บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


17 มกราคม 2554

<<< การสร้างอาณาจักรแบบหมา ไม่น่าเอาอย่าง >>>

ผมเคยเลี้ยงหมาตอนเด็กๆ แต่ก็เลิกเลี้ยงไปแล้ว
เพราะมันชอบวิ่งข้ามถนนแล้วโดนรถชนตาย
เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้เลี้ยงเพราะไม่มีคนเลี้ยงมัน
ผมจึงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านหมาสักเท่าไหร่
แต่บังเอิญเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
หลังกลับจากบ้านริมนามานั่งกินข้าวแถวคอนโดที่ผมอยู่
ขณะกำลังกินข้าวอยู่ หมาตัวที่นอนอยู่ที่ร้านที่ผมกินข้าว
ก็วิ่งเข้าใส่กะจะกัดกับหมาอีกตัวที่เจ้าของพาเดินผ่านมา
แล้วผมถึงรู้จากเจ้าของหมาว่า
หมามันห่วงอาณาเขตของมัน
หมาตัวไหนผ่านมาถิ่นมัน มันจะเข้าไปปกป้องอาณาเขต
ด้วยการวิ่งเข้าใส่ เห่าเหมือนจะกัดบางทีมันก็กัดกันก็มี
และบางทีเวลามันเดินผ่านอาณาเขตหมาตัวอื่น
เจ้าของเล่าให้ฟังว่ามันก็โดนหมาตัวอื่นไล่กัดมาเหมือนกัน

พอมานั่งคิดว่า มนุษย์เราน่าจะฉลาดกว่าหมา
แถมมีช่องทางการสื่อสารมากมาย
และสามารถใช้เครื่องไม้เครื่องมือได้หลากหลายอีกด้วย
น่าจะทำอะไรได้ดีกว่าหมา
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ซึ่งจริงอยู่ ว่าในอดีตได้ผ่านการรบราฆ่าฟันกันเกลื่อน
กว่าจะมาอยู่ในช่วงที่เกือบใกล้จะศิวิไลซ์กันแล้วในปัจจุบันนี้
และปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องใช้วิธีการดึกดำบรรพ์เพื่อแก้ปัญหาอีกก็ได้
แต่ถ้ายังไม่ถึงตอนนั้น ลองคิดให้ลึกๆ ดูสักหน่อยได้ไหมว่า
สิ่งที่กำลังทำๆ กัน ใช่หนทางแห่งการดับทุกข์ไหม

ทุกข์ตอนนี้คืออยากได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
บางส่วนซึ่งเยอะพอสมควร
อาจอยากได้ทักษิณกลับมาบริหารประเทศอีก
และอื่นๆ แต่หลักๆ แล้ว ถ้าได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงเมื่อไหร่
สิ่งที่อยากได้อื่นๆ ก็จะตามมาเองในภายหลัง

เมื่อต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง
แล้ววิธีการที่ทำๆ กันมันจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือไม่
เช่นการสร้างอาณาเขตหรืออาณาจักรเลียนแบบหมา
พวกเขาผ่านเขตเราก็รุมตืบ พวกเราผ่านเขตพวกเขาก็รุมตืบ
หรือพวกใครพวกมัน แยกขาดจากกันชัดเจนอะไรแบบนี้
มันจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงยังไงในตอนจบ

กรณีแบบแรกผ่านถิ่นใครโดนตืบ
ผมว่ามันจบแบบสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากกว่า
ไม่งั้นก็ไม่จบวันๆ ต้องคอยหลบคอยระวัง
ยิ่งถ้าอยู่ในช่วงแตกหักด้วย รวันดา ดีๆ นี้เอง
หลับตากนึกภาพออก ไม่รู้ว่ารวันดาเป็นยังไง
แนะนำไปซื้อ VCD เรื่อง รวันดาโฮเต็ล มาดู
โรงแรมรวันดาที่ต้องเปลี่ยนจากโรงแรม
มาช่วยผู้คนที่หนีตายจากสงครามกลางเมือง
หนังเรื่องนี้น่าดูมากๆ แนะนำให้ลองหามาดู

