บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


08 เมษายน 2554

<<< ลำดับเหตุการณ์ สงครามกลางเมืองลิเบีย >>>

ลิเบียวิกฤติหนัก รบ.สลายการชุมนุมกลุ่มต่อต้าน สังเวย 80 ศพ
ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวต่างประเทศ
20 กุมภาพันธ์ 2554, 03:45 น.

กองกำลังความมั่นคงของทางการลิเบียเดินหน้าสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลทางภาคตะวันออกของประเทศ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 80 ราย ขณะที่พันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบียยังคงเก็บตัวเงียบ...
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ว่า ยอดผู้เสียชีวิตในลิเบียได้เพิ่มเป็นมากกว่า 80 รายแล้ว หลังจากที่กองกำลังความมั่นคงเปิดฉากใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลของพันเอกมูอัมมาร์ อาบู มินยาร์ อัล กัดดาฟี หรือ "มูอัมมาร์ กัดดาฟี" ที่ครองอำนาจมาตั้งแต่เดือน ก.ย. 1969

รายงานข่าวระบุว่า กองกำลังความมั่นคงที่ขึ้นตรงต่อพันเอกกัดดาฟีได้รุกเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงที่มีจำนวนหลายพันคนที่ปักหลักประท้วงขับไล่รัฐบาลมานาน 5 วัน ณ เมืองเบงกาซีทางภาคตะวันออกของประเทศ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามแล้วไม่ต่ำกว่า 80 คนและบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน รัฐบาลลิเบียได้สั่งบล็อคเว็บไซต์ประเภทเครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังอย่างเฟซบุ๊กเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมและสร้างความปั่นป่วนในประเทศ รวมถึง มีการระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตในหลายพื้นที่เช่นกัน

ก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดี (17) ที่ผ่านมา กองกำลังความมั่นคงของลิเบียก็เพิ่งสังหารผู้ชุมนุมไปอย่างน้อย 24 รายที่เมืองเบงกาซีแห่งนี้ ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศและถือเป็นฐานที่มั่นสำคัญของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลิเบียมานานหลายปี

อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ พันเอกกัดดาฟียังคงเก็บตัวเงียบและไม่มีการออกแถลงการณ์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติแต่อย่างใด แม้สถานการณ์ในลิเบียจะเลวร้ายลงทุกขณะ ท่ามกลางความกังวลของนานาชาติ

ทั้งนี้ พันเอกกัดดาฟีในวัย 68 ปีถือเป็นผู้นำที่ครองอำนาจยาวมากกว่า 4 ทศวรรษ ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่นานที่สุดในโลกอาหรับในขณะนี้

http://www.thairath.co.th/content/oversea/150318

--------------------------------------------------------------------------------

ลิเบียวิกฤติ กัดดาฟี สั่งทหารยิงผู้ประท้วงตายกว่า 200 คน
บทความนี้เขียนโดย supernova, โพสต์เมื่อ วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011 เวลา 10:27:07

ประชาชนชาวลิเบียถูกสังหารโหดในการชุมนุมขับไล่ประธานาธิบดี
รายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศแจ้งว่า สถานการณ์การประท้วงขับไล่ผู้นำของประชาชนในประเทศลิเบียวิกฤตหนักที่สุด นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ประท้วงต่อเนื่องในแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง หลังผู้ชุมนุมประเทศตูนีเซียกับอียิปต์ทำสำเร็จ ทำให้การประท้วงลุกลามไปในหลายชาติ ทั้ง บาห์เรน เยเมน อิหร่าน และลิเบีย
ทั้งนี้ สถานการณ์การที่รุนแรงที่สุดคือในประเทศลิเบีย หลังประชาชนออกมารวมตัวขับไล่ นายโมอัมมาร์ กัดดาฟี ประธานาธิบดีผู้ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปีโดยเมื่อวันที่ 19 ก.พ. รัฐบาลลิเบียได้ใช้กำลังกวาดล้างกลุ่มผู้ประท้วงอย่างหนักด้วยอาวุธปืน ทำให้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตกว่า 200 รายแล้ว
สำหรับเหตุการณ์ในวันเสาร์นั้น เจ้าหน้าที่รัฐได้เปิดฉากโจมตีผู้ประท้วงด้วยความรุนแรง ทั้งการใช้ทหารรับจ้างจากต่างประเทศเข้าปราบปรามผู้ประท้วง การนำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินและยิงลงมาใส่ การใช้พลซุ่มยิงคอยโจมตีผู้ประท้วงด้วย ซึ่งสภาพศพผู้เสียชีวิตหลายรายมีรอยกระสุนที่ศีรษะ โดยหลายคนกล่าวถึงเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ว่าเป็นการสังหารหมู่
อย่างไรก็ตาม ผู้ประท้วงก็มีการใช่อาวุธตอบโต้กับตำรวจโดยใช้ปืนยิงใส่ และยังใช้รถบรรทุกระเบิดเป็นอาวุธ พร้อมกับรถถังที่ยึดมาเข้าโจมตีค่ายทหารในเมืองด้วย
ล่าสุด ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เปิดเผยว่าเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาที่เมือง เบงกาซี เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ประชาชนได้ออกมารวมตัวประท้วงขับไล่ประธานาธิบดี โมอัมมาร์ กัดดาฟี อย่างต่อเนื่องโดยไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด แม้ในวันเสาร์ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จะใช้ยิงใส่ผู้ประท้วงด้วยกระสุนจริงก็ตาม

