บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


04 มิถุนายน 2553

<<< ย้อนรอย คลื่นใต้น้ำป่วนเมืองช่วง คมช. ครองเมือง >>>

อดีตจะทำนายอนาคตได้ยังไง
ลองมาดูตัวอย่างหนึ่งที่ผมจะยกมาให้ดูกัน
เป็นเรื่องการป่วนเมือง สมัยช่วง คมช.
ประมาณปลายปี 49 ถึงปี 50
โดยหลังมีการทำรัฐประหารเป็นต้นมา
ได้เกิดเหตุป่วนเมือง
ทั้งเผาโรงเรียน ขู่วางระเบิด และวางระเบิดจริงๆ
โดยทุกเหตุการณ์ สื่อสมัยนั้นและพวกคมช.
รวมไปถึงพวกกองเชียร์ให้มีการทำรัฐประหาร
พวกศัตรูทักษิณเก่าจะออกมารับลูกกนเป็นทอดๆ
ไม่เว้นแม้แต่นายอภิสิทธิ์
ก็ยังออกมาบอกให้จัดการพวกป่วนเมืองให้เด็ดขาด
ซึ่งมีโอกาสที่พวกฝ่ายตรงข้ามพวกยึดอำนาจ
จะโดนกล่าวหาและโดนกวาดล้างในที่สุด
แต่ผลสุดท้ายหลังจากมีการสืบสวนของตำรวจ
ก็พบว่าส่วนใหญ่พวกเผานั่นนี่และขู่วางระเบิด
จะเป็นพวกเด็กวัยรุ่นคึกคะนองและแก้แค้นส่วนตัวผสมโรง
รวมไปถึงพวกต้องการสร้างสถานการณ์
เพื่อให้ฝ่ายต่อต้านผู้มีอำนาจ
มีปัญหากับชาวมุสลิมบ้าง
ชาวบ้านที่ทำมาหากินทั่วไปบ้าง
โดยเฉพาะกรณีสงกรานต์เลือดปีก่อน
ก็มีความพยายามกล่าวหายัดเยียดความผิดมาให้พวกเสื้อแดง
ดังตัวอย่างเรื่องนี้ ซึ่งพอเจอความจริงก็เงียบไปตามฟอร์ม

หรือช่วง คมช. จะเห็นภาพชัดที่สุดก็กรณีระเบิดในกรุงช่วงปีใหม่
หลังระเบิดก็ประโครมกล่าวหาว่าทักษิณอยู่เบื้องหลังบ้าง
คลื่นใต้น้ำบ้าง สุดท้ายผ่ายไปเดือนกว่า
ตำรวจไปรวบตัวคนทำถึงในค่ายทหาร
แต่ปรากฏว่า ผบ.ตร. โกวิทย์ โดนเด้งออกจากตำแหน่ง
แล้วคดีก็เงียบ เพราะฝีมือดีเกินไป
ที่สามารถสืบจนเจอคนร้าย
ที่ไม่ใช่พรรคพวกทักษิณ
แต่เป็นพรรคพวกที่กล่าวหาว่าทักษิณทำมากกว่า
ซึ่งถ้าเป็นรัฐบาลที่อยากหาคนผิดมาลงโทษ
เห็นประเทศและประชาชนสำคัญกว่าพวกพ้อง
จะต้องไม่ไปเด้ง ผบ.ตร. ที่พยายามแกะรอยสืบสวน
จนจับคนร้ายได้ยกทีมแบบนี้หรอก
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 2 เรื่องนี่


จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์นี้
ผมได้เคยเขียนไว้ครั้งหลังสุดก็มกราคมปีนี้เอง
กลยุทธ์ที่ว่าคือ

อ่านมาถึงตรงนี้
คิดว่าคงทำนายอนาคตกันได้แน่ๆ ว่า
จะมีการใช้กลยุทธ์นี้อีกแน่ๆ
และก็เริ่มมีข่าวใช้บ้างแล้วแถวๆ ทางเหนือ
เพราะจะได้ไม่กระทบกับผลประโยชน์ของพรรคพวกที่สนับสนุนให้ทำมากนัก

โดย มาหาอะไร

-------------------------------------------------------------------


เหนือ-อีสาน 2 เดือน14 ร.ร. อุบัติเหตุหรือจงใจป่วน

หลัง คมช.ยึดอำนาจ ขั้วเก่าส่ง"คลื่นใต้น้ำ"ป่วนเหนือ-อีสานกระฉ่อน ถึงวันนี้ เวลาไม่ถึง 2 เดือนไฟไหม้โรงเรียนแล้ว 14 แห่ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเกิด
คำตอบแท้จริงคืออะไร...อุบัติเหตุหรือจงใจ !!!!
เกือบ 2 เดือนกว่า ของ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
มีข่าวลือสะพัดว่า มี "คลื่นใต้น้ำ" ของขั้วอำนาจเก่า ว่าจะมีการ"ปฏิวัติซ้อน"โดยขุมกำลังพลมาจากภาคเหนือ-ภาคอีสาน เป็นหลัก
โดยขอไล่เรียงเหตุการณ์การเผาโรงเรียนทางเหนือ-อีสาน เกือบ 2เดือน ไหม้ไปถึง 14 โรง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดมาก ว่าเกิดอะไรขึ้น จะเป็นอุบัติเหตุ-จงใจป่วน
ทั้งที่เหตุการณ์การเผาโรงเรียนเช่นนี้ มักจะเกิดขึ้นใน ภาคใต้ มากกว่า แต่ถ้าใครฟังข่าวนี้ก็จะบอกได้ทันที่ ว่ากลุ่มก่อร้ายในภาคใต้เปลี่ยนเป้าหมายทำงานใหม่

