บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


17 มีนาคม 2554

<<< ทำไม่ได้ หรือ ทำไม่เป็น สู้ไม่ได้ หรือ ไม่กล้าสู้ >>>

มีการพูดกันมากว่า
ต่างคนต่างสู้ เดี๋ยวก็ไปเจอที่เป้าหมายเดียวกัน
คำพูดที่ว่านี้อาจจะจริง ถ้าเป้าหมายเดียวกันจริงๆ
และวิธีการไปแนวเดียวกันจริงๆ แม้จะทำกันคนละรูปแบบ
แต่ถ้าพวกหนึ่งมาแนวลุกขึ้นสู้
อีกพวกหนึ่งจะไปแนวร้องขอ ก็คงไปไหนไม่ได้ไกล
หรืออีกพวกหนึ่งต่อต้าน อีกพวกหนึ่งปกป้อง
เพราะความกลัวหรืออะไรก็แล้วแต่
แต่ภาพมันออกมาแนวต่อต้าน
พวกที่ต่อต้านมันก็คือการปกป้อง
แบบนี้มันใช่เป้าหมายเดียวกันจริงๆ หรือ
แล้วจะไปเจอกันที่เป้าหมายเดียวกันได้ยังไง

บางคนบอกว่าการบอยคอตทำไม่ได้ ชนะไม่ได้
ต้องไปเลือกตั้ง ขนาดอภิปรายโพลล์ออกมายังแพ้ขาด
จะอ้างก็ได้ว่า เป็นโพลล์สร้างกระแสของพวกนั้น
ซึ่งก็เห็นสร้างกระแสพวกไม่รู้ได้บ่อยๆ เหมือนกัน
แต่ความรู้สึกส่วนตัว ผมก็ว่าแพ้อยู่แล้วแน่ๆ
หนทางชนะเลือกตั้งได้เสียงเกินครึ่งในครั้งนี้แทบไม่มี
เหตุผลก็คือ ต้นทุน ส.ส. เก่ามีไม่ถึงครึ่ง
ม่มีกระแสฟีเว่อร์อะไรมาช่วยให้ได้คะแนนเสียงเยอะๆ
มีการเตรียมการโกงทุกรูปแบบ
มีการซื้อเสียงล่วงหน้าด้วยงบประมาณมหาศาล
กระจายลงไปทุกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคนที่ไม่มีอุดมการณ์อะไร
การซื้อเสียงก็ยังมีผลอยู่ รวมไปถึงกระแสต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อแดงโดนกล่าวหาทั้งภาพและเสียงต่างๆ
กรณีเผาอะไรแม้ปฏิเสธยังไง คนที่ไม่ได้รู้ความจริงทั้งหมด
และไม่ชอบเสื้อแดงอยู่แล้ว ก็เชื่อว่าเป็นพวกผู้ก่อการร้าย
หรือพวกทำลายนั่นนี่อยู่แล้ว แล้วการให้พวกเสื้อแดงที่มีภาพแบบนี้
ไปช่วยหาเสียงเลือกตั้ง ผมว่าไม่ได้เสียงเพิ่มมีแต่ลดลง
ใครว่าเพิ่มช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าจะเพิ่มได้ยังไง

เมื่อไม่ชนะแน่นอน การไปลงเลือกตั้ง
ก็คือการยอมรับสภาพพากันไปหมอบสยบต่อเผด็จการดีดีนี่เอง
แทนที่จะลุกขึ้นสู้ ปลุกคนออกมาสู้แตกหัก ต่อต้านมรดกโจร
จนกว่าจะได้สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่แท้จริง
ไม่ได้ไม่เลิกยังมีหวังในการต่อสู้มากกว่า
การไปยอมรับสภาพเลือกตั้ง เสร็จแล้วแพ้พวกนั้น
มันก็เข้ามากินกันแบบชอบธรรมอยู่ดี
ในขณะที่การบอยคอตจะไม่รณรงค์แค่ไม่เลือกตั้งหรือโนโหวต
แต่จะรณรงค์รื้อโครงสร้าง ทำประชาธิปไตยที่แท้จริง
ก่อม็อบยืดเยื้อปราบมาอีก ก็ออกมาสู้ไม่เลิกเป็นไงเป็นกัน
ให้รู้ไปใน พ.ศ. นี้ ณ กระแสตอนนี้ ถือไพ่เหนือกว่าตั้งสองใบ
โดนเขาเกกลับมา ก็ยอมหมอบง่ายๆ เสียของที่สุด