เรียบเรียงข่าวโดย Mthai news
http://news.mthai.com/world-news/104039.html

--------------------------------------------------------------------------------

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7395 ข่าวสดรายวัน
"กัดดาฟี"เดิมพัน ปราบม็อบ-ลิเบียแตก

คลื่นความรุนแรงทางการเมืองในภูมิ ภาคอาหรับและแอฟริกาเหนือยังคงทวีความวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง สัปดาห์นี้ "การนองเลือด" เกิดขึ้นที่ "ลิเบีย"

เขย่าบัลลังก์ โมอัมมาร์ กัดดาฟี เจ้าของสถิติผู้ยึดครองการนำประเทศมานาน 42 ปี

สถานการณ์ดุเดือดเลือดพล่านยิ่งกว่าเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในตูนิเซีย และอียิปต์ ก่อนหน้านี้

แนวทางการรับมือกับกลุ่มผู้ที่ชุมนุมประท้วงต่อต้านนายกัดดาฟีนั้นออกไปในแนว "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน"

กัดดาฟีเลือกใช้วิธีการเด็ดขาด โหดเหี้ยม ในการปราบปรามฝูงชน จนมีผู้ไม่เห็นด้วยและทยอยกันลาออกจากรัฐบาลมากมาย

นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวการแบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็นลิเบียตะวันตก ซึ่งเป็นดินแดนของผู้ที่สนับสนุนนายกัดดาฟี กับลิเบียตะวันออก มีเมืองเบงกาซี เป็นศูนย์กลาง ซึ่งปัจจุบันถูกกลุ่มผู้ประท้วงยึด ครองไปหมดแล้ว

"สงครามกลางเมือง" ที่กัดดาฟีและลูกชายประกาศกร้าวไว้ ปรากฏขึ้นดังคำขู่!

ถ้ามองย้อนกลับไปดูที่ประวัติของกัดดาฟี จะพบว่าความรุนแรงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับผู้นำสูงวัยคนนี้

โมอัมมาร์ กัดดาฟี เกิดเมื่อปีพ.ศ.2485 ที่เมืองเซิร์ต ประเทศลิเบีย เติบโตมาจนถึงกันยายน 2512 ก็นำกำลังทหารเข้ายึดครองอำนาจจากกษัตริย์ไอดริช ผู้ปกครองลิเบียคนก่อน ด้วยการปฏิวัติที่นองเลือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของลิเบีย

ลิเบียเคยถูกเพ่งเล็งว่าให้การสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มต่างๆ ของปาเลสไตน์

เมื่อกัดดาฟีขึ้นสู่อำนาจ สหรัฐก็ตราหน้าลิเบียทันทีว่าเป็นประเทศสนับสนุนการก่อการร้าย

พ.ศ.2529 ลิเบียถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรมสถานบันเทิงในเบอร์ลิน เยอรมนี ที่มีเป้าหมายสังหารทหารอเมริกัน ทาง ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ของสหรัฐในตอนนั้นไม่รอช้า สั่งการให้กองเรือรบสหรัฐเข้าไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พร้อมส่งเครื่องบินรบเข้าทิ้งระเบิดกรุงตริโปลี และเมืองเบงกาซี

