บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


21 มีนาคม 2554

<<< ผมไม่เชื่อว่าพรรคในโอวาทผู้มีอำนาจ จะกล้าต่อกรกับผู้มีอำนาจจริงๆ >>>

ผมเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องม็อบในโอวาทผู้มีอำนาจไว้แล้วลักษณะนี้

<<< ผมไม่เชื่อว่าม็อบในโอวาทผู้มีอำนาจ จะกล้าต่อกรกับผู้มีอำนาจจริงๆ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/03/blog-post_3801.html

วันนี้จะขอเขียนเกี่ยวกับเรื่องพรรคในโอวาทผู้มีอำนาจบ้าง
ตามกลยุทธ์ 2 ขา ของแกนนำเสื้อแดงคือ สู้ในสภาและนอกสภานั้น
บัดนี้เริ่มปรากฏเด่นชัดแล้วว่ากำลังจะอยู่ในโอวาทผู้มีอำนาจทั้ง 2 ขา
นอกสภาก็คือม็อบ อันนี้เรียบร้อยไปแล้ว
แม้จะมีการปราศรัยบนเวทีขึงขังยังไงก็ตาม
แต่ข้างล่างเวทีปรากฏชัดเจนว่า
แม้แต่เสื้อที่มีข้อความบางอย่างก็เข้าม็อบไม่ได้ หรือห้ามขายในม็อบ
ไม่รวมเรื่องแจกนั่นแจกนี่ จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า
เป็นม็อบในโอวาทไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วนในสภามีพรรคที่เสื้อแดงเชียร์คือ พรรคเพื่อไทย
ก็กำลังจะกลายเป็นพรรคในโอวาทในไม่ช้า
เพราะผู้มีอำนาจเขาฉลาดพอที่จะเนียน
ไม่ห้ามมีพรรคที่เสื้อแดงเชียร์
ไม่ห้ามมีม็อบเสื้อแดง
แต่เขาจะทำให้อยู่ในโอวาททั้งคู่
ผ่านการควบคุมแกนนำที่สามารถกำหนดทิศทาง
หรือแนวทางการต่อสู้ได้
แค่นี้ก็เรียบร้อยโรงเรียนผู้มีอำนาจแล้ว

กรณีพรรคเพื่อไทยจนบัดนี้ยังหาหัวหน้าพรรคที่แท้จริงไม่ได้
ทั้งๆ ที่กำลังจะใกล้เลือกตั้งอยู่แล้ว แทนที่จะประกาศให้ชัดเจน
เพื่อจะได้เร่งหาเสียงให้ประชาชนรู้จักถ้าเลือกแนวอยากเลือกตั้ง
แต่มีปัญหาภายในจึงตั้งกันไม่ได้ ไม่ใช่ข้ออ้างที่เขาว่ามา
และถ้าตั้งใกล้เลือกตั้ง ก็จะเกิดแรงกระเพื่อม
จนพรรคระส่ำแทนที่จะได้ไปช่วยกันหาเสียงแข่งกับพรรคอื่น
ต้องมาเสียเวลาเคลียร์ปัญหาภายในกันอีก

ตอนนี้ฝั่งทักษิณส่งสัญญาณชูยิ่งลักษณ์ให้เป็นหัวหน้าพรรค
และมีข่าวจากพรรคเพื่อไทยออกมาว่า
จะดันยิ่งลักษณ์อยู่ปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่ง
ถือว่าเป็นการส่งซิกให้เห็นจะๆ กันแล้ว
แต่ทำไมคนอย่างมิ่งขวัญที่ไม่มีภาพดุดันหรือแข็งกร้าวอะไร
จึงทำตัวพร้อมชนทักษิณ ด้วยการทำตัวกระตือรือร้นเกินเหตุ
อยากเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนัก ถึงขนาดบินไปล็อบบี้ทักษิณ
ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดนี้ และทักษิณปฏิเสธอ้อมๆ
แต่สุดท้ายก็ให้เป็นผู้นำในการอภิปรายครั้งล่าสุด
ไม่รวมถึงการชูตัวเองในสภาและหลังลงคะแนนว่าพร้อมเป็นนายก
ถ้าคนในพรรคหรือทักษิณหนุนชัวร์ๆ แล้ว วิธีการของมิ่งขวัญถือว่าสุดยอด