อีกอย่างระบบการวิเคราะห์ก็มีปัญหา
ถึงได้บอกยังไงว่า ทำไม่ได้หรือทำไม่เป็น
แค่การวิเคราะห์ยังไม่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
แล้วจะมากำหนดแนวทางการต่อสู้ได้ถูกต้องได้ยังไง
เอาง่ายๆ ให้เห็นภาพเลย
วันที่ทักษิณปราศรัยใหญ่หาเสียงที่ท้องสนามหลวง
เป็นวันที่ผมไปม็อบครั้งแรกในชีวิตและหลังจากนั้นก็ไปเรื่อยๆ
ผมฟันธงเลยว่า เนี้ยะเป็นม็อบที่เยอะที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
คือคนเต็มสนามหลวงแล้วล้นไปตามฟุธบาท
ฝั่งกองสลากถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
เสื้อแดงจัดที่สนามหลวงกี่ครั้งก็ยังไม่ได้เท่านี้
อย่างมากสุดก็เลยครึ่งสนามหลวงมาหน่อยๆ
ครึ่งหนึ่งของสนามหลวง ไม่ใช่ถนนเล็กๆ หน้าธรรมศาสตร์น่ะ
แต่มันเป็นถนนใหญ่ที่รถวิ่งเข้ามาในสนามหลวงนั่นหน่ะใกล้เคียงครึ่งหนึ่ง

มีภาพมุมสูงช่วงเย็นๆ ที่ยังไม่มืด
ไม่ค่อยเห็นภาพม็อบไหนทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง
ที่กล้าถ่ายภาพมุมสูงขนาดนี้เพราะยิ่งมุมกล้องสูง
ก็จะยิ่งเห็นว่าคนน้อยลงถ้าไม่เยอะจริง
ถ้ามุมกล้องต่ำลงมาจะดูเหมือนว่าเต็มสนามหลวง

<<< เล่าสู่กันฟัง ความหลังครั้งไปม็อบครั้งแรกในชีวิต >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/06/2.html

ถัดมาคือม็อบที่สนามกีฬาราชมังคลา เอาม็อบนี้ก็ได้นับตัวเลขง่ายดี
ผมตีให้ 1 แสนคน ใกล้เคียงกับสำนักข่าวต่างประเทศให้ 9 หมื่นกว่าคน
เพราะจุคนได้ 7 หมื่นคน แต่มีคนในสนามหญ้าและบริเวณรอบอีก 3 หมื่นคน
เป็น 1 แสนคน คิดง่ายๆ เดี๋ยวมาเทียบกับม็อบที่บอกว่ามีคนเพิ่มขึ้น

ล่าสุดมีคนชอบพูดกันว่ามาถูกทางแล้วแนวสันติวิธี
มีม็อบคนเยอะ 4-5 หมื่นคน กองเชียร์ก็เชื่อ
เอามาคุยว่ามาถูกทางแล้ว
ทั้งๆ ที่เมื่อเทียบกับม็อบช่วงพีคก่อนสลายการชุมนุม
ซึ่งผมว่าประมาณเฉียดแสนคนเหมือนกัน
ไม่ต้องหลายแสนคนอย่างที่คุยกันในตอนนั้น
เพราะเดี๋ยวตัวเลขจะห่างจากยอดปัจจุบันไปมากอีก

อันที่จริงต้องบอกว่ามีคนกล้ากลับมาร่วมม็อบเพิ่มขึ้น
เพราะไม่อยู่ในช่วง พรก. หรือไม่โดนกดดันจากฝั่งตรงข้ามมากนัก
แต่ยังน้อยกว่าปีที่แล้วช่วงพีคอีก มันต้องหาสาเหตุว่าหายไปไหน
ไม่ใช่ดีใจว่ามีคนมาเพิ่มขึ้น มาถูกทางแล้วอะไร

ภาพคนเยอะๆ เอาไว้ดูสวยๆ ได้
เอาไปต่อรองพวกขวัญอ่อนอาจจะได้
แต่เอาไปต้านรัฐประหารไม่ได้
ต้านเผด็จการที่จะมาลุยก็ไม่ได้
ไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ แต่ไม่กล้าสู้
ถ้ากล้าสู้จริงๆ
ไม่ว่าหญิงหรือชาย ไม่ว่าเด็กหรือคนชรา
ก็ทำให้น่ากลัวน่าเกรงขามได้ทั้งนั้น
วิธีการทำม็อบมันผิด
เอาวิธีการหาเสียงเลือกตั้ง
มาทำม็อบต่อต้านเผด็จการ
เอาคนมานั่งฟังปราศรัย แล้วก็กลับบ้าน
เหมือนการหาเสียงเลือกตั้งไม่มีผิด
มันคนละวิธีการปลุกคนให้ลุกขึ้นสู้
จนทำให้ม็อบน่าเกรงขาม