พ.ศ.2531 เกิดเหตุวินาศกรรมสะท้านโลก เมื่อเครื่องบินแพนแอม เที่ยวบินที่ 103 ระเบิดเหนือท้องฟ้าเมืองล็อกเคอร์บีของสกอตแลนด์ มีผู้เสียชีวิต 259 ราย

จากการสืบสวนของนานาชาตินำโดยสหรัฐ ระบุตัวผู้ต้องสงสัยเป็นชายชาวลิเบีย 2 คน แต่ลิเบียปฏิเสธที่จะส่งตัวผู้ต้องสงสัย

ต่อมาในปี 2535 และ 2536 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติคว่ำบาตรลิเบีย เป็นผลให้ลิเบียหันไปใช้แนวทางโดดเดี่ยวตนเองจากประชาคมโลก

สิบปีผ่านมา สถานการณ์ของลิเบียเริ่มคลี่คลายในปี 2546 เมื่อรัฐบาลกรุงตริโปลียอมมอบตัวผู้ต้องสงสัยคดีวางระเบิดเครื่องบินให้ไปขึ้นศาลนอกประเทศ นอกจากนี้ กัดดาฟียังประกาศยุติโครงการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูง ตลอดจนบอกว่าจะเลิกสนับสนุนสงครามและการก่อการร้ายทั้งปวง

ทำให้หลายประเทศในยุโรปรวมทั้งอิตาลีและสหราชอาณาจักรหันไปฟื้นฟูความสัมพันธ์กับลิเบียอีกครั้ง

แต่ช่วงเวลาหลายสิบปีภายใต้การปกครองของกัดดาฟี สังคมลิเบียต้องประสบกับการปิดกั้นและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก รัฐบาลมีกฎหมายเฉพาะสำหรับผู้ต้องสงสัยว่าจะแปรพักตร์ มีการจับกุม กักขัง ไปจนถึงประหารคนเป็นร้อยจากข้อหานี้

และจากสถานการณ์ความวุ่นวายในปัจจุบัน หลายฝ่ายเริ่มมองเห็นเค้าลางความล่มสลายของอาณาจักรกัดดาฟีชัดเจนขึ้น

ขณะเดียวกัน กัดดาฟีเริ่ม "แบ่งเค้ก" มอบอำนาจให้ลูกๆ เพื่อเป็นทายาทสืบต่ออำนาจ

ลูกแต่ละคนแบ่งเขตอิทธิพลสร้างอาณา จักรส่วนตัวกันเป็นล่ำเป็นสัน มูฮัมหมัด อัล กัดดาฟี ลูกชายคนโต ดูแลโทรคมนาคมการสื่อสารทั้งหมด

มูอาตัสซีม กัดดาฟี ลูกชายอีกคน เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ

นายฮันนิบาล กัดดาฟี มีอิทธิพลในการเดินเรือ และเคยเป็นข่าวโด่งดังกรณีทุบตีคนรับใช้ในโรงแรมแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์

นายคามิส กัดดาฟี บัญชาการหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ซาอาดี กัดดาฟี ลูกชายอีกคน ดูแลเขตการค้าเสรีทางตะวันตกของลิเบีย

ส่วน เซฟ อัล-อิสลาม กัดดาฟี ลูกชายคนรองถูกวางให้สืบทอดอำนาจจากกัดดาฟี แต่เดิมมีภาพลักษณ์ของผู้นำรุ่นใหม่ แต่สุดท้ายก็เผยให้เห็นความเกรี้ยวกราดไม่ต่างจากบิดา เมื่อออกโทรทัศน์ขู่ทำสงครามนองเลือดหากผู้ประท้วงยังไม่ยอมหยุด

นอกจากนี้ ลิเบียยังมีรายได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการขายน้ำมัน ซึ่งมากกว่างบประมาณแผ่นดิน และเชื่อว่าเงินจำนวนนี้ได้เข้าไปอยู่ในบัญชีทรัพย์สินของพันเอกกัดดาฟี และลูกทั้ง 9 คน

ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจที่กัดดาฟีโผล่จอทีวีเพื่อประกาศว่า "ยอมตาย-ไม่ยอมออก"

หน้า 10

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObWIzSXlNREkzTURJMU5BPT0=&sectionid=TURNd05nPT0=&day=TWpBeE1TMHdNaTB5Tnc9PQ==

--------------------------------------------------------------------------------

ต่างประเทศ 16 มีนาคม 2554 09:09:58
ผู้นำลิเบียประกาศกร้าวกวาดล้างกบฏให้สิ้น

ผู้นำลิเบีย ประกาศกร้าว เดินหน้ากวาดล้างกลุ่มกบฏ ที่จ้องล้มล้างรัฐบาล แช่ง ตะวันตก จ้องฮุบครองบ่อน้ำมัน ต้องพินาศ

พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ประกาศผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล ว่า จะดำเนินการกวาดล้างกลุ่มกบฏ ที่พยายามต่อต้านล้มล้างรัฐบาล มากว่า 1 เดือน ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในเร็วๆ นี้

"ผมไม่สนว่า เป็นแผนการของใคร คนในชาติที่จ้องทำลายรัฐบาลต้องปราบให้หมด ถ้าเป็นแผนของต่างชาติ ก็จะจัดการขั้นเด็ดขาด ทำลายให้ได้" กัดดาฟี กล่าว

ทั้งนี้ กัดดาฟี มั่นใจ และยินยันมาโดยตลอด ว่า สถานกาณณ์วุ่นวายการก่อการประท้วง จนนำมาซึ่งความแตกแยกของคนในชาติ มาจากการยุยงของกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์

นอกจากนี้ การประกาศผ่านสื่อของ กัดดาฟี ยังมีการกระทบกระแทกแดกดัน ชาติตะวันตะตก อย่าง สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และ ฝรั่งเศศ ที่จ้องจะใช้กำลังทหารบุกลิเบีย ว่า จะต้องพบกับความพินาศ หากคิดที่จะโจมตีลิเบีย เพราะ
ประชาชนผู้รักเสรีภาพของลิเบีย จะไม่ยอมให้ใครรุกราน รวมถึง ท้าทายประเทศอาหรับ และชาติต่างๆ ว่า กล้าให้เสรีภาพประชาชนเหมือนกับที่เขาได้ให้กับชาวลิเบีย หรือไม่

http://www.innnews.co.th/around.php?nid=274962

--------------------------------------------------------------------------------

ยูเอ็นประกาศเขตห้ามบินในลิเบียแล้ว
วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15:10:08 น.

องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) มีมติให้กำหนดเขตห้ามบินในลิเบีย และเปิดทางให้ใช้ทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองพลเรือนจากการถูกโจมตีของกองกำลังกัดดาฟี

ขณะที่ยังไม่มีความแน่ชัดว่ายูเอ็นจะนำมาตรการแทรกแซงประเภทใดมาใช้หรือเมื่อใดที่มาตรการดังกล่าวจะมีผล ขณะที่ฝรั่งเศสส่งสัญญาณว่าการกระทำครั้งนี้จะส่งผลกระทบอันใหญ่หลวง โดยยังไม่แน่ชัดว่าสหรัฐฯจะร่วมในมาตรการดังกล่าวหรือไม่ แต่คาดการณ์ว่าฝรั่งเศสและอังกฤษพร้อมทั้งสมาชิกประเทศกลุ่มอาหรับบางประเทศ อาจแสดงบทบาทสำคัญต่อมาตรการครั้งนี้

ที่ประชุมชาติสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอสซี ที่นครนิวยอร์ค มีมติเห็นชอบการกำหนดเขตห้ามบินในลิเบียด้วยคะแนนเสียง 10-0 ขณะที่อีก 5 ประเทศ ซึ่งรวมถึงจีนและรัสเซีย งดออกเสียง

ด้านฝรั่งเศส ระบุว่า พร้อมที่จะให้การสนับสนุนด้านการทหารเพื่อต่อต้าน พ.อ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี ในทันที ขณะที่สหรัฐก็ระบุเช่นกันว่ามีการเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติการ นอกจากนี้ ยูเอ็นเอสซียังระบุด้วยว่าสามารถใช้ทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชาวลิเบีย

ด้านรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศลิเบียกล่าวหลังยูเอ็นเอสซี มีมติกำหนดเขตห้ามบินว่า พ.อ.กัดดาฟี พร้อมที่จะหยุดยิงกับฝ่ายต่อต้าน แต่ต้องหารือก่อนว่าจะมีแนวทางดำเนินการเช่นไร พร้อมกันนี้ กัดดาฟี ได้ระงับแผนการที่จะส่งทหารไปยังเมืองเบนกาซี ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้านแล้ว

ด้านฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกล่าวแสดงความยินดีต่อมาตรการดังกล่าว ขณะที่โฆษกรัฐบาลลิเบียกล่าวว่าการกระทำของยูเอ็นครั้งนี้ เป็นการกระทำที่"ก้าวร้าว"

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1300435882&grpid=03&catid=06

--------------------------------------------------------------------------------

ลิเบียเดือดอีก"กัดดาฟี"ฝ่าฝืนประกาศหยุดยิง ส่งเครื่องบินทิ้งบอมบ์ใส่กลุ่มต่อต้านอย่างหนัก
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:40:04 น.

กองทัพลิเบียส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดถล่มฐานที่มั่นกลุ่มต่อต้านพ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ใจเมืองเบงกาซีอย่างหนัก ฝ่าฝืนข้อเรียกร้องจากนานาชาติที่ต้องการให้มีการหยุดยิงในลิเบียโดยเร็ว

ผู้นำจากชาติอาหรับ แอฟริกา สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่นๆ ได้เตรียมจัดการประชุมฉุกเฉินในวันนี้ (19 มี.ค.) เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในมาตรการการต่อต้านกองกำลังของนายกัดดาฟี ที่กำลังบดขยี้ฝ่ายต่อต้านอย่างหนัก

รัฐบาลภายใต้การนำของนายกัดดาฟี ได้ประกาศการหยุดยิงวานนี้ ทั้งนี้เพื่อพยายามเอาชนะการแทรกแซงทางทหารของชาติตะวันตกโดยใช้อุบาย

อย่างไรก็ดี ฝ่ายต่อต้านกล่าวว่า ภายหลังจากการประกาศเพียงไม่นาน กองทัพรัฐบาลก็เริ่มโจมตีอีกครั้ง และทหารของผู้นำลิเบียยังคงทิ้งระเบิดเหนือเมืองต่างๆอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้ปฏิบัติตามคำประกาศหยุดยิงที่ให้ไว้ และกล่าวหาว่าผู้นำลิเบียพูดโกหก

ในวันนี้ กลุ่มกบฏได้ยิงเครื่องบินรบที่ทำการทิ้งระเบิดบริเวณนอกเมืองเบงกาซี และก่อให้เกิดกลุ่มควันสีดำขนาดใหญ่ ขณะที่ประชาชนบางส่วนได้รวบรวมขวดแก้วเพื่อนำมาทำเป็นระเบิดเพลิง และนำเตียงนอนและท่อนเหล็กมาปิดกั้นถนน

ด้านฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งจับตาดูท่าทีหลังการประกาศหยุดยิงของลิเบียอย่างใกล้ชิด ร่วมเป็นแกนนำในการบังคับใช้แผนห้ามบิน โดยอังกฤษได้ส่งเครื่องบินรบไปลาดตระเวณบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และประกาศการประชุมสุดยอดวาระฉุกเฉินที่กรุงปารีส ร่วมกับยูเอ็น และสมาชิกชาติอาหรับ ส่วนนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้แถลงว่า สหรัฐฯจะช่วยสนับสนุนด้านอากาศยานเพียงอย่างเดียวเพื่อยุติความรุนแรงต่อพลเรือนในลิเบีย และให้ชาติพันธมิตรชาติยุโรปและชาติอาหรับ สามารถบังคับใช้เขตห้ามบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สถานการณ์ในลีเบียยังคงมีการโจมตีทางอากาศเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกองกำลังของ พ.อ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำประเทศลิเบีย แม้ว่าเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลลิเบียจะประกาศหยุดยิงตาม ตามข้อตกลงของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แล้วก็ตาม

