บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


29 มีนาคม 2554

<<< การชนะช้าหรือเร็วไม่มีปัญหา ที่มีปัญหาคือฝ่ายชนะมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือไม่ ถ้าไม่มีจะชนะช้าหรือเร็วก็ไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงอยู่ดี >>>

ถ้าชนะจริงๆ ไม่ใช่ชนะแบบอยู่ในโอวาทผู้มีอำนาจต่อไป
จะสามารถทำให้ประชาธิปไตยเติบโตได้เร็วขึ้นผ่านงบประมาณ
ให้การศึกษาอบรม และการทำให้เห็นจริงได้
แม้วิธีที่ได้อำนาจมาจะไม่ใช่วิถีประชาธิปไตยก็ตาม

เหมือนสมัยคณะราษฎร์ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นี่ก็ไม่ได้ใช้วิถีทางประชาธิปไตยเพื่อให้ได้มา
ทั่วโลกหลายประเทศก็ใช้วิธีลักษณะนี้
มีบางคนบอกว่าเพราะไม่ใชวิธีประชาธิปไตยเพื่อให้ได้มา
หรือได้ประชาธิปไตยขั้นต้นมาเร็วไป คนไทยยังไม่พร้อม
ประเทศเราตอนนี้เลยยังไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริงอะไร

ผมว่าถ้าวันนั้นปฏิวัติไม่สำเร็จ วันนี้อาจจะยังเรียกร้อง
ให้เปลี่ยนแปลงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ก็เป็นได้
อาจไม่ได้ออกมาเรียกร้องเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงแบบทุกวันนี้
และหลังคณะราษฎร์ชนะมาแล้วจนถึงวันนี้ หลายสิบปีมาแล้วน่ะ
ดังนั้นที่ยังไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่เกี่ยวกับคณะราษฎร์แล้ว
ระยะเวลาขนาดนี้ ประเทศที่แพ้สงครามย่อยยับ
สามารถพัฒนาประเทศกลับมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกไปแล้ว
แต่ประชาธิปไตยในไทยยังไม่ไปไหน ยังไปไหนไม่ได้ไกล
นี่เป็นตัวอย่างที่จะอธิบายว่า ระยะเวลาช้าหรือเร็ว
หรือวิธีการที่ได้อำนาจมา ไม่ใช่ปัญหาอะไร
แต่อยู่ที่ผู้มีอำนาจใหม่จะมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือไม่ต่างหาก
ที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง จริงๆ ได้

ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นพวกเสื้อเขียวที่ถูกฝึกมาแบบซ้ายหันขวาหัน
มาทำการยึดอำนาจไม่มีโอกาสที่จะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
เพราะไม่ได้ถูกหล่อหลอมอุดมการณ์ประชาธิปไตยมาเลย
มาแนวเผด็จการประเภทเชื่อฟังรุ่นพี่ ห้ามขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา
แม้ว่าคำสั่งนั้นจะขัดกฏหมายหรือรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ตาม
พวกนี้ยึดอำนาจได้ ก็ไม่มีทางได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงแน่นอน
แค่เป็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจจากพวกหนึ่งไปสู่อีกพวกหนึ่งเท่านั้นเอง

ส่วนอีกพวกคือนักการเมืองที่ไม่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย
ซึ่งก็แทบจะทั้งนั้นจากประวัติในอดีต เพราะการทำให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง
จะต้องยึดหลักการกระจายอำนาจให้ตกไปอยู่ถึงประชาชนให้มากที่สุด
ไม่ใช่ดึงอำนาจจากประชาชนมาไว้กับพรรคพวกให้มากที่สุด
ดังนั้นเมื่อนักการเมืองเหล่านี้มีอำนาจ ก็คิดว่าจะมีโอกาสได้อยู่ยาว
ก็เลยไม่คิดจะวางรากฐานให้มีประชาธิปไตยที่แท้จริง
แถมบางคนยังชอบสะสมอำนาจเพิ่มอีกต่างหาก
เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงจะไปลดทอนอำนาจของพวกเขาลงนั่นเอง
พวกเขาทำราวกับว่าจะอยู่ในอำนาจไปจนแก่จนตาย
เลยคิดและทำแต่ละเรื่องเฉพาะช่วงตนเองมีอำนาจ
ไม่ได้คิดวาดฝันอนาคตเผื่อแผ่ให้ลูกหลานแต่อย่างใด