จะเริ่มตั้งแต่ วันที่ 27 กันยายน-8 พฤศจิกายน 2549 ว่าเกิดเหตุที่ไหนบ้าง

เหตุการณ์แรก คือ เช้ามืดวันที่ 27 กันยายน 2549 เปลวไฟที่ถูกจุดโดยมือมืดเกิดขึ้นที่อาคารเรียนโรงเรียนใน อ.พรานกระต่าย อ.ลานกระบือ อ.ไทรงาม และ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ในเวลาไล่เลี่ยกัน 5 แห่ง ในที่เกิดเหตุเกือบทั้งหมดพบว่ามีคราบน้ำมันดีเซล และแกลลอนน้ำมัน  มีการสันนิษฐานเบื้องต้นว่า "ป่วนการเมือง"
เมื่อ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รอง ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตัวเอง โดยสรุปว่า "มีข่าวทางลับว่า จะมีการสร้างสถานการณ์ ด้วยการลอบวางเพลิงหรือใช้ระเบิดใน จ.บุรีรัมย์ และอีกบางจังหวัดในแถบภาคอีสาน"  แต่กลับมาโผล่ที่ จ.กำแพงเพชร และยืนยันด้วยว่า โรงเรียนทั้ง 5 แห่งของ จ.กำแพงเพชร ถูกลอบวางเพลิง  ยิ่งเป็นการฉายภาพ กระแสป่วนเมือง ได้อย่างชัดเจน !!! ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร วางกรอบการหาตัวผู้กระทำความผิดได้ง่ายขึ้น  โดยมีการมุ่งเป้ามาที่ นายเทียน รอดเขียว กำนัน ต.เขาคีริส และประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอพรานกระต่าย แต่ไม่พบของผิดกฎหมาย จึงไม่สามารถเอาผิดได้  แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ละความพยายาม ก็เดินหน้าค้นบ้านของ นายธง รอดเขียว น้องชายของนายเทียน คนสนิทนายตำรวจใหญ่รายหนึ่งในพื้นที่ภาคเหนือ ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับขั้วอำนาจเดิม  ทำให้พบหลักฐานสำคัญ คือ เสื้อแจ็คเก็ตสีแดงแถบขาว ซึ่งตรงกับที่พยานระบุว่าเป็นชุดที่คนร้ายใส่ในคืนเกิดเหตุ กระบอกไฟฉาย แกลลอนน้ำมัน และปืน 2  กระบอก จึงมีการตั้งข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรียนใน จ.กำแพงเพชร และได้รับการประกันตัวไป

เหตุการณ์ที่สอง คือเช้าวันที่ 1 ตุลาคม 2549 อาคารเรียน ร.ร.บ้านหนองกกตะแบงสามัคคี ต.ส้มป่อย อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ วอดเกือบทั้งหลัง เนื่องจากเป็นพื้นที่เลือกตั้งของตระกูล "ชิดชอบ" ทำให้ พล.ต.ท.สถาพร หลาวทอง ผบช.ภ.3 และนายใหญ่ โรจน์สุวณิชกร ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์  (ขณะนั้น) ต้องเร่งตรวจสอบ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับคลื่นใต้น้ำ แต่เป็นอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจร

เหตุการที่สาม คือ ไฟไหม้อาคาร ร.ร.บ้านน้อยกุดคล้า หมู่ 7 ต.เสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ถิ่นเลือกตั้งของ "นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ" หัวหน้ากลุ่มลำตะคอง  พรรคไทยรักไทย แต่คราวนี้ พล.ต.ท.สถาพร แอ่นอกรับว่า เป็นการวางเพลิง แต่สุดท้ายกลับพลิกผัน เมื่อจับเด็กนักเรียนวัย 14 ปี ที่บอกว่า ไปแอบสูบบุหรี่และเผาตัวการ์ตูนเล่นจนไฟลามเป็นเหตุใหญ่โต

เหตุการณ์ที่สี่ เป็น อาคารเรียน ร.ร.บ้านขามป้อม จ.อุบลราชธานี ถูกไฟไหม้วอดทั้งหลัง ครั้งนี้ นายสุธี มากบุญ ผู้ว่าฯ อุบลราชธานี ระบุว่า ต้นเหตุมาจากสายไฟเก่ากว่า 20 ปี ทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร

เหตุการณ์ที่ห้า เย็นวันที่ 12 ตุลาคม กลุ่มวัยรุ่นที่เล่นฟุตบอลในพื้นที่ ร.ร.นาเจริญวิทยา หมู่ 4 ต.คำนาดี อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย ถิ่นของนายพินิจ จารุสมบัติ  หัวหน้ากลุ่มพญานาค ในซีกไทยรักไทย ต้องวิ่งไปช่วยดับไฟที่กำลังลุกไหม้อาคารเรียน กว่าจะดับไฟได้ก็เผาผลาญไป 3 ห้อง ครั้งนี้กลุ่มวัยรุ่นเป็นพยานยืนยันว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรแน่นอน ไม่ใช่การลอบวางเพลิง

เหตุการณ์ที่หก วันที่ 23 ตุลาคม ไฟได้เผาผลาญอาคารเรียน ร.ร.บ้านหนองงูเหลือม ต.บ้านเพชร อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ วอดทั้งหลัง พล.ต.พิเชษฐ์ พิสัยจร รองแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดแถลงข่าวยืนยันว่า เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร เนื่องจากสภาพอาคารเรียนค่อนข้างเก่า

เหตุการณ์ที่เจ็ด เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน มีไฟไหม้อาคารเก็บพัสดุ ร.ร.บ้านโนนรัง ต.โนนรัง อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา ถิ่นของนายประชาธิปไตย คำสิงห์นอก อดีต เลขาฯ รมว.มหาดไทยในสมัยที่ผ่านมา ที่เกิดเหตุพบคราบน้ำมันเบนซิน ยางรถยนต์ที่มีร่องรอยถูกไฟไหม้ สาเหตุน่าจะเป็นการขัดแย้งระหว่างองค์กร
กับชาวบ้าน ส่วนคลื่นใต้น้ำนั้น...หลักฐานยังไปไม่ถึง

เหตุการณ์สุดท้าย เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน เกิดไฟไหม้อาคารเรียน ร.ร.วัดศรีคำชมพู ต.ป่าบง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เขตเลือกตั้งของ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และ นายพายัพ ชินวัตร น้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่งานนี้เป็นฝีมือเด็กนักเรียนที่แอบทำประทัดและเกิดระเบิดขึ้น

นอกเหนือจากการเผาโรงเรียนที่ จ.กำแพงเพชร ซึ่งตำรวจระบุชัดเจนว่าลอบวางเพลิงแล้ว ที่น่าจับตาคือ เหตุระเบิดที่ลานอ่านหนังสือ ร.ร.สันกำแพงวิทยาคม อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ บ้านเกิด "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่เกิดเหตุพบเศษแผงวงจรไฟฟ้า แบตเตอรี่ เข็มนาฬิกา ครูสอบสวนเด็กพบว่าเป็นฝีมือของนักเรียนชายชั้น ม.2 ที่อ้างว่าได้ระเบิดมาจากรุ่นพี่  แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทางเจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคง กล่าวว่า หากตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ทำไมเหตุการณ์ไฟไหม้โรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานเกิดขึ้นน้อย หรือแทบจะไม่เกิดขึ้นในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมา  แต่ครั้งนี้ไม่ถึง 2 เดือน ไฟไหม้โรงเรียนในภาคเหนือแล้ว 8 แห่ง มีหลักฐานจับผู้ต้องหาเผา 5 โรงเรียนที่ จ.กำแพงเพชร ที่เหลือเบื้องต้นเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรและอุบัติเหตุ  ส่วนภาคอีสานโรงเรียนไหม้ 6 แห่ง มีหลักฐานเกิดจากฝีมือมนุษย์ 2 แห่ง โดยหนึ่งในนี้เป็นฝีมือเด็ก อีกหนึ่งเป็นการลอบวางเพลิง ที่เหลือเป็นไฟฟ้าลัดวงจร  "น่าสังเกตว่าพื้นที่เกิดเหตุนั้นเป็นพื้นที่เขตเลือกตั้งของขั้วอำนาจเก่าทั้งนั้น ซึ่งสอดคล้องกับข่าวที่ได้รับก่อนหน้าว่าจะมีขบวนการป่วนในภาคเหนือและ
ภาคอีสาน อย่างนี้จะให้คิดอย่างไร จงใจ หรือบังเอิญ แล้วจะเลิกกฎอัยการศึกง่ายๆ หรือ" เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงรายเดิม กล่าว

