากรมประชาสัมพันธ์มีความเป็นไปได้ที่จะเกิด การปะทะกัน
ร่างผู้บาดเจ็บที่โชกด้วยเลือด และศพวีรชนคนแล้วคนเล่า ถูกหามเข้าสู่ห้องล๊อบบี้ของโรงแรมรัตนโกสินทร์ซึ่งกลุ่มแพทย์อาสาได้จัด สถานที่เป็นหน่วยพยาบาลฉุกเฉิน มีแพทย์ประมาณ 40 คน และรถพยาบาลหกคันคอยรับมือกับจำนวนคนเจ็บที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ อาสาสมัครจับมือล้อมวงกั้นเป็นเขตรักษาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การปฏบัต ิงานของแพทย์และพยาบาล ศพและคนเจ็บถูกหามเข้ามาเรื่อย ๆ หลายคนมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ขา หน้าอก กลิ่นคาวเลือกตลบอบอวล
บางคนอยู่ในอาการหวาดกลัว แพทย์ทุกคนพยายามช่วยอย่างเต็มความสามารถ แพทย์คนหนึ่งบอกให้นำแต่เฉพาะคนเจ็บเข้ามาก่อน แต่ก็เสียงตอบกลับมาว่าข้างนอกมีอยู่อีกมากเหลือเกิน ยังเองเข้ามาไม่ได้
คนเจ็บถูกทยอยส่งโรงพยาบาลโดยรถ พยาบาลเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า เสียงไซเรนร้องโหยหวน ทว่ารถพยาบาลที่วิ่งออกไปส่วนใหญ่ไม่สามารถกลับเข้ามารับผู้บาดเจ็บเพราะ ทหารสกัดไว้ ผู้ชุมนุมจึงนำรถเมล์มาช่วยขนคนเจ็บ ขณะเดียวกันโรงพยาบาลศิริราชก็ได้ประกาศรับบริจาคโลหิตเป็นการด่วน
ราวเที่ยงคืน ข่าวด่วนพิเศษทางโทรทัศน์แถลงปฏิเสธว่า ข่าวทหารยิงประชาชนนั้นไม่เป็นความจริง !
๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕
มอเตอร์ไซค์พิทักษ์ประชาธิปไตย
หลังเที่ยงคืน ฝูงชนที่ถนนราชดำเนินเริ่มบางตา แต่ยังรวมกลุ่มกันอยู่เป็นกระจุก ๆ รอบสนามหลวง ตามอาคารและซอกซอยต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็มีรถจักรยานยนต์จับกลุ่มวิ่งไปตามถนนสายต่าง ๆ กลุ่มละ 60 คันบ้าง 70 คันบ้าง รายงานจากบางแหล่งอ้างว่าบางกลุ่มมีรถจักรยานยนต์ถึง 500 คัน
กลุ่มรถจักรยานยนต์ เข้าทำลายสัญญาณไฟจราจรตามสี่แยก ป้อมยาม ป้อมตำรวจ ถูกทุบเสียหาย บางแห่งก็ถูกเผา โดยเฉพาะสถานีตำรวจจะเป็นจุดที่กลุ่มรถจักรยานยนต์เล็งเป็นเป้าหมายของการ แก้แค้นแทนฝูงชนที่ถูกสังหารบริเวณราชดำเนิน
เส้นทางของกลุ่มรถจักรยานยนต์นั้นมีตลอดทั่วทั้งกรุง เช่น ถนนพระรามสี่ สะพานขาว เยาวราช ราชวงศ์ สถานีหัวลำโพง ท่าพระ ฯลฯ สร้างความวุ่นวายราวเกิดสงครามกลางเมืองด้วยการปฏิบัติการดั้งหน่วยรบ เคลื่อนที่ แต่นอกจากการทำลายข้าวของราชการแล้ว พวกเขายังชักชวนผู้คนตามท้องถนนให้ไปร่วมต่อสู้ที่สนามหลวงด้วย นอกจากนั้นมอเตอร์ไซค์บางคันยังถูกใช้เป็นพาหนะ ช่วยพาผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา เนื่องจากรถพยาบาลถูกทหารปิดกั้นไม่ให้วิ่งผ่าน จากบทบาทเหล่านี้ จึงเกิดศัพท์เรียกกลุ่มนี้ว่า "ขบวนการมอเตอร์ไซค์"
แม้ว่าบทบาทของขบวนการมอเตอร์ไซค์กำลังจะทำให้ผู้ชุมนุมมีโอกาสตอบโต้การกระทำ ของรัฐบาลมากขึ้น แต่ขบวนการมอเตอร์ไซค์ก็ทำให้สถานการณ์อันยากเกินความควบคุมนี้ได้ก่อให้ เกิด "หน่วยไล่ล่า" ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว ออกไล่ล่าสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์จนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
พล.ต.ท. ณรงค์ เหรียญทอง รักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงการออกปฏิบัติการของ "หน่วยไล่ล่า" ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลว่าเป็นเพียงสายตรวจธรรมดาซึ่งมีหน้าที่ดูแล ประชาชนและออกไปปราบปรามผู้กระทำผิดเท่านั้น หน่วยไล่ล่าชุดนี้จะแต่งเครื่องแบบ นั่งรถยนต์ตำรวจ มีอาวุธปืนแต่เน้นให้ยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่เท่านั้น
จากคำให้สัมภาษณ์ของตำรวจและผู้อยู่ในเหตุการณ์พบว่า "หน่วยไล่ล่า" มีมากกว่าหนึ่งชุด โดยอีกชุดหนึ่งเป็นของฝ่ายทหารร่วมกับตำรวจ โดยใช้รถของ 191 ในการปฏิบัติการ และสันนิษฐานว่า "หน่วยไล่ล่า" ที่ออกสังหารประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ห่างไกลจากการชุมนุม คือ ชุดปฏิบัติการร่วมระหว่างทหารและตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ
การปฏิบัติการของ "หน่วยไล่ล้า" เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 22.00 น. ของวันที่ 18 พฤษภาคม ไปจนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม โดยพื้นปฏิบัติการได้กระจายไปทั่วกรุงเทพฯ มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อสังเวย "หน่วยไล่ล้า" ครั้งนี้ตั้งแต่ฝั่งพระนครบริเวณสะพานขาว ไปจนถึงฝั่งธนบุรี ตั้งแต่โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า (โรงพยาบาลทหารเรือ ตลาดพลู บุคคโล ไปจนถึงถนนสาธร