แต่ถ้าในทางกลับกัน ในขณะที่มีความพยายามดันยิ่งลักษณ์
ให้มาเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริง พร้อมชูสู้ศึกเลือกตั้งเป็นนายก
แล้วทางมิ่งขวัญพร้อมชนชูตนแข่ง นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
และไม่ใช่นิสัยที่แท้จริงของมิ่งขวัญแน่นอน
และเรื่องนี้ก็จะทำให้ตัดสินยากขึ้นไปอีก
เมื่อมิ่งขวัญเล่นหาเสียงสร้างราคาตนเองให้สูงขึ้นแบบนี้
ถ้าวันไหนแตกหักดันยิ่งลักษณ์ขึ้น
ก็อาจเกิดการกระเพื่อมในพรรคอีกระลอก
ล่าสุดเฉลิมก็ออกอาการแล้ว ขอวางมือและไม่หนุนยิ่งลักษณ์
ไม่รวม ส.ส. ในกรุงอีกหลายคนที่จะเปิดเผยตัวตนเมื่อถึงเวลา
แถมยังไปยอมรับ รธน. ใหม่ ทำให้เสียง ส.ส. ในกรุง
หายไปในอนาคตแน่นอน จะสูญพันธุ์อย่างที่เขาว่าหรือไม่ต้องไปลุ้นกันต่อ
เพราะจะมีการแปรรพักตร์อีกหลายคน

ล่าสุดมีการปล่อยข่าวชูสุดารัตน์และปุระชัยออกมาอีก
เอาเป็นว่าในบรรดาแคนดิเดตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ผมก็ยังเชียร์ยิ่งลักษณ์เหมือนเดิม
ด้วยเหตุผลที่ผมเคยเขียนไว้หลายปีมาแล้ว ที่นี่

<<< ขอหนุนยิ่งลักษณ์ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยยามนี้อีกเสียงหนึ่ง >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/07/blog-post_01.html

ถ้าเลือกแนวเลือกตั้ง แล้วไปตั้งความหวังให้มวลชนคนเสื้อแดงว่า
หลังเลือกตั้งจะกล้าทำนั้นจะกล้าทำนี่ ถึงขนาดที่ณัฐวุฒิกล้าพูดบนเวทีว่า
ถ้าเพื่อไทยไม่สู้อะไรตามที่มวลชนหวังไว้ เขาจะเตะตัดขาพรรคเพื่อไทยเอง
ผมขอบอกว่า ผมไม่เชื่อ
เพราะว่า ณัฐวุฒิ เขาก็ยอมรับเต็มๆ แล้วว่า
เขาอยากเป็นนักการเมือง และการได้เป็นแกนนำเสื้อแดง
มันเป็นเรื่องบังเอิญพามาจนได้เป็นมากกว่า
เพื่อสนับสนุนเหตุผลว่า ทำไมเขาหนุนการเลือกตั้งครั้งนี้
ดังนั้น ณัฐวุฒิไม่กล้าหักพรรคเพื่อไทยหรอก
ต่อให้พรรคนี้ไม่กล้าสู้กับผู้มีอำนาจตามที่มวลชนหวังก็ตาม
ซึ่งดูแล้วจะเป็นพรรคในโอวาทผู้มีอำนาจผ่านตัวแทนผู้มีอำนาจด้วยซ้ำ
คงไม่กล้าสู้ใหญ่ หรือแม้แต่ได้ยิ่งลักษณ์มาเป็นหัวหน้าพรรคยามนี้
ผมว่าเธอก็คงไม่กล้าต่อกรกับผู้มีอำนาจเหมือนกัน
และ ณัฐวุฒิ ถ้ายังอยากเป็นนักการเมือง
ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาพรรคการเมือง
ไม่เช่นนั้นก็ต้องย้ายพรรคหรือตั้งพรรคใหม่
ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่าง ณัฐวุฒิและจตุพรกับทักษิณหัวหน้าพรรคตัวจริง
จึงเป็นลักษณะเจ้านายกับลูกน้อง ต่างจากประชาชนทั่วไปที่สู้เพื่อประชาธิปไตย
ที่จะมีความสัมพันธ์กับทักษิณเป็นลักษณะคนเหมือนกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นสิ่งที่ณัฐวุฒิพูด ก็คือการให้ความหวังสไตล์นักการเมือง
ทำยังไงก็ได้ให้มวลชนหนุนการเลือกตั้งแล้วไปแก้ปัญหากันภายหน้าต่อไป
แถมหลังออกจากคุกใหม่ๆ ก็พูดทำนองว่า
ผลเลือกตั้งที่จะถึงนี้ผลออกมายังไงให้ยอมรับและเขายอมรับได้
รวมไปถึงก่อแก้วก็แย้มบนเวทีอีกครั้งแล้วว่า
ถ้า ปชป. ชนะ และได้คนอื่นมาเป็นนายกไม่ใช่อภิสิทธิ์
เขาจะเลิกประท้วง ซึ่งมันไม่ตรงใจคนที่สู้มาหลายปีแน่นอน
เพราะเขาคงไม่ยอมรับสภาพแค่ ปชป. ชนะแล้วจะยอมรับโดยสดุดี
ในขณะที่โครงสร้างยังเหมือนเดิมอยู่อย่างนี้หรอก