เหมือนแม่น้ำสองสาย
สายหนึ่งมีปลาทองล้านตัว
อีกสายหนึ่งมีปลาปิรันย่า 100 ตัว
แค่ 100 ตัวก็หนาวแล้ว
ถ้ามีเป็นหมื่นเป็นแสนตัวจะขนาดไหน
คนที่จะลุยข้ามแม่น้ำสองสายนี้
คงไม่ต้องบอกว่าสายไหนที่น่ากลัวน่าเกรงขาม
คนข้ามรู้สึกกดดันสุดๆ กว่ากัน

ตอนนี้เขาทำม็อบในโอวาทได้สำเร็จแล้ว
การที่การ์ดมีพวกมีสีเข้ามาปน
ไม่ใช่พึ่งมีตอนนี้มีมานานแล้ว แต่ไม่รู้กันเอง
คนมีสี ที่ถูกส่งมาช่วยคุ้มครองแกนนำ
เขาก็คงทำงานให้นายด้วยเหมือนกัน
เพราะเขาจะถูกเล่นงานทางวินัย
ถ้ามาช่วยฝั่งเราแบบเปิดเผย แต่ทำไมเขาไม่ทำ
ก็เพราะเขาต้องการส่งมาช่วยเป็นกำแพงอีกชั้น
ให้พวกฝ่ายตรงข้าม และอย่ามาคุยน่ะว่า
จะสู้ฝ่ายตรงข้ามได้ ถ้ายังมีพวกฝ่ายตรงข้ามเต็มม็อบ
และอยู่ในระดับปฏิบัติการอีกด้วย

นอกจากนี้ในหมู่แกนนำไม่ว่ารุ่นไหน
ก็มีคนของฝ่ายตรงข้ามส่งมาหาข่าวด้วยทั้งนั้น
บางคนพยายามมาบอกว่า
มีอะไรก็เดินไปเสนอแกนนำซิ
เขาคงให้พบหรอก ถ้าเขาไม่รู้จัก
และจะไปพบเขาบ่อยๆ ทุกวันเวลาได้ยังไง
ในเมื่อมีเรื่องเสนอทุกวันแบบนี้
แถมถ้าแนวทางผิดจากเขาเรื่องก็จะเงียบในที่สุด
สู้เสนอผ่านมวลชนให้ตัดสินใจยังจะมีลุ้นกว่า
ที่สำคัญในแกนนำมีพวกสายปนอยู่แล้ว
ยังไงเขาก็รู้อยู่แล้ว และถ้าเสนออะไรไม่ผิดกฏหมาย
มวลชนรับรู้ด้วยกันหมด ก็จะยิ่งดีจะได้เข้าใจตรงกัน
การทำม็อบคนเยอะๆ จะมาลับๆ ล่อๆ
ลับลวงพลางหลอกแม้กระทั่งมวลชนตัวเอง
มั่วแน่นอนปัญหาความไม่เข้าใจกันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นถ้าขอเสนอแม้ฝ่ายตรงข้ามรู้ก็ทำอะไรไม่ได้
หรือทำอะไรไปก็เข้าทางเราอยู่ดี จึงเป็นข้อเสนอที่ดี
ยังไงเขาก็ต้องรู้ ในเมื่อมีมือไม้เต็มม็อบแบบนั้น
สั่งให้ไปทำอะไรวันไหนยังไงเขาก็รู้
นอกจากพวกเราไม่รู้หรือหลอกตัวเองว่า
ไม่มีสายในม็อบหรือในหมู่แกนนำ