-------------------------------------------------------------------

ตร.ยันกลุ่มวัยรุ่นปาระเบิดปิงปอง ไม่ได้รับจ้างป่วนเมือง

ตร.ยัน เป็นเพียงตามล้างแค้นคู่อริ ที่เคยมีเรื่องกันมาก่อน ระบุชาวบ้านเข้าใจผิดรับเงินตำรวจ พร้อมติดตามวัยรุ่นอีก 3 คนที่ร่วมก่อเหตุ สน.โชคชัย วันที่ 9 ม.ค. จากเหตุการณ์วัยรุ่นก่อเหตุขว้างระเบิดที่บริเวณหน้าร้านขายของชำ และร้านสักลาย และกรอบรูป เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 7 ที่ผ่านมา
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุไว้ได้ 5 นาย นายสุรสิทธิ์ ยอดนางรอง อายุ 22 ปี ,นายไกรวิทย์ สมศรี อายุ 19 ปี ,นายพยุงศักดิ์ พรหมเอาะ อายุ 22 ปี, นายวัชรินทร์ งามดี อายุ 21 ปี ,นายเอ(นามสมมติ) (นายอภิพัฒน์ หมายสุข )อายุ 17 ปี พร้อมด้วยของกลางเป็นระเบิดปิงปองพันด้วยเทป 1 ลูก ระเบิดขวด 1 ลูก ลูกปิงปองสีส้ม 1 ลูก เทปขาว 1 ม้วน หนังสติ๊ก 1 อัน กระเป๋าผ้าสีน้ำตาล 1 ใบ โดยสามารถจับกุมได้ที่ จับได้ที่ถ.ลาดปลาเค้า 15 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว เบื้องต้น แจ้งข้อหาร่วมกันมีอาวุธระเบิดไว้ในครอบครอง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สน.โชคชัย ยังคงออกติดตามตัว กลุ่มวัยรุ่นที่ยังหลบหนีอีก 3คน คือ นายยอดรัก หรือเต๋า พรหมเสนา อายุ 19 ปี ภูมิลำเนา จ.บุรีรัมย์,นายประพัฒน์ หรือตั้ม เชื่อมประโคน อายุ 19 ปี และนายยุทธ ไม่ทราบนามสกุล ทั้งสองคนภูมิลำเนา จ.นครราชสีมา ขณะที่ พ.ต.ท.บุรี ศรีหล้า สว.สส.สน.โชคชัย กล่าวว่า ในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่ และออกติดตามผู้ก่อเหตุซึ่งผู้ก่อเหตุดังกล่าวในเบื้องต้นทราบว่าวัยรุ่นที่ถูกจับและที่หลบหนีทำงานอยู่โรงงานอลูนิเนียมกระจก ลาดปลาเค้า โดยเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่การรับจ้างมาก่อเหตุเพื่อป่วนเมือง แต่จากการสอบสวนพบว่าเป็นการแก้แค้นกลุ่มคู่อริที่เคยมีเรื่องกันมาก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงได้ไปทำระเบิดเพื่อมาล้างแค้น
พ.ต.ท.บุรี กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามชุดสืบสวนทราบว่า กลุ่มคนร้ายที่หลบหนีเคยไปมีเรื่องกับคู่อริเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งถูกฟันที่หน้าร้านขายของชำได้รับบาดเจ็บ ทั้ง 3 คน จากนั้นได้ ไปรักษาตัวจนกระทั่งอาการหายดี ก่อนที่จะพาสมัครพรรคพวกอีก 5 คน มาล้างแค้นคู่อริ โดยมีนายยอดรัก และนายตั้ม เป็นคนผลิตระเบิดปิงปองเอง ซึ่งทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบถามไปยังเจ้าของโรงงานที่กลุ่มผุ้ต้องหาทำงานอยู่ ได้ข้อมูลว่า กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวไม่มีพฤติกรรมที่จะไปรับเงินใครมาป่วนเมือง ส่วนสาเหตุที่ชาวบ้านพูดคุยกันว่า วัยรุ่นที่ถูกจับได้รับเงินค่าจ้างมาจาก พ.ต.ท.นายหนึ่งนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากชาวบ้านได้ไปรับฟังข้อมูลมาว่า กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว รับจ้างมาจากจ.บุรีรัมย์ ซึ่งข้อเท็จจจริงนั้นมีอาชีพรับจ้างและบางคนมีภูมิลำเนา ที่จ.บุรีรัมย์

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสัมภาษณ์ชาวบ้านที่อยู่ละแวกที่เกิดเหตุ นางแตน พันตาวงศ์ อายุ 63 ปี ซึ่งเปิดร้านขายของใกล้กับที่เกิดเหตุ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เชื่อว่าไม่ใช่การป่วนเมืองแน่นอน เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุ วัยรุ่นจะก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ และเชื่อว่ากลุ่มที่มาขว้างระเบิดลูกปิงปอง น่าจะเป็นการล้างแค้นคู่อริ ทางด้านคนงานรับจ้างจัดสวนอีกรายหนึ่ง กล่าวว่า ตนจำได้ว่าวันที่ 19 ธ.ค.เคยมีกลุ่มวัยุร่นทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกาย หน้าร้านขายของชำ และ เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ได้มีเหตุทะเลาะวิวาทกันอีก บางครั้งมีการกินเหล้า ชกต่อยกันบ้าง ส่วนเหตุการณ์อื่น ๆ ตนไม่ทราบ เพราะไม่กล้าที่จะออกไปดูเชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทเท่านั้น