กรณีแบบสองคือพวกใครพวกมันแยกขาดจากกัน
ทั้งการบอยคอตสินค้าเอย นั่นนี่เอย
จนไปถึงเลิกสังฆกรรมเลิกพูดคุยด้วยกับคนคิดต่าง
หลับตานึกดีๆ ว่าตอนจบ
ถ้าทั้งประเทศแบ่งแยกแบบนี้ชัดเจน
และช่วงที่แรงสุดๆ จะเกิดอะไรขึ้น
สงครามกลางเมืองอยู่ดี
เพราะแบ่งแยกดินแดนกันไม่ได้ง่ายๆ
นอกจากทำสงครามเพื่อแบ่งแยก
ถ้าไม่จบด้วยสงครามกลางเมือง
ก็ไม่จบคาราคาซังเศรษฐกิจพัง
ประเทศล้มละลายก็ไม่จบ

โดยส่วนตัวผมนั้น พูดได้เต็มปากว่า
อยู่ในดงเสื้อเหลืองก็ว่าได้
ถ้าพูดแบบภาษาวัยรุ่นหน่อยก็สามารถพูดได้ว่า
อยู่ในดงเสื้อเหลืองตัวแม่ก็ว่าได้
แต่ผมคุยได้ปกติดีแทบทุกคน
เหลือแค่คนสองคนที่ผมไม่ค่อยคุยด้วย
ก็เลยทำให้ไม่ค่อยสนิทกันเพราะไม่มีอะไรชวนคุย
ส่วนเสื้อเหลืองระดับแรงๆ หลายๆ คน
ซึ่งพักนี้ก็เพลาๆ กันลงไปเยอะแล้ว
ช่วงแรงๆ ผมก็แรง แนวแดงตัวพ่อเหมือนกัน
ก็อาจไม่ค่อยได้ไปชวนคุยด้วยทำนองไม่อยากยุ่งด้วย
แต่หลังๆ ผมก็คุยได้ปกติดี

บางพวกเขาอาจยังตาสว่างไม่ทัน
หรืออาจยังไม่อยากตาสว่างอะไรด้วย
ก็ไม่จำเป็นต้องไปซีเรียสอะไร
เพราะรัฐบาลนี้ช่วยสนับสนุนให้คนตาสว่างอยู่แล้ว
เช่นแนวนโยบาย กู้แหลก แจกสะบัด ซัดภาษีอาน
วันหนึ่งก็ต้องกระทบกับชาวบ้านเป็นวงกว้างอยู่แล้ว
เดี๋ยวก็อยากตาสว่างเองแหล่ะ
แบบอยากมาร่วมวงเรียกร้องด้วยก็มีแบบนี้

การสร้างอาณาจักรที่เข้มแข็งเสมือนกำแพงอันสูงชัน
ยากแก่การปีนข้ามกันแบบที่ทำๆ กันอยู่
ไม่ใช่แนวรองรับพวกอยากตาสว่างเพิ่มขึ้นเลย
เพราะเป็นเสมือนแนวป้องกันอันแข็งแกร่ง
ไม่ให้พวกอยากตาสว่างอยากมาร่วมด้วยเลย
แถมอาจจะทำให้บางคนเกิดมานะอยากเอาชนะอีกด้วย
ประเภททนอยู่ทนเชียร์พวกเดียวกันต่อไป
เพื่ออยากเอาชนะอีกพวกอะไรแบบนั้น
แทนที่จะสร้างอาณาจักร
หรือสร้างป้อมปราการอันแข็งแกร่ง

สู้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่า

คนเราก็เหมือนบัว 4 เหล่า
ที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้นั่นแหล่ะ
แต่เชื่อเหอะว่าบัวที่อยู่ในโคลนตม
ยังมีโอกาสที่จะโผล่พ้นน้ำได้สำเร็จเหมือนกัน
ถ้าให้โอกาสและระยะเวลาที่ยาวนาน
เพราะบัวที่ผ่านพ้นน้ำมาแล้วนั้น
ก็เคยเป็นบัวที่อยู่ในโคลนตมมาก่อน

โดย มาหาอะไร
FfF