นอกจากการทำม็อบในโอวาทแล้ว
คราวนี้ผมจะลองจินตนาการต่อไปว่า
ถ้าผมเป็นฝ่ายตรงข้ามหลังทำม็อบในโอวาทได้แล้ว
ผมจะทำอะไรต่อไป ผมไม่พอใจแค่ให้คุมม็อบในโอวาทหรอก
ผมต้องการทำให้ม็อบมาหมอบได้สนิทใจ
ดังนั้นวิธีการคือการปล่อยข่าวให้แกนนำเอาไปปราศรัย
แต่เป็นเรื่องจริงที่ไม่หมด คือตัดตอนไม่ถึงตัวการใหญ่
มีแต่แพะเท่านั้นที่โดนเล่น ซึ่งแพะพวกนี้อยู่ดีๆ
พวกเขาไม่ทำหรอก ถ้าไม่มีคนใหญ่ๆ สั่งพวกเขา
แต่เขาจะใช้วิธีนี้เพื่อล้างสมองมวลชน
ให้คิดไปไม่ถึงตัวการใหญ่ แต่พวกแพะจะโดนเล่นหนักแทน
เพราะไม่มีใครเขาปล่อยเอกสารลับหลุดมาได้บ่อยๆ
โดยที่เขาไม่รู้ ไม่มีวิธีป้องกัน หรือไม่รู้ว่าหลุดมาจากไหนหรอก
เหมือนกับการปล้นปืนก็เหมือนกัน

ดังนั้นฟังการแฉใดๆ แล้ว
อย่าพึ่งเชื่อว่ามีตัวการแค่นั้นจริงๆ
เพราะสิ่งที่นำมาแฉไม่ใช่ว่าไม่จริงน่ะ
จริง แต่พวกนี้ไม่ทำเองโดยไม่มีคนสั่ง
หรือกล้าทำอะไรแบบนั้นโดยไม่มีคนสั่ง
และคนสั่งก็ต้องใหญ่จริงๆ
ไม่ใช่ระดับเด็กๆ เขาถึงกล้าทำตามสั่ง

เรื่องการล้างสมองมวลชนผ่านแกนนำนี้
เป็นจินตนาการส่วนตัวผม ยังหาหลักฐานไม่ได้
แต่เดี๋ยวมีอีกหลายๆ เรื่องออกมาให้ช่วยกันสังเกตุ
นี่เขียนดักคอไว้ก่อนว่าเขาจะมาแนวนี้
ถ้าไม่พูดก่อนทำ เดี๋ยวพอทำให้เห็นแล้วมาบอก
ก็เหมือนหวยออกแล้วมาบอกไม่มีประโยชน์อะไร
นี้ไม่ได้มาจับผิด แต่บอกล่วงหน้าดักคอไว้
เผื่อหลงไปฮุบเหยื่อ โดยไม่รู้ตัว
หรือโดนเขาหลอกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว

เมื่อทุกอย่างสมบูรณ์ตามแผน คือ
ล้างสมองมวลชน ให้คิดไปไม่ถึงตัวการใหญ่ได้สำเร็จ
ได้กลับมาเป็นรัฐบาลแบบชอบธรรมผ่านการโกงเลือกตั้งสารพัด
และควบคุมม็อบให้อยู่ในโอวาทแบบเบ็ดเสร้จ
ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะระดับนำหรือแกนนำ
เป็นอะไรไป แบบอยู่ๆ เลิกหายใจโดยบังเอิญหรืออุบัติเหตุ
ทุกอย่างจะจบแบบแฮ็ปปี้เด็นดิ้งในที่สุด สำหรับพวกผู้มีอำนาจ
ทำนายไว้แบบนี้แหล่ะ จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ

บางคนกำลังใช้มุกลิงหลอกเจ้า แต่จริงๆ กำลังจะกลับกัน
โดยที่เขาคิดว่าฝ่ายตรงข้ามโง่ ไม่รู้เท่าทันพวกเขา
แต่จริงๆ แล้ว พวกเขานั่นแหล่ะที่ไม่เท่าทันฝ่ายตรงข้าม
ยิ่งทำตามตำราเก่าๆ ซึ่งเขาก็คงศึกษามาหมดแล้วเหมือนกัน
เขาก็รู้วิธีรับมือ แต่ถ้าเป็นแนวใหม่ต่อให้ประกาศตูมวันนี้
อีกปีบางทีเขายังหาวิธีรับมือไม่ได้ก็ได้
ในเมื่อมันไม่เคยมีในตำราเล่มไหนมาก่อน แล้วคิดกันเองไม่เป็น