เมื่อ 2-3 ปี ก่อนเขาอาจอยากได้แค่ เอา รธน.40 คืนมา
แต่มาถึงวันนี้ข้อเรียกร้องในใจหลายๆ คนได้เปลี่ยนไปแล้ว
เพราะ รธน.40 ได้มาก็ยังเหมือนเดิม
วันนี้ไปไกลขนาดจะรื้อโครงสร้างให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว
ส่วนรายละเอียดรื้อยังไงนั้นก็ว่ากันในอนาคต
เรียกว่า ยิ่งสู้แพ้มากครั้งเท่าไหร่ ข้อเรียกร้องก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นไปด้วย
ไม่ใช่ยิ่งสู้แพ้มากครั้งเท่าไหร่ ข้อเรียกร้องกลับยิ่งเล็กลงไปเรื่อยๆ แบบที่ทำๆ กันอยู่

ปรัชญาการทำธุรกิจของทักษิณคนเดิม
เมื่อทำธุริกิจเจ๊ง ธุรกิจใหม่ของเขาจะมีมูลค่ามากกว่าเดิมไปเรื่อยๆ
แล้วเขาก็ทำธุรกิจเจ๊งมาหลายครั้งหลายหน
แต่ธุรกิจใหม่ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายเขาประสบผลสำเร็จในธุรกิจโทรคมนาคม
ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีหลายหมื่นล้านในเวลานี้
ถ้าวันนั้น เขาไม่ได้ทำธุรกิจเจ๊งเลย
เขาอาจเป็นแค่นักธุรกิจระดับหลายร้อยล้านอยู่ก็เป็นได้

ถ้ายึดตามปรัชญาการทำธุรกิจของทักษิณคนเดิม
มาใช้กับการต่อสู้ครั้งนี้
ยิ่งแพ้ ยิ่งเรียกร้องให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
ก็จะยิ่งกดดันฝ่ายตรงข้าม และยิ่งทำให้ฝ่ายที่แพ้มีความหวัง
มีกำลังใจมากขึ้นทุกครั้งที่ลุกขึ้นสู้
เพราะยิ่งแพ้ยิ่งมีโอกาสได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
ถ้าชนะเร็วอาจได้แค่ รธน.40 คืนมา
แต่เมื่อชนะช้าก็มีโอกาสได้อะไรที่มากกว่านั้น
แต่นี่ที่เห็นทำกันอยู่ ยิ่งแพ้ยิ่งหมอบยิ่งเรียกร้องน้อยลง
ก็ยิ่งเข้าทางฝ่ายตรงข้าม ยิ่งบั่นทอนกำลังใจฝ่ายตนเองไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่แนวทางที่ถูกเลยบอกตรงๆ

