บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


22 มีนาคม 2553

<<< สองมาตรฐาน หรือ ไร้มาตรฐาน >>>

สองมาตรฐานหรือไร้มาตรฐาน โดย สุรศักดิ์ อมรรัตนศักดิ์

คัดจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ประจำวันอังคารที่ 12 มกราคม 2553

คำว่า สองมาตรฐาน หรือ Double Standard ได้ถูกนำมาใช้ในราวต้นปี 2493

คำว่าสองมาตรฐานเริ่มเป็นที่ติดปากของคนไทยในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็น ฝ่ายค้านและออกมาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่ามีสองมาตรฐาน แต่คำนี้กลับมาชัดเจนมากยิ่งขึ้นในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

สองมาตรฐาน เป็นการเปรียบเทียบการใช้แนวทางหรือมาตรฐานในการจัดการกับกลุ่มเป้าหมาย สองกลุ่ม ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน และมักจะถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับการแก้ปัญหาที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่า ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม

ประเทศไทยทุกวันนี้ คนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนหลายล้านคน รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม รัฐบาลมีสองมาตรฐาน

หากคนส่วนใหญ่ในประเทศรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมหรือรัฐบาลมีสอง มาตรฐานแล้ว ก็ยากที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติ

ดังนั้น จึงไม่มีประโยชน์เลยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเรียกหาความสามัคคี โดยไม่มีการกระทำใด ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศรู้สึกว่าได้รับความยุติธรรม และรัฐบาลมีมาตรฐานเดียว

ทั้งนี้ เพราะตราบใดก็ตามที่ความเป็นธรรมไม่มี ความสามัคคีก็ไม่เกิด

แนวทางที่จะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ ก็ต้องเริ่มต้นที่ตัวนายอภิสิทธิ์ โดยนายอภิสิทธิ์จะต้องทำให้ทุกคนในประเทศนี้เห็นว่าประเทศไทยยังมีความ ยุติธรรมหลงเหลืออยู่และรัฐบาลมีมาตรฐานเดียว

ที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ไม่เคยแสดงสิ่งดังกล่าวให้ปรากฎเลยว่า รัฐบาลใช้มาตรฐานเดียวกันกับคนทุกกลุ่ม

นายอภิสิทธิ์มีแต่ตอกย้ำให้คำว่าสองมาตรฐานเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

หากไม่เชื่อลองมาพิจารณาทบทวนพฤติกรรมที่ผ่านมาในรอบ 1 ปีของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ซึ่งจะขอยกเฉพาะประเด็นที่เด่นชัดดังนี้

1. การติดตามตัวผู้หลบหนีคดีอาญา

กระทรวงการต่างประเทศในยุคที่มีรัฐมนตรีว่าการชื่อ นายกษิต ภิรมย์ ได้ดำเนินการทุกวิถีทางในการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงกับประกาศว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นภัยคุกคามต่อประเทศที่จำเป็นต้องขจัดให้สิ้นซาก

ในขณะที่ผู้หลบหนีคดีอาญาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกำนันคนดังแห่งภาคตะวันออกหรือเจ้าพ่อปากน้ำ กลับไม่ดำเนินการใดๆ ไม่มีการติดตามตัวกลับมารับโทษแต่อย่างใด ไม่ทราบว่าตอนนี้ทั้งสองท่านยังสบายดีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน หรืออาจแอบเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทยแล้วก็ได้

2. กรณีที่ดินเขายายเที่ยง

เขายายเที่ยงเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ชาวบ้านที่อาศัยทำมาหากินอยู่เชิงเขาถูกดำเนินคดีฐานบุกรุกป่าสงวน และศาลได้พิพากษาจำคุกชาวบ้านเหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว

แต่ในกรณีคนที่มีคฤหาสน์อยู่บนยอดเขายายเที่ยง รัฐบาลกลับไม่ดำเนินการอะไร ปล่อยให้มีอภิสิทธิ์ชนอาศัยอยู่บนยอดเขาได้โดยไม่มีการดำเนินคดีใดๆ