-------------------------------------------------------------------

นักเรียน ม.2 แค้นครูกล้อนผม พาเพื่อนเผาโรงเรียน

ฉาวอีกนักเรียนชั้นม.2 แค้นครูฝ่ายปกครองทำโทษกล้อนผมยึดรองเท้าผิดระเบียบ พาเพื่อนที่เพิ่งพ้นโทษจากสถานพินิจบุกงัดห้องขโมยทรัพย์สิน ไม่หนำใจวางเพลิงเผาเอกสารและเครื่องคอมพิวเตอร์ซ้ำ สุดท้ายถูกรวบได้
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 17.พ.ย.49 พ.ต.ต.อาณาจักร พานนนท์ หัวหน้า สภ.ต.ถาวร อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ พร้อมกำลังได้เดินทางเข้าจับกุมนายฉาน(นามสมมุติ) อายุ 15 ปี ชาว ต.ถาวร อ.เฉลิมพระเกียรติ และ ด.ช.พงษ์(นามสมมุติ) อายุ 14 ปี ชาวตำบลเดียวกัน นักเรียนชั้นม. 2 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา26 หลังทั้ง 2 ได้ร่วมกันก่อเหตุบุกงัดห้องเรียน ห้องศูนย์การเรียนรู้คอมพิวเตอร์ และห้องพยาบาล ภายในอาคารเรียนโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 26 บ.หนองหิน ม.5 ต.ถาวร รวม 5 ห้อง และได้รื้อค้นเอกสารขโมยสิ่งของ และได้นำแอลกอฮอล์ล้างแผลในห้องพยาบาล ไปเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟเผาเอกสารสำคัญของโรงเรียน และเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมมูลค่าเสียหายประมาณ 175,000 บาท แต่โชคดีที่เพลิงไม่ได้ลุกลามไหม้อาคารเรียน เนื่องจากเชื้อเพลิงเป็นแอลกอฮอล์ที่ใช้ล้างแผลเท่านั้น โดยเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อกลางดึกของวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุ เพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย จนสืบทราบว่า หลังเกิดเหตุ ด.ช.พงษ์ นักเรียนชั้นม.2 ได้หายไปหลังวันเกิดเหตุไม่ยอมมาเรียน โดยก่อนหน้านี้ ด.ช.พงษ์ ได้ถูกครูฝ่ายปกครองทำโทษด้วยการจับกล้อนผมและยึดรองเท้าเอาไว้ เพราะผิดระเบียบ

จากการสอบสวนในเบื้องต้น ด.ช.พงษ์ ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกับนายฉานร์ เพื่อนในหมู่บ้านที่ถูกต้องคดีลักทรัพย์และถูกควบคุมตัวในสถานพินิจเพิ่งออกจากสถานพินิจเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา บุกงัดห้อง ลอบวางเพลิงเผาเอกสาร และเครื่องคอมพิวเตอร์จริง เนื่องจากโกรธแค้นครูฝ่ายปกครองที่จับกล้อนผมและยึดรองเท้านักเรียน เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้ตนต้องอับอายเพื่อน จึงได้ชวนนายฉาน มาก่อเหตุดังกล่าวเพื่อหวังแก้แค้นครูเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น หลังจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวทั้ง 2 ได้เดินทางไปชี้จุดเกิดเหตุประกอบการสืบสวน จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติม และเตรียมส่งสถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์และลักทรัพย์” ตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.ต.อาณาจักร เปิดเผยว่า สำหรับคดีนี้ตนไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะเป็นคดีของเด็กที่เกิดขึ้น และขณะนี้ได้ควบคุมตัวเด็กเอาไว้ เพื่อดำเนินคดีและส่งสถานพินิจต่อไป  สำหรับเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนที่จ.บุรีรัมย์ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงเรียนหนองกกแสบงสามัคคี ต.ส้มป่อย อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ โดยสรุปสาเหตุเบื้องต้นมาจากไฟฟ้าลัดวงจร

-------------------------------------------------------------------

จับเด็ก 9 ขวบ คะนองโทร.ขู่บึ้ม! อนุสาวรีย์ชัย
6 มกราคม 2550 17:35 น.