สรุปว่าผมไม่เชื่อว่า ม็อบในโอวาทผู้มีอำนาจและพรรคในโอวาทผู้มีอำนาจ
จะกล้าลุกขึ้นสู้ กับผู้มีอำนาจจริงๆ หรือจะกล้าเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง
ที่ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งเท่านั้น เพราะการกล้าแตะระดับโครงสร้าง
มันต้องมีความกล้ามากกว่านี้ และไม่อยู่ในโอวาทใครทั้งนั้น
ถึงจะเป็นสัญญาณว่ากล้าสู้จริง

ส่วนยิ่งลักษณ์ หลังได้โครงสร้างเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว
ผมก็ยังหนุนให้เป็นหัวหน้าพรรคลุยศึกเลือกตั้งเหมือนเดิม
ตามเหตุผลที่เคยว่าไว้ แต่ยามนี้ถ้ายังอยากลุ้นกันอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สู้แน่หลังเลือกตั้ง ต่อให้ชนะมาก็เหอะ
ก็ยังเลือก ยิ่งลักษณ์ มากกว่า มิ่งขวัญ อยู่ดี
เพราะพฤติกรรมมิ่งขวัญ
ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
แบบเป็นคนรู้สึกไว ไม่ใช่พวกจมูกไวน่ะ อิอิ

จะว่าไปแล้ว ครั้งหนึ่งก็เคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้ว
ก็คือการเลือกสมัครให้มานำ พปช. ได้ข่าวว่า ตามใจผู้มีอำนาจเหมือนกัน
แต่สมัครไม่ก้มหัวให้ใครรวมทั้งทักษิณทำให้เกิดการงัดข้อกันในที่สุด
สมัครสู้น่ะช่วงเลือกสมชายไม่ใช่ไม่สู้
แต่ฝ่ายสมชายชนะ และสมชายที่เห็นท่าทางเรียบร้อย
ผมนึกว่าจะไม่กล้าสู้กับพวกผู้มีอำนาจ
ที่ไหนได้สู้จนยอมถูกน็อคคาเวที
เรียกว่าคนสู้ไม่สู้ดูที่หน้าตาท่าทางไม่ได้จริงๆ

ดังนั้นการที่ทักษิณเลือกยิ่งลักษณ์ก็คงกลัวประวัติซ้ำรอยด้วย
และผมก็เห็นว่าน่าจะเป็นแบบนั้น
แต่ยังเห็นว่าการเลือกตั้งในสถานการณ์ขณะนี้ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
แต่ถ้าอยากจะล้างตากันอีกครั้งก็ไม่อยากขัดใจ
แต่ผมไม่สนใจผลเลือกตั้ง ไม่ว่าใครชนะไม่ชนะ
จะเรียกร้องประชาธิปไตยต่อไป เพราะถือว่ายังไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่ขอให้มีการเลือกตั้งก็พอ
ทำไมชาวโลกเขารับไม่ได้กับการเลือกตั้งที่พม่า
ทั้งๆ ที่รัฐบาลพม่าชนะมาประมาณ 80% ได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า การเลือกตั้งไม่ใช่สิ่งที่บอกว่า
ประเทศเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว
ถ้าจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
ต้องเลือกตั้งบนกติกาที่เป็นธรรม กรรมการยุติธรรมโปร่งใส
และรัฐธรรมนูญต้องเป็นประชาธิปไตยแล้วเท่านั้น
ถึงจะกล้าพูดได้ว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
ไม่เช่นนั้นก็เป็นแค่ตรารับรองความชอบธรรมให้พวกเผด็จการดีๆ นี่เอง

แถมอีกนิด ผมจับสัญญาณได้ว่า
แม้แต่แกนนำเสื้อแดงก็กำลังมีปัญหากับพรรคเพื่อไทย
ฟังจากวิภูแถลงเปรย เรื่องจตุพรกับณัฐวฒิ
ที่กล้าออกมาสู้เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันตามที่ผมเข้าใจ
จำข้อความเขาปราศรัยทั้งหมดไม่ได้แล้วแต่แนวๆ นี้
แล้วพูดทำนองน้อยใจว่าจะให้ไปอยู่ท้ายๆ
คงมีข่าวว่าจะได้ไปอยู่ในปาร์ตี้ลิสต์ท้ายๆ
เช่น ที่ 50 ที่มีโอกาสเสี่ยงสอบตกเลยออกมาดักคอด้วยความน้อยใจ
แต่ผมฟังแล้วเข้าใจ ส่วนคนในพรรคเพื่อไทยจะเข้าใจหรือเปล่าไม่รู้