ด้วยความคล่องตัวของรถจักรยานยนต์ ทำให้กำลังตำรวจไม่สามารถจัดการกลุ่มรถจักรยานยนต์พิทักษ์ประชาธิปไตยได้ อย่างเด็ดขาดในคืนนั้น และขบวนการมอเตอร์ไซค์ก็ได้พลิกสถานการณ์ให้เห็นว่า การล้อมฆ่าที่กรมประชาสัมพันธ์ไม่อาจหยุดยั้งการต่อสู้ของประชาชนได้เลย
อรุณรุ่งที่ไร้การบันทึก
เวลา 04.55 น. ของวันที่ 20 พฤษภาคม นายแพทย์คนหนึ่งในโรงแรมรัตนโกสินทร์ถือโทรโข่งแจ้งว่า กำลังทหารจากศูนย์สงครามพิเศษลพบุรีเคลื่อนประชิดเขามาแล้ว และมีข่าวว่าจะปิดล้อมปราบขั้นสุดท้ายเวลาตีห้า แพทย์ได้แจ้งให้ทุกคนทราบและทำการปรับสภาพหน่วยพยาบาลให้อยู่ทำเลที่ปลอดภัย พร้อมกับเตรียมรับสถานการณ์บุกปราบ โดยให้ทุกคนนอนราบคว่ำหน้ากับพื้นประสานมือหลังศรีษะ นอนนิ่ง ๆ ไม่ส่งเสียงและไม่ต่อสู้
ราวตีห้า กำลังทหารกว่า 1,000 นายเดินเรียงหน้ากระดานระดมยิงเข้าใส่ฝูงชนตั้งแต่หน้ากรมประชาสัมพันธ์เข้า มา เพื่อหวังเผด็จศึกสลายการชุมนุมให้ได้ก่อนรุ่งสาง ฝูงชนแตกกระจายไปคนละทิศละทาง บ้างคว่ำจมกองเลือดบ้างคลานตะเกียกตะกายให้พ้นวิถีกระสุน กำลังทหารจากทุก ๆ ด้านโอบล้อมต้อนฝูงชนไม่ให้เล็ดลอดออกไปได้ เสียงหวีดร้องดังระงมไปทั่ว เสียงปืนดังเป็นระยะตามจุดต่าง ๆ
เพียง 30 นาที ฝูงชนถูกต้อนมารวมกันหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ผู้ชายถอดเสื้อมัดมือไพล่หลัง ส่วนผู้หญิงถูกกันไว้อีกทาง
กำลังทหาร 300 ฝูงชนถูกต้อนมารวมกันหน้าโรงแรม ทุกคนที่ห้องล๊อบบี้ถูกบังคับให้นอนก้มหน้า หากใครชักช้าหรือขัดขืนจะถูกกระทืบไม่เว้นแม้แต่แพทย์อาสาซึ่งสวมชุดเขียว แตกต่างจากคนทั่วไป ห้องพักทุกห้องถูกเข้าตรวจค้น ใครที่ไม่สามารถแสดงหลักฐานการเข้าพักจะถูกต้อนลงมารวมกับคนอื่น ๆ หน้าโรงแรม ทหารเหยียบลงบนร่างนับร้อยที่นอนคว่ำหน้าอยู่แน่นขนัดในห้องล๊อบบี้ พร้อมกับส่งเสียงตะโกนว่า "เหยียบมันเข้าไป ไอ้ตัวแสบพวกนี้เผาบ้านเผาเมือง เอาไว้ทำไม"
เกือบหกโมงเช้า ประชาชนราว 2,000 กว่าคนนั่งก้มหน้านิ่งในสภาพเชลยศึกสงครามอัดกันอยู่หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ รถยีเอ็มซี 20 คัน รถบัสทหารสองคัน ขนผู้ต้องหาก่อการจลาจลส่งเรือนจำชั่วคราวที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน
เหตุการณ์ ช่วงการเข้าเผด็จศึกครั้งสุดท้ายไม่มีช่างภาพคนใดได้บันทึกภาพ หรือแม้กระทั่งถ่ายภาพวีดีโอ ไม่มีใครรู้ว่าประชาชนถูกสังหารไปอีกกี่มากน้อย หลายเสียงเล่าว่า ศพถูกขนขึ้นรถยีเอ็มซีไป แต่ไม่มีใครทราบว่ารถจะวิ่งไปสู่ที่ใด
ภาพหลังเหตุการณ์ล้อมปราบ กลุ่มคณาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชนห้าสถาบัน ซึ่งได้ร่วมมือกันเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ผู้บาดเจ็บในโรงพยาบาลและผู้อยู่ ในเหตุการณ์ช่วงวิกฤต ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการปราบปรามประชาชนครั้งนี้มีพฤติการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาตีห้า (ผู้สื่อข่าวถูกถอนออกมาหมดตั้งแต่เวลาตีหนึ่ง) ซึ่งผู้ร่วมเหตุการณ์เห็นตรงกันทั้งหมดว่า น่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด เพราะลักษณะการปราบปรามเป็นการปิดล้อมและระดมยิงเข้ามาทุกด้าน(ยกเว้นทาง สะพานพระปิ่นเกล้าซึ่งทหารเรือเปิดให้ผู้ชุมนุมวิ่งออกไป) มีผู้ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตขณะที่วิ่งหลบเข้าไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ทุกแห่ง
กวาดจับ ปลุกผีคอมมิวนิสต์
ช่วงเช้า กองกำลังรักษาพระนครได้ประกาศทางโทรทัศน์ให้ประชาชนระมัดระวังกลุ่มก่อการ จลาจลซึ่งใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ
เวลา 11.00 น. นายวีระเข้ามอบตัวโดยไม่ขอประกันตัว และถูกนำไปฝากขังที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขนที่เดียวกับ พล.ต. จำลอง และ นส. จิตราวดี ซึ่งเข้ามอบตัวตั้งแต่คืนวันก่อนส่วนนางประทีป ได้หลบอยู่ในสถานฑูตญี่ปุ่น
พล.อ.เกษตร กล่าวว่า จะมีการจับกุมผู้อยู่ในข่ายก่อการจลาจลอีกเจ็ดคน หนึ่งในนั้นคือ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ และมีสมาชิกระดับสูงของพรรคฝ่ายค้านอีกสี่ห้าคน