แต่ถ้าสู้ตามตำรา และแบบเผนเก่าๆ เขาก็แค่กางตำราสู้
สมัยก่อนเคยเอามาใช้แล้วทำไม่สำเร็จหรือสำเร็จยังไง
สมัยนี้ไปใช้ของเดิมก็ได้ผลไม่ต่างกัน
แต่บางเรื่องอาจได้ผลต่างกันถ้าสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป
เช่นจะใช้มุก 6 ต.ค. ณ พ.ศ. นี้ อาจจบไม่เหมือนก่อนก็ได้
เพราะผู้คนหูตาสว่างกันมากมายกว่าแต่ก่อน
และถ้าใช้ยุทธวิธีที่พวกแกนนำบางคนเคยใช้สู้ในอดีต
มาใช้กับโลกยุคปัจจุบันที่มันเป็นประชาธิปไตยแล้วมากมายหลายประเทศ
รวมทั้งเกือบจะเป็นประชาธิปไตยแล้วในประเทศนี้ปัจจุบัน
ก็จะกลายเป็นวิธีที่ล้าสมัย ใช้ไม่ได้ผลเหมือนเดิม
สรุปคือ โลกไปถึงไหนแล้วต่างคนต่างงัดกลยุทธ์โบราณมาสู้กัน

แทนที่จะคิดใหม่ทำใหม่ตามสโลแกนไทยรักไทยเก่า
วิธีคิดใหม่ก็คือโละของเก่าทิ้งแล้วหาวิธีใหม่ในยุคปัจจุบัน
ณ สถานการณ์ปัจจุบัน ฝ่ายตรงข้ามตั้งรับไม่ทัน
ไม่ใช่ว่าประกาศปุ๊บแล้วเขาจะตั้งรับได้ทันที
มันไม่เหมือนนั่งทำโจทย์คณิตศาสตร์
มันต้องมีคนที่สามารถทำนายผลได้แม่นยำ
หรือไม่ก็ต้องรอให้เกิดเหตุเสียก่อนถึงจะรู้ผลว่าเป็นยังไง
แล้วจึงทำเป็นทฤษฎีหรือบทเรียนเพื่อเอาไว้ศึกษาต่อไป

บางคนก็เป็นพวกเจ็บไม่เคยจำ
บทเรียนในอดีตมากมายโดนกับตัวเองยังจำไม่ได้
โดยเฉพาะพวกหนีเข้าป่าระดับนำ
โดนเขาหลอกพามาหมอบสุดท้ายก็โดนเล่นตลบหลัง
ที่เหลือเขาก็ปล่อยไว้บางคน เผลอๆ จะเอาไว้ใช้งานต่อไป
ไม่ต้องอะไรขนาดระดับชาวบ้านจำนวนมาก
ไม่ว่าเหนือหรืออีสานหรือเห็นชัดๆ ที่วังน้ำเขียว
นั่นหน่ะดงคอมสมัยก่อนเลย คือ
เขาให้มามอบตัวแล้วให้ที่ดินทำกิน
แต่เอกสารไม่ให้เขาจนเดี่ยวนี้มีปัญหา
มีแต่ที่ ภบท.5 ไม่ใช่โฉนดเกือบทั้งอำเภอ
หลังๆ มีพวกบุกรุกด้วยเลยไปกันใหญ่
นี่ก็ตัวอย่างหลอกมาแล้วปล่อยให้เคว้งคว้างในที่สุด

แต่งวดนี้เราจะสู้เพื่อประชาธิปไตยกันจริงๆ ไม่อิงแนว คอม
เพราะล่าสมัยในโลกนี้ไม่มีเหลือแล้ว
แต่ยังยอมรับแนวคิดสังคมนิยมคือระบบเศรษฐกิจแบบนี้ได้
เพราะว่าหลายประเทศยุโรปก็ยังใช้อยู่
และมันก็ใกล้เคียงกับคำว่าประชานิยมของโลกประชาธิปไตยนั่นแหล่ะ
แต่เล่นคำต่างกันนิดหน่อย ถ้ายึดแนวประชาธิปไตยที่แท้จริง
ทุกคนต้องพยายามทำตนให้เป็นเสรีชนให้มากที่สุด มีมากเท่ายิ่งดี