เคยบอกไว้แล้วว่า การไม่บอยคอตเลือกตั้งครั้งนี้
จะนำพรรคไปแพ้เลือกตั้งแน่นอน แต่ณัฐวุฒิก็ยังพยายามพูดว่าชนะแน่
มันจะชนะไปได้ยังแค่เสียงที่มีอยู่เดิมไม่เกิน 200 เสียง
จะรักษาไว้ได้ครบหรือเปล่ายังไม่รู้ มีปัญหาในพรรคปีนเกลียวกันหลายจุด
ทั้งแข่งกันเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งเรื่องแย่งตำแหน่งในปาร์ตี้ลิสต์ของแกนนำเสื้อแดง
ทั้งความพยายามไม่อยากให้แกนนำเสื้อแดงเข้ามายุ่ง
เพราะจะโดนกระแสโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม เต็มไปหมด
แค่นี้ก็ปวดหัวจนทำให้พรรคจะแตกก่อนเลือกตั้งซะอีก
แถมไม่เร่งประกาศทำให้ชัดเจน รอใกล้เลือกตั้ง
ไปแตกหักกันตอนนั้นแทนที่จะได้ร่วมใจกันไปหาเสียง
ก็ต้องมาคอยตามง้อตามเคลียร์กันแต่ละคน
จนแทบไม่มีเวลาไปหาเสียงได้เต็มที่
แถมหัวหน้าพรรคหน้าใหม่ถ้าไม่รีบประกาศให้ชัดเจนเพื่อรณรงค์ให้ชาวบ้านรู้จัก
แล้วคิดหวังจะไปรณรงค์ช่วงเลือกตั้งนี่ก็ส่อถึงความประมาทไม่พร้อม
ไม่ใช่วิธีที่ดีในการสู้ศึกเลือกตั้งแน่ๆ แต่ยังดันทุรังกันไปแนวนี้
เป็นการพากันไปลงเหวทั้งพรรคทั้งพวกชัดๆ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ได้แน่ๆ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือ
คนเสื้อแดงจะตาสว่างกันมากขึ้นอีกเยอะ ไม่เชื่อคอยดู
ทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง คงได้เห็นอะไรดีๆ อีกเพียบ
เป็นข้อดีข้อเดียวที่ผมเห็นในการเลือกตั้งครั้งนี้

จบเรื่องวิเคราะห์ตามหัวข้อแล้ว
คราวนี้เป็นการเก็บตกการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด
โดยเฉพาะกรณีมิ่งขวัญเพราะผมนั่งดูวันสรุป พูดได้ดี
วิธีการดีในการหาเสียงเลือกตั้งถูกต้อง ยิ่งถ้าคนในพรรค
ตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรคแล้วชัวร์ๆ จะยิ่งดีมาก
แต่เมื่อยังกั๊กๆ กันอยู่การทำแบบนี้เท่ากับเพิ่มแรงกดดันในพรรคด้วย
แต่วิธีการถือว่าน่านำไปใช้ได้ในอนาคต
การอภิปรายช่วงสรุปปิดการอภิปรายถือว่าทำได้ดีมาก
ขอติแค่ 2 เรื่อง คือเรื่อง 3G กับเรื่องตอนจบ

เรื่อง 3G ผมไม่โทษมิ่งขวัญแต่ผมโทษพวกชอบสร้างกระแสคล้ายม็อบเสื้อเหลือง
แทนที่จะพูดความจริงกันเข้าไว้กลับใช้วิธีโจมตีเพื่อความสะใจ
โดยไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงสำหรับบางเรื่องหรือไม่มีคนมาช่วยหักล้าง
เพื่อไม่ให้ไปปล่อยไก่ระดับประเทศ คือหน้าแตกกันระดับวงเล็กๆ ยังดีกว่า
ผมถือว่ามิ่งขวัญเป็นเหยื่อขบวนการแบบนี้ แล้วกัน พอๆ กับเรื่อง 91 ศพ วีรชน

