บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


21 ตุลาคม 2553

<<< เปรียบเทียบวิธีการช่วยเหลือชาวบ้าน >>>

เท่าที่พอนึกออกมี 2 วิธีใหญ่ๆ
อาจมีมากกว่านี้แต่ขอยกมา 2 วิธี

วิธีแรก วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
เป็นวิธีที่เห็นๆ กันโดยทั่วๆ ไป
เป็นวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจริงๆ
เพราะว่าเมื่อเกิดเหตุก็ต้องรีบแก้ปัญหา
เช่น ถ้าเกิดกรณีฝนแล้งก็ขนน้ำไปให้
ถ้าเกิดหนาวจัดก็ส่งผ้าห่มไปให้
ถ้าเกิดน้ำท่วมก็ส่งถุงยังชีพไปให้ เป็นต้น
ถือเป็นการบรรเทาทุกข์เบื้องต้น
อาจช่วยคนได้ไม่ทั่วถึงทุกคนที่เดือดร้อน
แต่ก็ได้ช่วยในช่วงที่กำลังมีความต้องการให้ช่วยอย่างมาก
แต่วิธีนี้เป็นการช่วยแบบเฉพาะหน้าตามชื่อ
ไม่ใช่วิธีช่วยแบบถาวร
ถ้าไม่คิดวิธีช่วยแบบถาวร
ทุกๆ ปีก็อาจต้องมาใช้วิธีช่วยแบบเฉพาะหน้าไปทุกๆ ปี
เป็นการช่วยหลังเกิดความเดือดร้อน
หรือปลายเหตุไม่ได้ช่วยที่ต้นเหตุ
เมื่อไม่ได้ช่วยแก้ที่ต้นเหตุหรือป้องกันเหตุได้
ปีหน้าก็จะเกิดเหตุซ้ำๆ ซากๆ ให้ต้องไปช่วยอีก

วิธีที่สอง วิธีแก้ปัญหาถาวร
ขอยกตัวอย่างแนวทางคิดช่วยแบบถาวรสักหนึ่งเรื่อง
คือเรื่องที่ผมพึ่งเขียนไปเมื่อวาน

<<< เล่าประสบการณ์น้ำท่วมฉับพลันบนคอนโดชั้น 5 พร้อมวิธีแก้ปัญหาน้ำล้นเขื่อน >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/10/blog-post_21.html

ซึ่งวิธีพวกนี้ต้องใช้เวลานาน
และอาจคิดวิธีหลังเกิดเหตุการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง
หรือหลายๆ ครั้งมาแล้ว
แต่ถ้าคิดวิธีได้ และทำให้เป็นจริง
มันจะแก้ปัญหาระยะยาวได้
เป็นการช่วยชาวบ้านแบบยั่งยืน
เป็นการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านล่วงหน้า
ไม่ต้องเผชิญเหตุการณ์ที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินก่อน
ถึงจะค่อยเข้าไปช่วย
แต่วิธีนี้กลับไม่ได้รับความนิยมนัก
เนื่องจากชาวบ้านไม่รู้สึกได้ว่าไปช่วยเขา
ไม่เหมือนวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ที่ชาวบ้านจะเห็นได้จากการรับของบริจาคจากหน่วยงานต่างๆ
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า
ทำไมไม่ค่อยมีคนคิดหาทางแก้ไขแบบถาวร
เพราะถ้ามันแก้ไขได้ถาวรก็คงไม่ได้ใช้วิธีเฉพาะหน้า
ยิ่งถ้าเป็นรัฐบาลด้วยแล้ว
การมีเหตุการณ์ให้แก้ไขเฉพาะหน้าอย่างที่ว่ามากๆ
ก็จะได้หน้าได้คะแนนเสียงไปด้วย
นอกจากนี้งบประมาณที่ต้องใช้เพื่อบรรเทาทุกข์
ซ่อมแซมถนนหนทางและสิ่งต่างๆ ในแต่ละปี ก็มีมากด้วย
ในขณะที่ถ้าแก้ปัญหาถาวรได้สำเร็จ
ก็ไม่จำเป็นต้องมีงบเพื่อบรรเทาทุกข์สักเท่าไหร่
งบเพื่อซ่อมแซมถนนหนทางก็น้อยลง
จะเห็นได้ว่าบนความทุกข์ของชาวบ้าน
แต่ก็มีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่มิใช่น้อย