เที่ยงเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมนายธีรยุทธ บุญมี และผู้ต้องสงสัยอีกจำนวนหนึ่งที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ซึ่งต่อมาก็ได้ปล่อยตัวนายธีรยุทธ
นายธีรยุทธกล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นโศกนาฏกรรมทางสังคมซึ่งอาจกลายเป็นบาดแผลทางสังคมที่ ยากต่อการเยียวยาวรักษา
บ่ายสามโมงเศษ พล.อ. สุจินดา แถลงทางสถานโทรทัศน์ว่า การชุมนุมของประชาชนและก่อวินาศกรรมขึ้นนั้น มีการจัดตั้ง ปลุกปั่นจากกลุ่มคนที่มีความชำนาญในการทำลาย โดยมีนายทหารผู้หนึ่งอยู่เบื้องหลัง นายทหารผู้นี้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบุคคลที่เคยเป็นกรรมการพรรค คอมมิวนิสต์ และเคยคิดจะทำการปฏิวัติแต่ตนไม่เห็นด้วยการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ เพื่อการปฏิวัติโดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ
พล.อ. สุจินดาย้ำว่า ขณะนี้สถานการณ์ได้กลับสู่ความสงบ ไม่มีการชุมนุมใด ๆ และขอให้ประชาชนอย่าได้เชื่อถือข่าวลือต่าง ๆ
บ่ายสามโมง พ.อ. บัญชร ชวาลศิลป์ ผู้ช่วยเลขาธิการกองทัพบก ในฐานะตัวแทนกองกำลังรักษาพระนคร แถลงข่าวที่หอประชุมกองทัพบกชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 18 โดยเฉพาะกรณีกลุ่มรถจักรยานยนต์ ซึ่งในคืนนี้ตำรวจจะเข้าจัดการอย่างเด็ดขาด และขอให้ทุกคนอย่าเชื่อข่าวที่ว่า "ทหารยิงประชาชน"
เสียงคัดค้านและความปั่นป่วนทั่วประเทศ
อธิการบดี มหาวิทยาลัยของรัฐ 19 แห่งทั่วประเทศ ออกแถลงการณ์ขอให้ยุติการใช้ความรุนแรงขอให้ พล.อ. สุจินดาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ประชาชนสถาบันการศึกษา และคณะแพทย์ในจังหวัดต่าง ๆ เช่นที่ มหาสารคาม ศรีสะเกษ ภูเก็ต อุบลราชธานี สงขลา เชียงใหม่ ฯลฯ ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกและยุติการแข่งฆ่าประชาชน
คนไทยในชิดนีย์ประท้วงหน้าสถานกงสุลใหญ่เรียกร้องให้นายกฯ ลาออก
ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแสดงท่าทีห่วงใยต่อสถานการณ์ในประเทศไทยและเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนิน การโดยเคารพในสิทธิมนุษยชนด้วย
พรรคความหวังใหม่เรียกร้องให้มีการปล่อยตัว พล.ต. จำลอง เนื่องจากการจับกุม พล.ต. จำลองขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งให้ความคุ้มครอง ห้ามมิให้จับกุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างสมัยประชุม
พรรคฝ่ายค้านอีกสามพรรคได้ออกเยี่ยมประชาชนที่บาดเจ็บตามโรงพยาบาลรวมทั้งได้ จัดการประชุมและเห็นร่วมกันว่า รัฐบาลจะต้องเปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ยุติการใช้ความรุนแรง และขอให้ประธานรัฐาสภากับประธานสภาผู้แทนราษฎรเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์
ปรากฏว่าสภาพทั่วไปในกรุงเทพฯ ทุกคนอยู่ในความสับสนต่อสถานการณ์และมีความกังวลต่อความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สิน ธนาคาร ห้างสรรพสินค้า ร้านทอง ร้านค้าต่าง ๆ ปิดกิจการก่อนเวลา ในขณะที่สถานีโทรทัศน์ออกข่าวสวนความจริงว่า ธนาคารยังคงเปิดให้บริการตามปกติส่วนพรรครัฐบาลทั้งห้า พรรคไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใด ๆ ต่อเหตุการณ์สังหารประชาชน
ชุมนุมใหญ่ที่รามคำแหง
กลุ่มประชาชนที่หนีตายจากการปราบปรามบริเวณถนนราชดำเนินได้มุ่งหน้ามาสมทบกับ กลุ่มผู้ชุมนุมที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 19 พฤษภาคม และเริ่มมีจำนวนมากขึ้นจนถึงประมาณ 4-5 หมื่นคน มีการตั้งเวทีปราศรัย ผลัดกันขึ้นอภิปรายตลอดเวลา
การชุมนุมครั้งนี้ แกนนำผู้ชุมนุมได้สรุปบทเรียนจากการล้อมปราบที่ถนนราชดำเนิน และวางมาตรการป้องกันการสร้างสถานการณ์จากกลุ่มผู้ไม่หวังดี มีการตรวจอาวุธและห้ามไม่ให้นำรถจักรยานยนต์เข้ามาในมหาวิทยาลัย รวมทั้งวางแนวป้องกันการสลายการชุมนุมด้วยการปิดกั้นเส้นทางเข้ามหาวิทยาลัย ทั้ง 12 แห่งด้วยกระสอบทราย ท่อคอนกรีต และกระถางต้นไม้ มีการประสานงานหน่วยแพทย์และพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ชุมนุมเมื่อมีการล้อม ปราบ
เวลา 23.40 น. ของวันที่ 19 พฤษภาคม ขณะที่การชุมนุมภายในมหาวิทยาลัยรามคำแหงดำเนินไปอย่างสงบ กำลังทหารพร้อมอาวุธจำนวน 400 นายก็มุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยรามคำแหงและมีข่าวว่าจะใช้เฮลิคอปเตอร์ปราบ ปรามผู้ชุมนุม
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕

กระแสพระราชดำรัส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

เวลาหกโมงเช้า สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ได้แพร่ภาพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานสัมภาษณ์ที่ประเทศฝรั่งเศสถึงเหตุการณ์ในประเทศไทยว่า การฆ่าฟันหรือทำรุนแรงเป็นเรื่องไม่ดี การเสียทรัพย์สินไม่สำคัญเท่ากับชีวิตคน อยากให้เลิกฆ่าฟัน เลิกรุนแรง เพราะว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน

ราชดำเนินยังไม่สงบ

ที่ถนนราชดำเนิน กำลังทหารได้ถอนออกไปบ้างแล้วและได้เปิดถนนให้รถสัญจรไปมาได้ มีประชาชนมาจับกลุ่มดูซากรถ อาคารทั้งสองฝั่งถนนบางคนได้นำพวงมาลัยดอกมะลิมาวางตามกองเลือดที่ยังเหลือ ร่องรอยอยู่
เวลาบ่ายโมง มีประชาชนมารวมตัวกันอีกที่ถนนราชดำเนินถึง 2,000 คน มีการเปิดอภิปรายต่อมาคนกลุ่มหนึ่งจุดไฟเผารถขนขยะของ กทม. ที่จอดอยู่รอบอนุสาวรีย์สามคัน ทำให้กำลังทหารประมาณ 400 คนต้องเดินดาหน้าเคลื่อนตัวจากถนนราชดำเนินนอกเข้าเคลียร์พื้นที่อีกครั้ง เสียง ปืนกลดังรัวสนั่น ฝูงชนวิ่งหนีหลบตามซอกซอยต่าง ๆ
ในที่สุด กำลังทหารก็เข้าเคลียร์พื้นที่ได้อย่างเรียบร้อย
ส่วนตามจังหวัดต่าง ๆ ประชาชนยังคงชุมนุมต่อต้าน พล.อ.สุจินดาอยู่อย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลแถลงข่าว

เวลาบ่ายโมง พล.อ.สุจินดา พร้อมด้วยแกนนำห้าพรรค เดินทางมาร่วมกันแถลงข่าวที่ตึกนารีสโมสร มีนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศรอทำข่าวอยู่อย่างคับคั่ง แต่ปรากฏว่าเกิดความสับสนเนื่องจาก พล.อ. สุจินดาต้องการเพียงการถ่ายทอดโทรทัศน์ จึงลุกเดินออกจากห้องแถลงข่าวไปทันที
ผู้สื่อข่าวได้หันไปซักถามแกนนำห้าพรรคแทนโดยได้ถามนายณรงค์ว่า รู้สึกอย่างที่เห็นภาพทหารยิงประชาชน นายณรงค์ตอบว่ายังไม่เห็นทหารยิงใคร
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามนายสมัครว่าเห็นด้วยกับการฆ่าประชาชนหรือไม่ นายสมัครตอบว่าทำไมเวลาจอร์ช บุช ส่งทหารไปแอลเอ 6,500 นาย ไม่เห็นมีใครด่าบุชเลย
ต่อมา พล.อ. สุจินดาได้ออกแถลงข่าวทางโทรทัศน์เสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิด และยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิตเพียง 40 คน บาดเจ็บ 600 คนเท่านั้น
เคอร์ฟิว

เวลาทุ่มครึ่ง ได้มีประกาศห้ามบุคคลในท้องที่ กมม. ออกจากเคหสถานระหว่างเวลา 21.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น แต่ขณะเดียวกันที่รามคำแหง ประชาชนยังคงทยอยมาร่วมชุมนุมกันเกือบแสนคน
โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจได้นำเทปบันทึกภาพสัมภาษณ์ พล.ต. จำลองขณะถูกควบคุมตัวออกเผยแพร่ พล.ต. จำลองกล่าวว่า ตนรู้สึกสบายที่สุด และกำลังบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ลงในหนังสือชื่อ "ร่วมกันสู้" ซึ่งจะออกขายเร็ว ๆ นี้
ตลอดทั้งคืนมีกระแสข่าวลือต่าง ๆ มากมาย เช่น การแตกแยกระหว่างทหารเรือกับทหารบก พล.อ. เปรมนำกองกำลังโคราชยกมาช่วยผู้ชุมนุม พล.อ. สุจินดาจะทำการปฏิวัติตัวเอง ฯลฯ
พระบารมียุติปัญหา

