กลยุทธ์ 2 ขา ที่มีการนำมาใช้คือสู้ทั้งในสภาและนอกสภา
ดูเผินๆ เหมือนจะดีครอบคลุมทุกแนวรบ แต่ลองเจาะเข้าไปดูผลงาน
แต่ละอย่างจะรู้ว่ากำลังเกิดอาการพันแข้งพันขากัน
ถ้าสู้ในสภาอย่างเดียว อันนี้ฟันธงได้เลยว่า สู้แบบหมอบชัวร์
ยิ่งไม่มีผู้นำพรรคที่กล้าสู้ด้วยจบเห่ สู้แบบนี้ก็คือ ไม่สู้หมอบอย่างเดียว
ถ้าสู้ในสภาแล้วสู้นอกสภาด้วยเหมือนที่กำลังทำกันอยู่
แต่เน้นในสภามากกว่า เช่น ไม่สามารถรณรงค์แก้กฏหมาย
หรือทำอะไรแบบสู้ข้างถนนได้ถนัด เพราะจะทำให้เสียภาพลักษณ์พรรคที่หนุน
แถมแกนนำ ก็กำลังเข้าไปสู้ในสภาด้วย ยิ่งทำให้การสู้นอกสภา
กลายเป็นเหมือนบอดี้การ์ดประจำพรรคดีๆ นี่เอง
คือสู้ยังไงก็ไม่พ้นเล่นในสภาอยู่ดี
เช่น มีเลือกตั้งก็ต้องมาช่วยหาเสียงเลือกตั้ง เป็นต้น
แถมพอสู้นอกสภาแล้วเผลอไปทำเสียภาพลักษณ์หรือไปติดกับภาพลักษณ์ที่ไม่ดีไม่งาม
แล้วเมื่อมารวมกับพรรคที่สู้ในสภาก็กลายเป็นว่าไปถ่วงความเจริญพรรคเข้าไปอีก
กลายเป็นลักษณะพันแข้งพันขากันมากกว่า คือสู้นอกสภาได้ไม่เต็มที่
กลัวจะเสียภาพลักษณ์พรรคที่สู้ในสภา แถมยังนำภาพลักษณ์ที่ไม่ดีมาติดพรรคอีก
ส่วนพรรคที่สู้ในสภาก็ไม่กล้าจริง ตั้งแต่ผู้นำพรรคมาเลย
ก็เลยกลายเป็นว่าทั้งสู้ในสภาและนอกสภาต่างถ่วงความเจริญกันและกันดีๆ นี่เอง
ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการสู้ไปหมอบไปนั่นแหล่ะ
แต่ถ้าสู้แบบนอกสภาขาเดียว โดยไม่สนใจจะไปเล่นในสภา
ส่วนในสภามีพรรคอยู่แล้วก็เล่นกันไปตามปกติ หาเสียงกันเองได้อยู่แล้ว
ส่วนม็อบสู้นอกสภาก็เน้นสู้เพื่อทำโครงสร้างให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
ไม่อิงพรรคใดๆ แต่ยินดีถ้ามีพรรคไหนจะแอบมาช่วยหนุนหลังให้
เหมือนพวก ปชป. หนุนพันธมิตร พันธมิตรจะเสียภาพลักษณ์ยังไง
พวก ปชป. ก็ไม่เกี่ยว ยกเว้นกรณีเดียวที่ไปตั้งนายกษิต
ที่พึ่งขึ้นเวทีพันธมิตรปิดสนามบินมาเป็น รมว.ต่างประเทศ
ไม่เช่นนั้นก็ไม่ติดร่างแหเลย แม้จะมีภาพ ส.ส. พรรค รถพรรค
ทุนพรรค คนของพรรคมาร่วมสนับสนุนพันธมิตรก็ตาม
การสู้แบบนอกสภาขาเดียวแบบนี้จะเป็นการสู้จริงจังมากกว่า
ไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์พรรคที่หนุน เพราะไม่ได้ออกหน้า
ส่วนภาพลักษณ์ม็อบก็ไม่จำเป็นนักเพราะไม่ได้ไปตั้งพรรคของม็อบแข่ง
ยกเว้นชนะแล้วเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว
ใครจะไปเล่นการเมืองกับพรรคไหน
ใครจะไปตั้งพรรคเองยังไงก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน
แบบนี้จะเป็นการสู้จริงๆ โดยไม่ต้องพะวงห่วงเลือกตั้ง
ไม่จำเป็นต้องชลอการเคลื่อนไหวเพื่อรอการเลือกตั้งก่อน
แถมยังสามารถเรียกร้องรณรงค์นั่นนี่ได้สะดวกมากกว่า
ไปผูกติดกับพรรคแล้วทำอะไรกลัวพรรคจะเสียหายไปด้วย
แบบที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้
การหวังทำม็อบโดยหวังว่าจะกลายเป็นพรรคไปด้วย
ถ้านำมาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
หรือสิ่งแวดล้อมของไทยในปัจจุบันนี้
ถ้ามันง่ายแบบนั้น ก็คงไม่ต้องมีม็อบ