แล้วอย่างนี้จะให้คนรากหญ้ารู้สึกอย่างไร

3.การดำเนินคดีกับกลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง

กรณีกลุ่มเสื้อแดงบุกโรงแรมรอยัลคลิฟ บีซ รีสอร์ท เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมารัฐบาลใช้เวลาเพียง 3 วันในการออกหมายจับกลุ่มเสื้อแดง

แต่กรณีกลุ่มเสื้อเหลืองบุกยึดทำเนียบรัฐบาล สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ สร้างความเสียหายหลายแสนล้านบาท กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งๆ ที่เวลาล่วงเลยมากว่าปีแล้ว

หลักฐานต่างๆ ก็แสนจะชัดเจน ไม่เชื่อลองไปขอดูหลักฐานจากทางสถานีโทรทัศน์ได้ทุกช่อง หรือหนังสือพิมพ์ได้ทุกฉบับ หลักฐานชัดเจนออกอย่างนี้ รัฐบาลกลับไม่ยอมดำเนินการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกหมายจับหรือถอนประกัน

4. การออก พ.ร.บ.ความมั่นคง

พ.ร.บ.ความมั่นคงมีไว้เพื่อใช้ปรามไม่ให้กลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม แค่เพียงมีข่าวว่ากลุ่มเสื้อแดงจะออกมาชุมนุม รัฐก็รีบตาลีตาเหลือก ออก พ.ร.บ.ความมั่นคง

แต่พอกลุ่มเสื้อเหลืองออกมาชุมนุมบ้าง รัฐกลับนิ่งเฉย ไม่ยอมออก พ.ร.บ.ความมั่นคง จนเป็นเหตุให้กลุ่มเสื้อเหลืองต้องตกเป็นเหยื่อระเบิดในการชุมนุมครั้งล่า สุด

5. กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท

บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด ได้บริจาคเงิน 258 ล้านบาท ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2548 โดยผ่านบริษัท แมสไซอะ บิสซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด และกรณีพรรคประชาธิปัตย์นำเงินสนับสนุนที่ได้รับจาก กกต.จำนวน 23 ล้านบาทไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

ทั้ง 2 กรณีดังกล่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษได้สรุปแล้วเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีส่วนเกี่ยวข้อง ชัดเจนโดยมีหลักฐานไม่ว่าจะเป็นสำเนาเช็คสั่งจ่ายจากธนาคาร หรือข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์

แต่ กกต.ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์กลับยื้อเวลาโดยมีการเลื่อนลงมติหลายครั้ง นับถึง วันนี้ก็ใกล้ครบปีเข้าไปเต็มที่แล้ว ยังไม่มีมติจาก กกต.เลยว่าจะส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุดเพื่อให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่

กกต.หลายคนอาศัยเล่ห์เหลี่ยมตีกรรเชียงหนี โดยโยนเรื่องไปให้นายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งแนวโน้มจากการให้สัมภาษณ์ของนายอภิชาติ คงจะมีการยกคำร้อง

ซึ่งผิดกับพรรคไทยรักไทย กกต.ได้มีมติยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ซึ่งต่อมาปรากฏว่าพยานซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญในกรณีนี้ 2 คนคือ นายชวกร โตสวัสดิ์ และนายสุขสันต์ ไชยเชษฐ์ ได้ออกมายอมรับต่อคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนว่าได้รับการว่าจ้าง จากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยด้วยจำนวนเงิน 15 ล้านบาท

หรือกรณีการยุบพรรคพลังประชาชนเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ที่ กกต.ทำด้วยความรวดเร็วทั้งๆ ที่หลักฐานยังไม่ชัดเจนเพียงพอ หลักฐานใช้ในการให้ใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่นำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน เป็นเพียงคำบอกเล่าของกำนันคนหนึ่งในอำเภอแม่จัน โดยกำนันคนดังกล่าวได้กล่าวหาว่า นายยงยุทธแจกเงินให้หัวคะแนนกลุ่มกำนันใน อำเภอแม่จันไปซื้อเสียงจากประชาชน

กรณีที่ยกมาทั้ง 5 กรณีนี้พอจะกล่าวได้หรือยังว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลสองมาตรฐาน

http://www.powerdmc.org/home/viewthread.php?tid=402

-------------------------------------------------------------------



http://www.4shared.com/file/258796854/c06ba464/One_Standard.html

-------------------------------------------------------------------

FfF