เวลาห้าทุ่มครึ่ง โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจและสถานีวิทยุกระจายเสียงทุกแห่งได้ถ่ายทอดข่าวสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.สุจินดา และพล.ต.จำลอง เข้าเผ้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนสติและสั่งสอนบุคคลทั้งสอง ทรงชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่จะมีต่อประเทศชาติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ขอให้บุคคลทั้งสองเป็นตัวแทนฝ่ายต่าง ๆ หันหน้าเข้าหากัน ช่วยกันแก้ปัญหาทำอย่างไรให้ประเทศชาติกลับคืนขึ้นมา
ภายหลังจากกราบบังคมทูลลาแล้ว พล.อ. สุจินดา และ พล.ต. จำลอง พร้อมด้วยนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้ร่วมประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
พล.อ.สุ จินดา กับ พล.ต. จำลอง ได้ออกแถลงร่วมกันทางโทรทัศน์ โดย พล.อ. สุจินดา แถลงว่าจะปล่อยตัว พล.ต. จำลอง และออกกฎหมาย นิรโทษกรรมให้แก่ผู้ชุมนุม และจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร็ว ส่วน พล.ต. จำลองแถลงว่า ขอให้ผู้ที่ก่อความวุ่นวายยุติการกระทำ
ผู้ชุมนุมที่รามคำแหงหลังจากได้ชมข่าวสำคัญ และการแถลงข่าวของบุคคลทั้งสอง ส่วนใหญ่รู้สึกผิดหวังที่ พล.อ. สุจินดายังไม่ลาออก แต่ที่ชุมนุมก็ได้ตัดสินใจสลายการชุมนุม แต่ยังคงอยู่รวมกันในมหาวิทยาลัยรามคำแหงจนกว่าจะถึงเวลาตีสี่ ซึ่งพ้นเวลาเคอร์ฟิวแล้ว จึงค่อยทยอยกันกลับบ้าน
มีความเป็นไปได้สูงมากกว่า ถ้าเหตุการณ์การชุมนุมที่รามคำแหงยังไม่ยุติการนองเลือดคงเกิดขึ้นอีกครั้ง แน่นอน เห็นได้จากรายงานที่กองทัพบกเสนอต่อคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ รัฐบาล (ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาวิปโยค) กล่าวว่า
"การที่เจ้าหน้าที่ใช้ความนุ่มนวลต่อผู้ชุมนุม เช่น การเจรจาทำความเข้าใจการใช้น้ำฉีด การใช้แนวตำรวจแนวทหารประกอบอาวุธโดยมิได้บรรจุกระสุนปืนตามมาตรการขั้นเบา ไม่น่าจะได้ผลเพราะกลุ่มผู้ก่อการจราจลไม่ยำเกรง ..หากการดำเนินการของกลุ่มผู้ก่อการจลาจลที่รวมอยู่กับประชาชนยังคงอยู่ จะต้องเกิดความไม่ปลอดภัยทั้งแก่เจ้าหน้าที่และประชาชน ผู้ก่อการจลาจลเหล่านี้สมควรจะต้องถูกสลายและควบคุมตัวถ้าจำเป็น เพื่อหยุดก่อความวุ่นวายที่เกิดขึ้น"
ที่มา : รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย /สารคดี
โดย ลมหายใจเดียว
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=53210
------------------------------------------------------


Freedom !!!

posted on 07 Oct 2006 23:51 by teno in Malcontent


เผยผู้จุดชนวนพฤษภาทมิฬ ‘สุรยุทธ์’ รับนำพลบุกรอยัล

22 มิถุนายน 2543 กองบรรณาธิการ ไทยโพสต์


เปิดผลสอบ พ.ค.ทมิฬฉบับไม่เปื้อนหมึก นายทหาร ฝ่ายข่าวระบุผู้ใกล้ชิดศูนย์อำนาจให้ข่าวผิดข้อเท็จจริง จนนำไปสู่การตัดสินใจ ผิดพลาด เด็กสุ-เต้-ตุ๋ยเชื่อฝังหัวม็อบก่อการร้ายจะบุกไปล้อมวัง “สุรยุทธ์” ยอมรับนำพลบุกโรงแรมรอยัล


อ้างทหารเข้าใจผิด-กดดันเลยกระทืบคน ฝ่าย “ตู่ เมตตา” แฉเด็กจิ๋ว “อดุลย์ บุญเสรฐ” ให้เรียก จยย.รับจ้างไปชุมนุม

กระทรวงกลาโหมได้เปิดเผยผลการสอบสวนเหตุการณ์ เดือน พฤษภาคม 2535 แล้วเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.นี้ โดยเป็นการเปิดเผยข้อความทั้งหมด ไม่มีปกปิดขีดทับ เพียงปิดเฉพาะชื่อแผนยุทธการทางทหาร ชื่อหน่วย และรหัสทางทหาร

พล.อ.สนั่น ขจรกล่ำ โฆษกกระทรวงกลาโหม ซึ่งเชิญตัวแทน คณะกรรมการญาติวีรชนฯ และสื่อมวลชน ไปรับสำนวนการสอบสวน 605 หน้า รายงานการประชุม 121 หน้า และสรุปผลการสอบสวน 8 หน้า เมื่อบ่ายวันพุธ กล่าวว่า คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารกระทรวงกลาโหม ซึ่งมี พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ เป็นประธาน ได้ทำหนังสือถึงบุคคลที่มี ชื่อปรากฏในสำนวนการสอบสวน 42 ราย ว่าจะยอมให้เปิดเผยชื่อหรือไม่ ปรากฏว่า มีผู้ตอบมาเป็นลายลักษณ์อักษร 19 คน ที่เหลือมีการแจ้งทางโทรศัพท์บ้าง โดยถ้าไม่มีหนังสือคัดค้าน คณะกรรมการก็ถือว่ายินยอมให้เปิดเผยชื่อ ซึ่งปรากฏว่า มีเพียงพลเรือน 2 คนที่ไม่มีหนังสือตอบมา คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ พ.ต.ท.อดุลย์ บุญเสรฐ จึงถือว่ายินยอมและให้เปิดเผยชื่อไปเลย

โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้ความ เห็นชอบตามมติของคณะกรรมการเมื่อเย็นวันที่ 20 มิ.ย. ดังนั้น จึงนำมาเปิด เผยในช่วงบ่ายวันนี้ โดยใช้เวลาช่วงเช้าถ่ายเอกสารให้ ทั้งนี้ ยังมีการปกปิด เพียงแผนยุทธการและชื่อหน่วยทหารบางหน่วย โดยเปิดเผยเฉพาะหน่วย ใหญ่ๆ เช่น กองทัพภาคที่ 1 พล.1 รอ. แต่ต้องปกปิดหน่วยเล็กๆ เพราะไม่อยากให้มีผลกระทบ

นาย อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนฯ กล่าวว่า การเปิดเผยครั้งนี้ต้องยอมรับว่าดีกว่าครั้งที่ผ่านมา คณะทำงาน ติดตามการเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนฯ จะอ่านข้อมูลทั้งหมดในค่ำวัน เดียวกันนี้ เพื่อสรุปรายละเอียด และจะแถลงข่าวอีกครั้งในวันที่ 22 มิ.ย. อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า รายงานผลการสอบสวนภาคผนวก 114 หน้า ที่กระทรวงกลาโหมบอกว่าเป็นรายงานการประชุมนั้น เมื่อดูแล้วเป็นสรุปแผนปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งยังมีการปกปิดรายชื่อบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกระทรวงกลาโหมบอกว่า รายชื่อบุคคลและหน่วยงานที่ปกปิดนั้นเกี่ยวข้องกับการสั่งการลั่นกระสุนใส่ ประชาชน หากเปิดเผยก็อาจจะมีผลกระทบกับบุคคลนั้นๆ คณะกรรมการญาติวีรชนฯ จะเรียกร้องกับนายกรัฐมนตรีต่อไป ให้เปิดเผยผลการสอบสวนชุดของรัฐบาล ที่มีนายโสภณ รัตนากร เป็นประธาน รวมทั้งชุดของ พล.อ.บรรจบ บุนนาค ที่เรียกว่า สมุดปกขาว เพื่อเป็นช่องทางเบาะแสติดตามหาผู้เสียชีวิตและสูญหายจากเหตุการณ์

ผู้ สื่อข่าวรายงานถึงผลการสอบสวนที่นำมาเปิดเผยว่า ในส่วนของสรุปรายงานผลการสอบสวน 8 หน้า ที่ก่อนหน้านี้มีการปกปิดไว้ 4 บรรทัด ปรากฏว่า เป็นเนื้อหาที่พาดพิงถึงพรรคพลังธรรม โดยเป็นข้อความ อยู่ในวงเล็บว่า “จากหลักฐานของตำรวจ ผู้ที่เริ่มเผาสถานีตำรวจนครบาล นางเลิ้งเป็นนักศึกษารามคำแหงและธรรมศาสตร์ ซึ่งถูกจับได้ และอยู่ ระหว่างดำเนินคดีฟ้องศาลในข้อหาลักทรัพย์หรือโจรกรรมทรัพย์สินของทางราชการ มีอาวุธปืน วิทยุ และเครื่องแต่งกาย และมีสมาชิกพรรคพลังธรรม มาขอประกันตัว แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมให้ประกันตัว พออนุมานได้ว่า พรรคพลังธรรมมีส่วนในการจัดตั้งกลุ่มมือที่ 3 เพื่อจุดชนวนขึ้น”

สำหรับ ข้อความที่พาดพิงถึง พ.ต.ท.อดุลย์ บุญเสรฐ ปรากฏใน คำให้การของ พ.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผบ.พัน ร.2 ราบ 11 รอ. ชี้แจงข่าวที่ว่า จ.ส.อ.เมตตา เต็มชำนาญ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการชุมนุมด้วย โดยบอกว่า เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2535 จ.ส.อ.เมตตาได้มาพบแจ้งว่า พ.ต.ท.อุดลย์ บุญเสรฐ ส.ส.พิจิตร พรรคความหวังใหม่ ซึ่งเป็นกรรมาธิการสอบสวนของสภาผู้แทนราษฎร พูดในที่ประชุมว่า พบ จ.ส.อ.เมตตาในที่ชุมนุม จ.ส.อ.เมตตาจึงทำ บันทึกเล่าให้ฟังว่า พ.ต.ท.อดุลย์เป็นผู้บอกให้ จ.ส.อ.เมตตาชักชวนกลุ่ม จักรยานยนต์มาชุมนุม

ต่อมา คณะกรรมการได้เรียก จ.ส.อ.เมตตามาสอบสวน ซึ่ง จ.ส.อ.เมตตาให้การว่า พ.ต.ท.อดุลย์ได้มาชักชวนให้นำจักรยานยนต์ไปชุมนุม ประท้วง ซึ่งก็ได้บอกคนสนิทให้ไปชักชวนจักรยานยนต์รับจ้างมาชุมนุมวันที่ 17 พ.ค. โดยเมื่อพบกันตอน 20.00 น. พ.ต.ท.อดุลย์บอกว่า ให้ช่วยกัน ถ้างานนี้สำเร็จจะได้เป็น รมช.มหาดไทย คุมงานตำรวจทั้งหมด และยังบอกว่า อีกสักครู่ช่วยกันต้อนคนไปล้อมวัง ตนเองก็พยักหน้า แต่เห็นว่าการล้อม วังไม่ถูกต้อง