ศูนย์สืบสวนนครบาล นำตัวเด็กชายวัยเพียง 9 ขวบมาสอบปากคำ หลังใช้โทรศัพท์มือถือที่ผู้ปกครองซื้อให้โทร.ป่วน 191 ขู่วางระเบิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เด็กสารภาพทำไปเพราะคึกคะนองและไม่คิดว่าจะก่อความวุ่นวาย

วันนี้ (6 ม.ค.) มีรายงานข่าวว่าตำรวจศูนย์สืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศส.บช.น.) ได้ควบคุมตัว ด.ช.บี (นามสมมติ) อายุ 9 ขวบ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนย่านห้วยขวาง จากบ้านพักในย่านลาดพร้าว เพื่อนำตัวมาสอบปากคำที่ ศส.บช.น. หลังเกิดความคึกคะนองใช้โทรศัพท์มือถือที่ผู้ปกครองซื้อให้โทรศัพท์แจ้งตำรวจ 191 ว่ามีระเบิดอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.วานนี้ (5 ม.ค.) แต่เมื่อเข้าตรวจสอบจุดดังกล่าวกลับไม่พบสิ่งต้องสงสัย ตำรวจจึงได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าโทรศัพท์สายดังกล่าวน่าจะเป็นพวกชอบสร้างสถานการณ์เพื่อก่อความวุ่นวาย จึงได้ตรวจสอบจนทราบแหล่งต้นสายโทรศัพท์และติดตามสอบสวนจนทราบว่าเป็นเด็กวัยเพียง 9 ขวบที่คึกคะนองจึงได้นำตัวมาสอบปากคำ
จากการสอบสวนเบื้องต้น ด.ช.บี รับสารภาพว่า เห็นเบอร์โทรศัพท์ 191 จากสติกเกอร์ที่ติดตามตู้โทรศัพท์ ด้วยความคึกคะนองจึงทดลองโทรศัพท์เล่น โดยไม่คิดว่าจะก่อความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง และไม่ทราบว่ามีอัตราโทษสูง ด้านผู้ปกครอง ด.ช.บี ก็เชื่อว่าเด็กไม่มีเจตนาก่อกวนหรือป่วนเมือง อาจทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น  อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตำรวจกำลังหารือว่าจะดำเนินคดีกับ ด.ช.บี ได้หรือไม่อย่างไร เบื้องต้นจึงเพียงว่ากล่าวตักเตือนและคาดโทษไว้ก่อน  ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดเหตุลอบวางระเบิดในช่วงปีใหม่ในกรุงเทพมหานคร มีโทรศัพท์ก่อกวนสร้างสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ซึ่งตำรวจก็สามารถจับกุมตัวผู้ที่กระทำเช่นนี้ ได้แล้วก่อนหน้านี้แล้วจำนวน 2 คน คือ นายประภัสสร หรือ ต้น พรสุรินทร์ อายุ 30 ปี หนุ่มเพี้ยนที่โทรศัพท์ขู่วางระเบิดห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ สาขาท่าพระ และเด็กหญิงอายุเพียง 12 ปี นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนชื่อดังใน จ.นนทบุรีที่โทรศัพท์ขู่วางระเบิดโรงเรียนตนเองเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าผู้ที่กระทำการก่อกวนเช่นนี้จะถูกแจ้งความในข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน และแจ้งข้อความแก่เจ้าพนักงานสืบสวนคดีอาญาว่า ได้มีการกระทำความผิดโดยรู้ว่ามิได้กระทำผิดเกิดขึ้น และแจ้งบอกเล่าความเท็จจนประชาชนตื่นตกใจ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน

-------------------------------------------------------------------

รวบ 2 นร.โทรขู่บึ้มโรงเรียน สารภาพแค่อยากให้โรงเรียนสั่งปิด

ตำรวจอุบลฯรวบ 2 นักเรียนขโมยโทรศัพท์รุ่นพี่โทรขู่วางระเบิดโรงเรียนเบ็ญจมมหาราช อ้างแค่อยากให้โรงเรียนสั่งปิดกรณีมีผู้โทรศัพท์ขู่วางระเบิดที่โรงเรียนเบ็ญจมมหาราช อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อเวลา 12.30 วันที่ 24 มกราคม 2550 พ.ต.อ.เกษมศักดิ์ หะชะนี ผกก.สภ.อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ได้จับกุมตัว 2 นักเรียนจากโรงเรียนเบ็ญจมมหาราช หลังขโมยโทรศัพท์เพื่อนโทรก่อกวนว่าจะมีการวางระเบิดที่โรงเรียนดังกล่าวกับศูนย์วิทยุ 191 เพื่อหวังให้ทางโรงนั้นปิดทำการเรียนการสอนการจับกุม 2 นักเรียนครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ได้สืบทราบมาว่าโทรศัพท์ที่ใช้โทรขู่วางระเบิดเมื่อ เวลา 10.17 น.วันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมานั้น เป็นหมายเลขโทรศัพท์ 083-7935XXX ที่โทรแจ้งที่ศูนย์วิทยุ 191 ของ สภ.อ.เมืองอุบลราชธานี ว่าจะมีการนำระเบิดไปวางไว้ที่ ตึกเรียนภายในอาคารเรียนของโรงเรียนเบ็ญจมมหาราช ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบทราบมาแล้วว่าเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์คือ นายสุรสีห์ วัฒนกิจอายุ 17 ปี นักเรียนโรงเรียนเบ็ญจมมหาราช ได้เรียกมาตรวจสอบ