เพราะเรื่อง3G ผมได้บันทึกไว้ที่บทความนี้เรียบร้อยแล้ว
ว่าได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองไทยแต่ช้ากว่าลาวจริง ตามเรื่องนี้

<<< วิธีการเลือกซื้อและ Set ค่า Dongle 3G >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/12/blog-post_03.html

ช่วงซีเกมส์ที่ประเทศลาว เกิดกระแสว่า ลาวมี 3G ใช้แล้วแต่ไทยยังไม่มี
รัฐบาลนี้กลัวเสียหน้าก็เลยอนุมัติงบประมาณให้ TOT เร่งทำให้เสร็จในปีนั้น
หรือปลายปี 52 ให้ได้ แล้วเขาก็ผลักดันจนสำเร็จเปิดให้บริการได้ตามแผน
แต่โครงขายยังไม่ครอบคลุมมากนักในกรุง และต่างจังหวัดต้องผ่านการโรมมิ่งกับ AIS
แต่ทะเลาะกันจนเกิดปัญหาในตอนหลังหรือยังไงเนี้ยะ
แต่ในกรุงสัญญาณยังไม่ครอบคลุม TOT ของบเพื่อขยายโครงข่ายต่อ
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ถ่วงเวลาบอกจะส่งไปตีความก่อน ทั้งๆ ที่ตอนแรกเร่งให้ทำให้ทันให้ได้
จนคนทำแทบจะทำไม่ทันพอเขาจะขอขยายเพื่อให้มีคุณภาพดีขึ้น
กลับคิดจะดอง ขอส่งเรื่องไปตีความก่อน จนผ่านไปหลายเดือน
ตอนหลังเพิ่งจะยอมเมื่อเร็วๆ นี้เองให้ขยายเพิ่มคุณภาพสัญญาณ
เพื่อครอบคุลมพื้นที่ในกรุงเทพเพิ่มขึ้น ถ้าไปสำนักงาน TOT ในกรุง
ลองไปถามเขาดูได้เรื่องบริการ 3G นี่เป็นการทำงานแบบไม่ได้เรื่องเท่าไหร่
มี 3G แล้วแต่โฆษณาไม่เป็น จนชาวบ้านเข้าใจกันผิดๆ ไม่เว้นแม้แต่พวก ส.ส.
ว่าตอนนี้มี 3G ใช้แล้วในไทยไม่ใช่ยังไม่มี แต่ที่เป็นข่าวเป็น 3G ของ CAT คู่แข่ง
ที่ไปทำสัญญากับ TRUE ในลักษณะผิดปกติไม่เกี่ยวกับ 3G ของ TOT
ดังนั้นใครอย่าได้ไปปล่อยไก่เรื่องนี้อีก ถ้ามีคนพูดทำนองว่า 3G ยังไม่มีในไทย
ให้ช่วยแย้งไปเลยดีกว่าปล่อยให้เขาจำไปผิดๆ จนไปปล่อยไก่ในวงกว้างแบบกรณีนี้

ส่วนกรณี 91 ศพวีรชนนี่ก็เหมือนกัน
พูดกันจนติดปากไม่สนใจข้อเท็จจริง
วันไหนไปเจอเขาแย้งจะหน้าหงายอีก
ที่จริงวีรชนเราน่าจะนับแค่ฝ่ายเราก็ประมาณ 80 ศพ
ส่วนที่เหลือเป็นพวกมาไล่ยิงวีรชนและคนเสื้อแดง
แล้วโดนพวกชุดดำเล่นกลับ จึงไม่ควรนับเป็นวีรชนฝ่ายเรา
แต่ถ้าพูดถึงยอดคนตายทั้งหมด ถึงจะอ้างตัวเลข 91 ศพได้

โดย มาหาอะไร

FfF