แนวปลุกให้คนเป็นเสรีชน ก็จะได้ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
เหมือนประเทศตะวันตกทุกวันนี้ที่คนเป็นเสรีชนเต็มตัว
การรัฐประหารเกิดลำบาก แม้แต่พวกมือที่มองไม่เห็น
ก็ไม่กล้าแทรกแซงมาก เผลอๆ จะโดนจำกัดขอบเขตเพิ่มขึ้น
แนวนี้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงแน่ๆ แต่ต้องมีเยอะๆ
เสรีชนจะกล้าตรวจสอบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกัน
หรือผู้นำฝ่ายตนหรือรัฐบาลที่พวกตนเลือกเข้าไปก็ตาม
หรือผู้มีอำนาจระดับต่างๆ นี่แหล่ะเสรีชนตัวจริง
มีเยอะๆ มั่นใจได้ว่าใกล้ได้ประชาธิปไตยเต็มใบแล้ว
ไม่ต้องหวังให้มีทั้งประเทศ อาจยากและนานไป
แค่ระดับสามารถประคับประคองระบอบประชาธิปไตยได้ก็พอ
ถ้าให้ชัวร์ระดับล้านคน ถ้าระดับแสนคนของ นปช. เป็นเสรีชนได้
ก็ใกล้ถึงวันที่ฝันเป็นจริงได้เหมือนกัน แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่
ปลุกกันเป็นไพร่กันหมด ทั้งๆ ที่ทำเพื่อปลุกทำสงครามแบ่งแยกชนชั้น
แต่มวลชนบางส่วนไม่เข้าใจ ยอมรับสภาพ ยอมเป็นไพร่
ทั้งๆ ที่ควรจะไม่ยอมรับและเลือดขึ้นหน้าเมื่อมีใครมาใช้เรียกตนแบบนี้
จะต้องลุกขึ้นสู้ แต่นี่กลายเป็นยอมจำนน เป็นไพร่กันด้วยความเต็มใจบ้าง
น้อยเนื้อต่ำใจบ้าง ประชดบ้าง ไร้ประโยชน์สิ้นดี
ยิ่งทำยิ่งห่างไกล เพราะผู้นำเล่นทำซะเอง เฮ้อ

เรื่องห้ามชูป้ายใดๆ ในม็อบอีก ถือเป็นเผด็จการของจริง
ประเภทกลัวเกินเหตุ แกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นก็ได้
เพราะไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบทั้งหมด
ไม่งั้นใครไปทำอะไรผิดในม็อบ แกนนำก็ต้องรับผิดหมดด้วยสิ
ถ้าคิดเช่นนั้นยิ่งไม่ควรมานำ ไปหนุนอยู่ข้างหลังยังจะดีกว่า
กลัวว่าภาพพจน์จะถูกทำลาย ทั้งที่จริงไม่มีเหลือแล้วในสายตาฝ่ายตรงข้าม
และไม่ถูกต้องตามหลักกลยุทธ์ที่ดี คือถ้ามีแกนนำกลัวเรื่องภาพพจน์
เขาก็จะเน้นทำลายภาพพจน์ แล้วแกนนำก็จะเป้ จนมาเล่นพวกเดียวกัน
กลายเป็นแตกคอกันในที่สุด แต่ถ้าแกนนำไม่กลัว หรือไม่มีแกนนำ
แต่จริงๆ มีแต่ไม่โผล่ให้เห็น ใครทำอะไรก็ทำไป เหมือนม็อบไร้แกนนำ
แต่ยังมีคนคอยประสานทิศทางอยู่ภายในม็อบ แบบนี้จะเวิร์กกว่า
และไม่ต้องไปกลัวภาพพจน์อะไรแล้ว ยิ่งถ้าให้ม็อบเสื้อแดง
ไม่ยึดติดเรื่องเลือกตั้งก็ไม่จำเป็นจะต้องไปกลัวเสียภาพพจน์อะไรเลย
ทำให้เละเทะไปเลยยังได้ ส่วนเรื่องภาพพจน์ก็ให้พรรคเพื่อไทยแยกออกไปทำต่างหาก
หมายความว่าม็อบเสื้อแดงจะเป็นม็อบลุยจนได้โครงสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้ได้
ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ไปสู้ในสนามเลือกตั้ง ที่อยู่ในโครงสร้างที่ดีแล้ว
เพราะจะได้ไม่เสียเปรียบมากมาย จนพ่ายแพ้แบบน่าเจ็บใจ
และไม่ควรนำมาผูกกัน จนเหมือนกับกรณีห่วงโซ่บังทอง
คือเสื้อแดงเสียภาพพจน์ พรรคเพื่อไทยก็เสียตามไปด้วย
และเมื่อกลัวเสียภาพพจน์ ก็เลยทำอะไรแบบหาเสียงไปวันๆ
กดดันอะไรไมได้เลย แค่ได้มีม็อบไปวันๆ

โดย มาหาอะไร

FfF