การกระจายอำนาจที่ว่าไม่ใช่แค่การให้มีเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เช่น อบต. หรือ ผู้ว่า นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เปิดโอกาสให้มีประชาธิปไตยได้
แต่ไม่ใช่มีเลือกตั้งแล้วจะมีประชาธิปไตยที่แท้จริง
ถ้ายังมีการเล่นพรรคเล่นพวก ซื้อเสียงโกงเลือกตั้งสารพัด
หรือหลังเลือกตั้งที่ทำเหมือนกับว่าประชาชนไม่มีสิทธิไม่มีเสียง
ในการร่วมบริหารบ้านเมืองกับคนที่ตนเองเลือกให้ไปทำงานอีกต่อไป
การกระจายอำนาจในกรณีนี้หมายถึง
การกระจายอำนาจให้ถึงประชาชนแต่ละคนจริงๆ
เช่นการปลูกฝังให้กล้าวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำผู้บริหารทุกระดับ
อาจให้มีการประกวดการปราศรัยอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ในเด็กทุกโรงเรียนอะไรแบบนี้ ซึ่งแน่นอนคนที่มีอำนาจตอนนั้น
หรือเป็นรัฐบาลอยู่แล้วจะไม่ทำเพราะอาจจะทำให้เสียคะแนนนิยมได้
คือคิดแบบว่า การโฆษณาสร้างภาพ ปิดบังความไม่ดี
จะทำให้มีคะแนนนิยมมากกว่าส่งเสริมให้คนมาจับผิดตนเอง
หรือแสดงใจกว้างให้เกิดบรรยากาศทางประชาธิปไตยที่แท้จริง
ที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ในการบริหารประเทศ
ไม่ใช่แค่เลือกตั้งเสร็จแล้วก็เป็นหน้าที่ของ ส.ส. ทั้งหมดประชาชนหมดสิทธิ์
จะต้องมีการลงประชามติบ่อยๆ ในเรื่องที่สำคัญๆ อะไรแบบเนี้ยะ
จะเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนรู้สึกมีอำนาจ ขนาดด่าว่าวิจารณ์นายกยังได้
เด็กๆ เขาจะไม่รู้สึกหรือและมันจะทำให้เขากล้ามากขึ้น
เรียกว่าพยายามเปิดหูเปิดตาเปิดปากประชาชนให้มากที่สุด
รวมไปถึงการหยิบยื่นสิทธิ์ให้เขามีโอกาสลงมติในเรื่องสำคัญๆ บ่อยๆ
อะไรเหล่านี้แหล่ะที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศนี้
มีสิทธิ์มีเสียงในการบริหารประเทศนี้เหมือนกัน

จากตัวอย่างที่ยกมาให้เห็นสองสามตัวอย่างเพื่อเป็นแนวทาง
ยังมีอีกหลายสิบวิธีที่จะส่งเสริมให้ประชาชน
โดยเฉพาะเด็กๆ และนักศึกษาให้รักประชาธิปไตย
ให้เห็นคุณค่าและประโยชน์ของมัน พร้อมจะหวงแหน
พร้อมที่จะออกมาปกป้อง ถ้ามีใครคิดจะมายึดไป
มันเป็นแนวทางที่ยึดอำนาจผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีผู้มีอำนาจคนไหน ยอมลดทอนอำนาจของตนเอง
ไปอยู่ในมือประชาชนดีๆ สักทีในประวัติศาสตร์
แม้แต่ประเทศที่บอกว่าเจริญแล้ว เป็นประชาธิปไตยแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังไม่เต็มที่ และยังดีกว่าประเทศด้อยพัฒนาด้านนี้อยู่มาก

ดังนั้นผมของสรุปว่า
การเอาชนะผู้มีอำนาจช้าหรือเร็ว
ไม่ใช่สิ่งที่บอกว่าจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือไม่
แต่เป็นพวกที่เอาชนะแล้วไปมีอำนาจแทนต่างหาก
ว่ามีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือไม่
ถ้าไม่มี จะชนะช้าหรือเร็วก็เหมือนกัน

ถ้ากรณีที่ชนะช้า ก็อาจจะทำให้
เสียเวลา เสียเงิน เสียทอง เสียความรู้สึก
และอาจหมดไฟในการต่อสู้เอาดื้อๆ ก็ได้
ยิ่งเห็นการทำม็อบในปัจจุบัน
ประกอบกับแนวทางที่ประกาศให้ความหวังว่า
จะมีโรงเรียนสอนประชาธิปไตยนั่นนี่ก็ตาม
ก็ไม่ต่างอะไรกับการมีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ที่สร้างเสร็จแล้วนึกว่าได้ประชาธิปไตยแล้ว
หรือมีรัฐธรรมนูญแล้วก็คิดว่ามีประชาธิปไตยแล้ว
โดยไม่ดูสภาพความเป็นจริงว่า
จริงๆ แล้วบรรยากาศมันเป็นประชาธิปไตยหรือไม่
รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยไหม
ประชาชนดำรงชีวิตด้วยความหวาดกลัว
ไม่กล้าพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ในที่สาธารณะหรือไม่
ยิ่งถ้าคนปลูกฝั่งหรือแกนนำ
มีวิธีการคิดวิธีการกระทำยังเป็นเผด็จการเหมือนเดิม
ไม่ได้ใช่วิธีการทางประชาธิปไตยด้วยแล้ว
เรียนจบหลักสูตรที่ว่ามา
ก็คงไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์แกนนำได้เหมือนเดิม
หรือไม่สามารถวิจารณ์แนวทางนั่นนี่ได้
รวมไปถึงไม่สามารถแสดงออกอะไรในม็อบได้อย่างเสรี
เช่นการเขียนข้อความต่างๆ ตามเสื้อตามนั่นตามนี่
ก็เหมือนเรียนประชาธิปไตยแบบเผด็จการ
เลยนำมาใช้ในชวิตจริงไม่ได้
แค่สร้างภาพให้ดูมีความหวังว่าจะได้ประชาธิปไตย
ของแบบนี้มันอยู่ที่การปฏิบัติอย่างเดียวเลย
วาทกรรมหรือคำพูดอันสวยหรู สิ่งก่อสร้าง หรือแนวทาง
ไม่ได้ช่วยให้มั่นใจว่าจะเป็นนักประชาธิปไตยที่ดี
จะมีประชาธิปไตยที่แท้จริงอะไรได้
นอกจากการกระทำให้เห็นจริงๆ

โดย มาหาอะไร

FfF