สำหรับคำให้การของฝ่ายทหาร ที่น่าสนใจคือ คำให้การของ บรรดานายทหารที่ใกล้ชิดกับศูนย์อำนาจในขณะนั้น เช่น พล.ท.ชัยณรงค์ หนุนภักดี แม่ทัพภาคที่ 1 เชื่อว่าผู้ชุมนุมมี 3 ประเภท คือ ผู้เรียกร้องประชาธิปไตย พวกที่อยากรู้และออกมาดู กับพวกที่ได้รับการฝึกมาก่อการจลาจล ซึ่งมีน้อย ไม่ถึง 500 คน แต่หลังจากมีการชุมนุมหลายวัน ก็มีฝูงชนที่บ้าคลั่งเกิดขึ้นด้วย ด้านการข่าว ยอมรับว่าทหารตามไม่ทัน เช่น มีการเตรียมแฟกซ์ไว้ 300 เครื่อง มีการส่งคนไปให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศ มีการปล่อยข่าวต่างๆ นานา ขณะที่ฝ่ายทหารซื่อเกินไป

พล.ต.ฐิติพงษ์ เจนนุวัตร ผบ.พล.1 รอ. ระบุว่า การชุมนุม เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งนี้เป็น “การเรียกร้องซึ่งแฝงไปด้วยการก่อการร้ายที่ ต้องการให้เกิดขึ้นได้” โดยส่วนหนึ่งเป็นมวลชนจัดตั้งจากต่างจังหวัด มีบางส่วนน่าสงสัย เช่น ผกค.กลับใจ ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยภาคใต้ และทหารพรานบางส่วน ในคืนวันที่ 18 มีการยึดรถโดยสาร ยึดรถน้ำมัน แล้วจุดไฟเผาพุ่งชนแนวทหาร ซึ่งสุดวิสัยที่จะป้องกันโดยความสงบ จึงสั่งให้หยุดรถยนต์ที่พุ่งเข้ามา โดยให้ยิงยาง แต่กระสุนก็อาจจะแฉลบได้

“ผมอยากจะให้ท่านคณะกรรมการ ได้เห็นว่า ที่เรายิงไปนั้นยิงอยู่ 2 ครั้งเท่านั้นเอง คือยิงไปที่รถยนต์ 2 คัน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นดัง เป็นที่ปรากฏแล้ว มีการล้มตายประมาณสักไม่เกิน 40 คน และบาดเจ็บก็คง จะประมาณ 400-500 คน”

พล.ต.ทวี ศักดิ์ หนุนภักดี ผบ.ขกท. ซึ่งนับเป็นผู้ใกล้ชิดศูนย์ อำนาจคนสำคัญ ให้การว่า ฝ่ายข่าวได้ข้อมูลว่า มีการเตรียมเทียนไข เพื่อจะไปล้อมวังแล้วจุดเทียนถวายฎีกา ซึ่งมีบทเรียนมาแล้วว่า ถ้ามีคนเป็น แสนจะเกิดความเสียหายที่ควบคุมไม่ได้ จึงต้องยับยั้งไว้ที่สะพานมัฆวานฯ ทั้งนี้ ได้ประมาณการว่า ถ้าจับตัวหัวหน้าคือ พล.ต.จำลอง แล้วคงจะเรียบร้อย แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น

พล.ต.สมประสงค์ ม่วงกล่ำ เสธ.ทภ.1 กล่าวว่า ฝ่ายข่าว หลายหน่วยงานรายงานตรงกันว่า ผู้ชุมนุมจะไปล้อมวัง อาจจะไปทูลเกล้าฯ หรือจุดเทียน ไม่ทำอะไร คงล้อมรอบอยู่ แต่ในฐานะที่เป็นทหาร จำเป็นที่ จะต้องให้ไม่เป็นที่รบกวนเบื้องพระยุคลบาท ถ้าไม่ยับยั้งไว้ มีการเผาทั่วไปหมด แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เชื่อว่า ม็อบจะต้องไปถึงที่สุด เพราะข่าวยืนยันตลอด

อย่างไรก็ดี พ.อ.ประสงค์ บุญถนอม ฝ่ายข่าว ศปก.ทบ. ได้ให้การอีกด้านหนึ่งต่อคณะกรรมการว่า การข่าวของกองกำลังรักษาพระ นครทั้งหมดมี พล.ต.ทวีศักดิ์เป็นผู้ประมวล เคยเสนอแล้วมีความรู้สึกไม่ตรงกัน ทั้งจำนวนผู้ชุมนุมและรายละเอียด เช่น การชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ ตนเองเห็นว่ามีคนราว 2.5-3 หมื่น ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งเป็นผู้มีการจัดตั้ง ก็เป็นธรรมดา แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากผู้มีภูมิปัญญาในระดับกลาง ซึ่งไม่เคย เห็นการชุมนุมครั้งไหนเป็นการเริ่มต้นแบบนี้ และมีรถเก๋งจอดจำนวนมาก

“ผม ก็เข้าไปทานข้าวกับ มทภ.1 แล้วก็ พล.ต.ทวีศักดิ์ก็นั่งอยู่ด้วย ก็ฟังเขาคุยกันถึงเรื่องข่าว ทางแม่ทัพก็ถามผมว่า ประมาณเท่าไร จึงบอกว่า ประมาณ 2 หมื่นห้าถึง 3 หมื่นคน ทาง พล.ต.ทวีศักดิ์ก็แย้งมาว่า มาเจ็ดแปดพันคนเท่านั้น ผมก็บอกไปตามที่ได้เห็นมาดังกล่าวแล้ว เมื่อเขาแย้งผมในฐานะ หน.ข่าว กกล. ผมก็หยุด เพราะเดี๋ยวจะเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้น” พ.อ.ประสงค์ระบุ