ดังนั้น การช่วยชาวบ้านไม่ว่าวิธีเฉพาะหน้าหรือวิธีการถาวร
ก็เป็นความพยายามช่วยเหลือชาวบ้านด้วยกันทั้งคู่
เพียงแต่วิธีไหนชาวบ้านรับรู้มากกว่ากัน
กับวิธีไหนช่วยได้ถาวรมากกว่ากันเท่านั้นเอง

ที่สำคัญ การช่วยเหลือคน
ถ้าทำด้วยใจบริสุทธิ์
เขาจะไม่นำเอาสิ่งที่เขาช่วยเหลือมาโจมตีคนอื่น
ถ้าเป็นแบบนั้นเป็นการช่วยเหลือแบบแอบแฝง
มีเรื่องการเมืองหรือผลประโยชน์อื่นมาเกี่ยวข้องด้วย
เพราะไม่มีใครไปบังคับให้ใครทำ
เมื่อตั้งใจทำเขาก็จะได้รับคำสรรเสริญยกย่อง
ต่อให้บางคนไม่พูดออกมาตรงๆ
แต่ก็อาจแอบนิยมอยู่ในใจ
กับการกระทำที่เขาได้เห็น
ดังนั้นไม่ว่าใครเอาเรื่องการช่วยเหลือคน
ไปโจมตีพวกอื่นก็เท่ากับหวังผลทางการเมือง

มันเหมือนทำบุญอ่ะครับ
ใครทำบุญมากทำบุญน้อย
ก็เป็นเรื่องที่เขาจะได้รับผลบุญกลับไปแต่ละคน
ส่วนใครเขาไม่ได้ร่วมทำบุญด้วย
เขาอาจมีเหตุผลส่วนตัวเขา
เขาอาจไม่ทำบุญบริจาคให้วัดนั้นวัดนี้
แต่เขาอาจไปช่วยคนนั้นคนนี้ตามกำลังทรัพย์เขาก็ได้
หรือเขาอาจดูแลพ่อแม่เขาดีก็ได้
ซึ่งคนที่ทำบุญมากๆ ก็ใช่จะยืนยันได้ว่าดูแลพ่อแม่เขาได้ดี
หรือเป็นคนมีจิตใจดีไปทุกเรื่อง
แต่อาจชอบทำบุญเอาหน้าก็ได้
ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นอาจไม่ทำก็ได้ทั้งนั้น

อีกอย่างกรณีไปช่วยเหลือเฉพาะหน้า
ถ้าทำตัวแบบอภิสิทธิ์ ที่นั่งเรือไปดูชาวบ้าน
ให้เจ้าหน้าที่เดินลากเรือให้นั่งหน้ายิ้มแป้นถ่ายรูป
แบบนี้จะเรียกว่าไปช่วยเหลือหรือเปล่า
หรือไปหาเสียงเอาหน้า
หรือพวกชอบบริจาคของทุกปี
แต่ไม่เคยคิดที่จะช่วยแบบถาวร
เพื่อชาวบ้านจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนก่อน
ถึงได้ไปแสดงตนเอาหน้าบริจาคของ
แบบนี้คิดว่าดียังไง
นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องการใช้วิธีลอบวางเพลิง
เพื่ออาสามาดับเพลิง
จะได้ออกหน้ามาช่วยเหลืออีกน่ะ

โดย มาหาอะไร
FfF