ต่อมา นายสุรสีห์ ให้การว่ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า โทรศัพท์ได้หายไปตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม แล้วก่อนที่จะมีการโทรศัพท์ขู่วางระเบิด 1 วัน ซึ่งตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สืบสวนขยายผลหาคนที่ขโมยโทรศัพท์ไป จนทราบว่าคนที่ขโมยโทรศัพท์หมายเลขที่เป็นปัญหาโทรขู่วางระเบิด คือ ด.ช.ศักดิ์ (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี และ ด.ช.กร (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี ทั้งสองคนเป็นนักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนเบ็ญจมมหาราช พ.ต.อ.เกษมศักดิ์ กล่าวว่า จากการสืบสวนผู้ต้องหา ทั้งสองได้ร่วมกันวางแผนใช้โทรศัพท์โทรมาที่ศูนย์วิทยุ 191 โดยพูดจาข่มขู่ว่าจะวางระเบิดโรงเรียนเบ็ญจมหาราช ในวันที่ 10 มกราคมจริง ซึ่งเด็กทั้งสองคนให้การรับสารภาพว่า ได้โทรศัพท์มาจริง เนื่องจากต้องการให้โรงเรียนหยุดทำการเรียนการสอน จะได้ไม่ต้องเรียนหนังสือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวว่าทั้งสองว่า ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นข้อความเท็จถือว่ามีความผิด และลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ

-------------------------------------------------------------------

จับแล้วมือลอบวางเพลิงเผา ร.ร.ที่บุรีรัมย์ เป็นภารโรงทำเอง
26 ม.ค. 50 - 13:35

พ.ต.ท.จาตุรงค์ ผ่องคำพันธ์ รองผู้กำกับสืบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าววันนี้ (26 ม.ค.) ว่า ตำรวจภูธรอำเภอชำนิ ได้นำหมายจับจากศาลจังหวัดนางรอง เข้าจับกุมตัวนายงาม จำเนียรกุล อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นนักการภารโรง โรงเรียนบ้านตาเหล็ง ตำบลหนองปล่อง อำเภอชำนิ ในข้อหาวางเพลิงโรงเรียน ซึ่งเหตุเกิดเมื่อเช้าตรู่วันที่ 10 มกราคม 2550 ที่ผ่านมา โดยนายงาม ระบุว่า เป็นผู้พบเห็นเหตุการณ์คนแรกและเป็นคนแจ้งเหตุว่า เกิดเพลิงไหม้ในห้องเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 อาคาร 2

พ.ต.ท.จาตุรงค์ กล่าวว่า เบื้องต้นนายงาม จำเนียรกุล ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาล พร้อมทั้งยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินมูลค่า 2 แสนบาท ขอประกันตัว ซึ่งพนักงานสอบสวนให้ประกันตัวตามสิทธิ โดยเชื่อว่าผู้ต้องหาจะไม่หลบหนี ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีความเชื่อมั่นในพยานหลักฐาน ทั้งลายนิ้วมือแฝง การสอบพยานแวดล้อมกว่า 50 ปาก และรอยเท้าจากหน้าต่างที่เกิดขึ้นจากด้านในห้องเรียน ซึ่งชี้ชัดว่า ผู้ก่อเหตุลอบวางเพลิง ไม่ได้งัดหน้าต่างจากภายนอก เพื่อเข้ามาภายในห้องเรียน แต่เป็นลักษณะของการไขกุญแจห้องเข้ามาก่อเหตุและใช้เท้าถีบหน้าต่างออกไปเพื่อลวงว่า เป็นการปีนหน้าต่างเข้ามาก่อเหตุวางเพลิงภายในห้องเรียนดังกล่าว

-------------------------------------------------------------------

รปภ.มัสยิดรับทำบึ้มหล่น มติชน 3 มกราคม 2550
พ.ต.อ.มนตรี สัมปุณณานนท์ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมชุดสืบสวน นำตัวนายนาซิส อะฮะหมัด คนดูแลมัสยิดช้างคลานเชียงใหม่ ผู้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดมัสยิดช้างคลานเชียงใหม่เมื่อวันที่ 1 มกราคม จากโรงพยาบาลเซ็นทรัลเมมโมเรียล ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่มัสยิด ถ.เจริญประเทศ ต.ช้างคลาน อ.เมือง เมื่อวันที่ 2 มกราคม หลังรับสารภาพว่าเป็นผู้ทำระเบิดและทำหล่นใส่ตนเอง โดยบอกว่าระเบิดดังกล่าวทำไว้เพื่อป้องกันตัวและถล่มคู่อริที่เคยทะเลาะวิวาทกันมาก่อน ไม่เกี่ยวกับการสร้างสถานการณ์ป่วนเมือง ตำรวจจึงตั้งข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง และทำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ ก่อนนำตัวไปควบคุมที่ สภ.อ.เมืองเชียงใหม่