แค่พรรคเล่นในสภาอย่างเดียวก็ได้แล้ว
ดังนั้นการทำม็อบสู้กับผู้มีอำนาจนั้น
เลิกหวังการรักษาภาพลักษณ์อะไรได้เลย
ถ้ายังห่วงก็ไม่มีทางชนะ
ส่วนเรื่องภาพลักษณ์ก็เป็นหน้าที่
ของพรรคการเมืองที่หนุนหลังอยู่แล้ว
ที่เขาจะกวาดมวลชนมาหนุนพรรคอยู่แล้ว
เพียงแต่การสนับสนุนมวลชนมาร่วมม็อบ
ต้องไม่โฉ่งฉ่างควรธรรมชาติให้มากที่สุด
จะเห็นได้ว่ามวลชนก็ไปขึ้นกับพรรคอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นเลยที่ม็อบจะไปสร้างมวลชนแข่ง
เพียงแต่ขอแบ่งมวลชนของพรรคที่หนุน
มาร่วมม็อบแบบไม่ผูกติดกับพรรคจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
การทำม็อบไปรักษาภาพลักษณ์ไปเหมือนหวังลึกๆ ว่า
จะตั้งพรรคกันในวันข้างหน้าเหมือนพวกพันธมิตร
มันไม่มีประโยชน์เพราะมวลชนส่วนใหญ่ยามนี้
หนุนพรรคที่มาหนุนม็อบมากกว่า
และธรรมชาติของม็อบการจะหามวลชน
แข่งกับระบบการหาเสียงของพรรคสู้ไม่ได้อยู่แล้ว
แต่จะทำให้การเดินหน้าสู้เพื่อให้ได้โครงสร้าง
ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่คืบหน้า
ถ้าหวังแก้กฏหมายและรัฐธรรมนูญในสภา
แบบปกติอย่างเดียว ชาตินี้ก็ไม่มีหวัง
เพราะว่าฝ่ายที่หนุนพวกเขาก็มีมาก
การแก้กฏหมายก็เจอป่วนนั่นนี่ได้
รวมไปถึงการตัดสินให้โมฆะได้
ชลอเป็นปีๆ ในขบวนการต่างๆ ได้
ปัจจุบันม็อบเสื้อแดงแทบจะรวมกับพรรคเพื่อไทย
จนกลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว มีการหาเสียงให้พรรค
มีแกนนำลงสมัครในนามพรรค จะทำอะไรก็ไม่ได้
กลัวเสียภาพลักษณ์พรรค จนกลายเป็นม็อบประจำพรรคไปแล้ว
จึงขอเสนอว่า สู้นอกสภาขาเดียวด้วยภาคประชาชน
และนักการเมืองที่ไม่หวังเล่นการเมืองช่วงนี้
จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
พรรคที่หนุนม็อบนี้สามารถแอบหนุนได้หลายพรรค
ไม่ใช่ผูกขาดแค่พรรคเดียว ส่วนการหาเสียงเลือกตั้ง
สู้ในสภากันตามปกตินั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละพรรคไปแข่งขันกัน
มันจะต่างกับวิธีสู้แบบ 2 ขาในปัจจุบัน
ที่ไม่ต่างอะไรกับห่วงโซ่บังทอง คล้องกันไว้แบบเห็นๆ
เรื่องไม่ดีของม็อบพรรคก็โดนด้วย และเคลื่อนไหวมีข้อจำกัดมากมาย
นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่กล้า แล้วจะไปเรียกร้องได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงมาได้ยังไง
เลิกหวังการแก้กฏหมายรวมทั้งรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้
ไม่มีใครเขาให้เกิดได้ในสภาง่ายๆ รวมไปถึงทั้งพรรคที่หนุนปัจจุบัน
ก็หาคนกล้ายากเต็มทน ที่จะกล้าเสนอสิ่งที่ว่าให้เป็นจริง
การสู้หนึ่งขานอกสภาโดยประชาชน จะไม่สนการเลือกตั้ง
จะเคลื่อนไหวไปตามปกติ ส่วนถ้ามีการเลือกตั้ง
แต่ละพรรคในสภาก็ไปหาเสียงว่ากันตามปกติ ไม่เกี่ยวกัน
ไม่มีเรื่องอะไรมาทำให้ว๊อกแว๊ก ไม่เช่นนั้นแล้วพอม็อบแรงๆ
พวกก็แกล้งชลอด้วยการเลือกตั้งก็แผ่วความคึกไปอีกหลายๆ เดือนได้
พรรค ปชป. หนุนพันธมิตร เขายังมีเทคนิคแยกตัวออกจากกันได้
เพราะแกนนำพันธมิตรไม่ได้มาลงสมัคร ส.ส. ในนาม ปชป.