นอกจากการข่าว ที่สับสนแล้ว คำให้การของนายทหารหลายคน ยังแสดงให้เห็นทัศนคติด้านลบต่อสื่อมวลชนว่า มีการบิดเบือนให้ร้ายทหาร เช่น พ.อ.บัญชร ชวาลศิลป์ ระบุว่า หนังสือพิมพ์ต้องการทำลายสถาบันทหาร เพื่อให้กลุ่มธุรกิจเติบโต ขณะที่ พล.ต.ฐิติพงษ์ก็บอกว่า ซีเอ็นเอ็น สัมภาษณ์แล้วนำไปออกข่าวไม่ตรง พล.ต.จตุฤทธิ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร เลขานุการกองทัพบก กล่าวว่า ข่าวซีเอ็นเอ็นมีการตัดต่อภาพ โดยผู้ชุมนุมคงจะส่งคนไปประกบซีเอ็นเอ็นแล้วช่วยตัดต่อ

สำหรับการยิง ใส่ประชาชนนั้น พ.อ.นพดล อินทปัญญา เสธ.พล.1 รอ. รับว่า ในเช้ามืดวันที่ 17 พ.ค. พบ.ร.1 รอ.ได้นำหน่วยทหาร เข้าคลี่คลายสถานการณ์ที่ถนนราชดำเนินนอก หลังจากมีการเผา สน.นางเลิ้ง และมีกลุ่มคนโพกผ้าดำ กลุ่มจักรยานยนต์และขี้เมา ก่อเหตุชุลมุนราว 200-300 คน ทหารเดินเป็น 2 แถวหน้ากระดาน แถวหน้ายิงๆ ไปก็วิ่งไปที เข้าใจว่า โดนคน เห็นคนเจ็บหรือตายประมาณ 4 คน

พ.อ.ภิรมย์ ตังครัตน์ ผบ.ร.1 รอ. รับว่า ได้นำกำลังเข้าเคลียร์ ถนนราชดำเนินนอก โดยให้ทหารยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อให้หนีไป แต่มีฝูงชนขว้าง ระเบิดเพลิงใส่ ทหารตกใจหมอบลงปืนก็ลั่นขึ้น เมื่อหยุดยิงและเดินมาอีก 20-30 เมตร ก็พบคนเจ็บ 4-5 คน จึงเรียกรถมานำส่งโรงพยาบาล โดยยอมรับว่าปวดใจที่มีคนเจ็บ

พล.ต.ท. ชาติชาย ฉายอรุณ ผบ.ตชด. ให้การว่า เช้าวันที่ 19 พ.ค. มีชุดปราบจลาจลทหารอากาศจับคนเจ็บมา 5 คน ในลักษณะที่รวมกับศพ แล้วเอามาส่ง ตชด. บอกให้ไปส่งตำรวจท้องที่ ว่าเป็นผู้วางเพลิงเผากรม ประชาสัมพันธ์ สอบถามว่าโดนอะไรมาจึงเลือดท่วมตัว ก็บอกว่าโดนทหารซ้อม เตะ กระทืบ ตีด้วยพานท้ายปืน ระหว่างที่อยู่ต่อหน้าตำรวจ ก็มีทหาร เดินเข้ามากระทืบบ้าง เตะบ้าง ในที่สุดตำรวจจึงเอาไปส่งโรงพยาบาล

อย่าง ไรก็ดี น.ท.ฉลาด ถนอมเล็ก ผบ.พัน อย.1 ทำหน้าที่ ผบ.พันเฉพาะกิจปราบจลาจล ปฏิเสธว่า เป็นความเข้าใจผิด มีเจ้าหน้าที่ นอกเครื่องแบบจับผู้ชุมนุมมามอบให้ ตชด.

พล.ท.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.นศส. ผู้บัญชาการทหารบกใน ปัจจุบัน ให้การรับว่า เป็นผู้คุมกำลังทหารเข้าไปตรวจค้นในโรงแรมรอยัลที่ ปรากฏภาพเตะต่อยประชาชน โดยอ้างว่า มีคนร้องให้แย่งอาวุธ กำลังพลมี 16 คน กับคนเป็นร้อยเป็นพัน ก็ต้องระวังตัวเป็นธรรมดา คนที่เห็นว่าถูกเตะ หลายครั้งเพราะไม่ยอมหมอบและร้องด่า ยอมรับว่า ภาพออกมาในลักษณะ รุนแรง แต่การฝึกการทำงานของหน่วยเป็นอย่างนี้ ซึ่งคงถ่ายทอดมาตั้งแต่ สมัยที่ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ (ประธานคณะกรรมการ) เป็นผู้ฝึกมาแล้ว ทหารคงรู้สึกกดดัน เพราะมีคนในโรงแรมหลายร้อยคน และเวลามีน้อย ต้องรีบตรวจค้น ข่าวที่ได้รับกับความเป็นจริงแตกต่างกัน เมื่อเข้าไปจึงทราบว่า ผู้อยู่ในโรงแรมส่วนใหญ่เป็นแพทย์พยาบาลและผู้สื่อข่าว

พล.อ.สุ รยุทธ์ยังบอกว่า นศส.ที่เข้ามาหนึ่งกองร้อย ใช้กระสุนไป 2,600 นัด ส่วนใหญ่ยิงขึ้นฟ้า ไม่มีคนเจ็บคนตาย ที่มีข่าวว่า หน่วย ฉก.90 ยิงมวลชนที่หัวนั้น เป็นการดิสเครดิต เพราะหน่วย ฉก.90 ไม่ได้เข้ามาร่วม

http://teno.exteen.com/20061007/freedom

------------------------------------------------------


FfF