-------------------------------------------------------------------

รวบหนุ่มเพี้ยนขู่บึมผับ 
ไทยรัฐ 31 ม.ค. 50
ส่วนที่ศูนย์วิทยุผ่านฟ้า (191) มีชายอ้างชื่อนายประมูล ใจงาม โทรศัพท์เข้าไปขู่ลอบวางระเบิดร้านซีดส์ สถานบันเทิงซอยรัชดาภิเษก 6 แขวงและเขตห้วยขวาง  กทม. พ.ต.อ.คณิศร์ชัย มหินทรเทพ ผกก.สส.บก.น.1 จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.ฐากูร ฤทธิ์มนตรี สว.กก.สส.บก.น.1 ประสาน พ.ต.ท.เอกชัย ชัยเจริญ สว.สส.สน.ห้วยขวาง ออกแกะรอยติดตามกระทั่งจับกุมนายประมุข ใจงาม อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 60 ซอยสมบูรณ์พัฒนา 3 ถนนประชาสงเคราะห์ แขวงและเขตดินแดง กทม. พร้อมโทรศัพท์มือถือของกลาง 1 เครื่อง ส่งดำเนินคดีข้อหาแจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย สอบสวนอ้างเป็นพนักงานล้างจานของร้านดังกล่าว ที่ทำไปเพราะมีปัญหาทางจิตเคยเข้ารักษาตัว รพ.ศรีธัญญามาแล้ว

-------------------------------------------------------------------

มือบึ้มรับสารภาพแล้ว! วงจรปิดมัดระเบิดป้อมตำรวจจราจร

จากกรณี ที่มีการจับกุมผู้ต้องสงสัย ในคดีลอบวางระเบิด 9 จุด ใน กทม.และจ.นนทบุรีคืนวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา ทั้งหมด 18 รายนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการ สืบสวน และล่าสุดมีรายงานข่าวแจ้งว่า พนักงานสอบสวนได้เชิญทหารชั้นประทวนนายหนึ่ง แยกมาสอบเนื่องจากให้การมีพิรุธอีกทั้งยังขัดแย้งกับข้อมูลที่ตำรวจมีอยู่ในมือ

โดย มีการนำหลักฐานเป็นภาพทีวีวงจรปิดที่สามารถบันทึก ภาพทหารคนดังกล่าวเอาไว้ได้ขณะกำลังเดินถือถุงป้วนเปี้ยนไปมาอยู่ใกล้ ๆ บริเวณกับป้อมตำรวจจราจร สี่แยกสะพานควาย ช่วงเย็นวันที่ 31 ธ.ค. 49 มาเปิดให้ดูเพื่อสอบถามว่าใช่คนเดียวกันหรือไม่ เมื่อทหารคนดังกล่าวเห็นภาพของตัวเองถึงกับหน้าถอดสี นั่งเงียบอยู่สักพักใหญ่แล้ว ก็ร้องไห้ออกมาทันที ก่อนจะยอมรับสารภาพว่าเป็นบุคคลเดียวกับในภาพทีวีวงจรปิด

ซึ่งตนได้รับว่าจ้างจากลูกพี่ให้ช่วย จัดหาทีมไปวางระเบิดไว้ที่ด้านหน้าป้อมตำรวจ ย่านสะพานควาย ส่วนเรื่องรายละเอียดขั้นตอน การประกอบระเบิดต่าง ๆ นั้นไม่รู้เรื่องว่าเป็นฝีมือใคร รับผิดชอบแต่ให้นำไปวางไว้ตามจุดที่ได้ รับมอบหมายเท่านั้น ที่สำคัญไม่คาดคิดด้วยว่าระเบิดจะมีอานุภาพรุนแรงทำให้มีผู้เสียชีวิตบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเช่นนี้

ล่าสุดตำรวจกำลังเร่งสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมเป็นการด่วนเพื่อสาว ไปให้ถึงขบวนการระเบิดถล่มกรุง พร้อมเร่งหาวัตถุพยานสำคัญเพิ่มเติม เพื่อเตรียมจะแจ้งข้อหาดำเนินคดีเป็นรายแรกเอาไว้ก่อน

-------------------------------------------------------------------

Reuters : Swiss man faces 15 years in prison for crime against Thai king. 
BANGKOK, Feb 7 (Reuters) - A Swiss man will go on trial in Thailand next month facing 15 years in jail for defacing images of King Bhumibol Adulyadej during a drunken spree. on the revered monarch's birthday, officials said on Wednesday.
The trial of Oliver Rudolf Jufer, 57, charged with five separate acts of lese majeste, would start on March 12 in the northern city of Chiang Mai where he lived, they said. Police would seek consecutive jail terms for Jufer on each count carrying jail terms of between three and 15 years after he daubed the portraits of the king, whom many Thais regards as semi-divine,
with black paint. "This is a delicate issue and we don't want the public to know much about it," Chiang Mai chief prosecutor Manoon Moongpanchon told Reuters, declining to give more details. Jufer has been in jail since he was arrested in December.
Only one Thai newspaper reported the episode after police asked local journalists not to write about it to minimise the disrespect to King Bhumibol, the world's longest-reigning monarch. 

-------------------------------------------------------------------

FfF