ส่วนแกนนำเสื้อแดงสมัยก่อนเป็น ส.ส. มาร่วมม็อบก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัว
แต่นี่กำลังจะแห่เข้าไปสมัครอีกมากมายแถมกำลังทำม็อบหาเสียงให้พรรค
ข้อหลังนี่แหล่ะ ที่ม็อบเสื้อแดงทำกันเอง ไม่ได้โดนเขาสร้างภาพป้ายสีให้เป็น
ในขณะที่ ปชป. กำลังสร้างภาพฉีกตัวจากพวกพันธมิตร
ส่วนข้ออ้างที่ว่า แกนนำต้องเป็น ส.ส. เพื่อมีเอกสิทธิ์คุ้มครองอะไร
ก็ไม่จริงหรอกครับ วีระก็ไม่ได้เป็น ส.ส. เคยเป็นประธานม็อบเสื้อแดง
ช่วงม็อบปีที่แล้วที่โดนคดีกันมากมายก็ไม่เห็นเข้าคุกไปกับเขาด้วย
ถ้าพวกนั้นคิดจะทำมีหรือจะรอด
หรือกรณี 7 แกนนำที่เพิ่งออกจากคุกมา
โดน DSI ถอนประกัน ก็ยังอยู่ได้ดีเพราะเขาไม่ถอน
ตอนนี้ก็ไม่มีเอกสิทธิ์อะไรคุ้มครองด้วยซ้ำ
นี่จึงเป็นหลักฐานชี้ให้เห็นว่าข้ออ้างไปเป็น ส.ส.
ไม่เกี่ยวกับเรื่องเอกสิทธิ์คุ้มครองใดๆ ถ้ายังทำม็อบในโอวาทเขา
แม้บนเวทีจะขึงขังด่ายังไง แต่ด้านล่างโลโก้เอย ป้ายด่าพวกนั้นเอย
หายเกลี้ยงอะไรแบบนี้ เขาก็คงยังปล่อยไว้อยู่
แค่ข่มขู่ในแต่ละอาทิตย์ไปวันๆ เท่านั้นเอง
เอาเป็นว่าถ้าอยากสู้นอกสภาแบบไม่มีข้อจำกัด
ต้องแยกตัวออกจากพรรคให้ขาด
แต่เบื้องหลังจะเกี่ยวก้อยยังไงก็ทำไป
เพราะจะไม่กระทบพรรค มวลชนหลักให้พรรคหาเสียง
หามวลชนเป็นกอบเป็นกำไปเรื่อยๆ
แต่มวลชนที่เคลื่อนไหวกับม็อบก็ไปดึงมาจากมวลชนพรรค
หรือพรรคช่วยหนุนมาอะไรแบบนั้น
ม็อบก็ไปได้แบบอิสระ พรรคก็ไปได้แบบอิสระ
เหมือนเรือแยกจากกัน ลำไหนไฟไหม้ก็ไม่ลามไปอีกลำ
แต่ถ้าผูกติดกันลำไหนไหม้ก็ไหม้ลามถึงกันทั้งคู่
แล้วจะกอดคอทำอะไรที่มีข้อจำกัดไปทำไมกัน
เพราะการแยกออกมาเล่นนอกสภา
มันไม่ควรมีข้อจำกัดมากเหมือนเล่นในสภา
แต่การกอดคอกันแบบปัจจุบัน
มันกำลังทำให้มีข้อจำกัดเล่นนอกสภาได้ไม่เต็มที่
ทำไปทำมาต้องอยู่ภายใต้เล่นในสภาในที่สุด
แรงมากก็ไม่ได้ ทำนั่นนี่ก็ไม่ได้
เรียกร้องแก้กฏหมายแรงๆ ก็ไม่ได้
แล้วจะทำม็อบไปทำไมกัน
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.