ล่าสุดสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 19 มี.ค. ได้เกิดการโจมตีทางอากาศขึ้นทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเบงกาซี ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลลิเบีย โดยสามารถมองเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นจากพื้นที่ที่ตกเป็นเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ซึ่งผู้ที่อยู่ในเมืองเบนกาซี ระบุว่า ได้ยินเสียงเครื่องบินและระเบิดตลอดทั้งคืนรวมทั้งมีเสียงปืนต่อสู้อากาศยานเป็นระยะ

ทั้งนี้ถ้อยแถลงของประธานาธิบดีสหรัฐฯมีใจความสำคัญว่า สหรัฐฯไม่ได้เป็นผู้ใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อลิเบีย แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเท่านั้น สหรัฐฯเพียงมีส่วนร่วมและคาดหวังว่าบทบาทส่วนใหญ่จะตกไปอยู่กับบรรดาชาติหุ้นส่วน

นายโอบามาระบุว่า จะไม่ส่งเครื่องบินรบหรือ เครื่องบินทิ้งระเบิดเข้าไปถล่มลิเบีย แต่จะส่งเครื่องบินสอดแนม เอแว็คส์ เพื่อรวบรวมข่าวกรอง รวมถึงเครื่องบินบรรทุกน้ำมันเพื่อใช้ในการเติมน้ำมันทางอากาศและใช้เครื่องบินติดเรดาร์ เพื่อประสานกับหอบังคับการบิน เพื่อนำทางให้เครื่องบินของรบของชาติอื่น ที่ใช้ปฏิบัติการทางอากาศรวมทั้งมีการหารือกันเรื่องการส่งสัญญาณรบกวนทางอากาศ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการสื่อสารของกองทัพอากาศลิเบีย

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1300529258&grpid=00&catid=06

---------------------------------------------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2554
สหรัฐไม่เต็มใจรับบทผู้นำการถล่มลิเบีย

คมชัดลึก :สหรัฐไม่เต็มใจรับบทบาทผู้นำในการถล่มลิเบียด้านประธานา ธิบดีบารัค โอบาม่า เยือนละตินอเมริกาหวังกอบกู้อิทธิพล

(19มี.ค.) ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ได้พยายามจะจำกัดบทบาทของสหรัฐ ในการบังคับใช้เขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบีย ด้วยการจะสนับสนุนเฉพาะด้านอากาศยาน แต่ไม่สมัครใจที่จะสนับสนุนด้านอาวุธในการโจมตีเป้าหมายในลิเบีย โดยประธานาธิบดีโอบาม่า ได้แถลงทางโทรทัศน์ว่าสหรัฐจะช่วยสนับสนุนสมรรถนะเพียงอย่างเดียว เพื่อยุติความรุนแรงต่อพลเรือน เพื่อให้ชาติพันธมิตรชาติยุโรปและชาติอาหรับ สามารถบังคับใช้เขตห้ามบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐ ที่ไม่เปิดเผยนาม ระบุว่า ประธานาธิบดีโอบาม่า ได้เลือกถ้อยคำอย่างระมัดระวัง และผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว ซึ่งความหมายก็คือ สหรัฐไม่ได้เป็นผู้ใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อลิเบีย แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเท่านั้น และแม้โดยธรรมชาติแล้ว ความเป็นผุ้ที่มีขีดความสามารถสูงสุดในการทำสงคราม ทำให้สหรัฐถูกมองในฐานะประเทศที่มีบทบาทในการเป็นผู้นำ แต่ที่จริง สหรัฐเพียงมีส่วนร่วมและคาดหวังว่าบทบาทส่วนใหญ่จะตกไปอยู่กับ
บรรดาชาติหุ้นส่วน

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับคำว่า สหรัฐจะสนับสนุนสมรรถนะเพียงอย่างเดียว ในความหมายของประธานาธิบดีโอบาม่า เจ้าหน้าที่คนเดิม ตอบว่า ในเบื้องต้น สหรัฐจะไม่ส่งเครื่องบินรบหรือ เครื่องบินทิ้งระเบิดเข้าไปถล่มลิเบีย แต่จะส่งเครื่องบินสอดแนม เอแว็คส์ เพื่อรวบรวมข่าวกรอง รวมถึงเครื่องบินบรรทุกน้ำมันเพื่อใช้ในการเติมน้ำมันทางอากาศและใช้เครื่องบินติดเรดาร์ เพื่อประสานกับหอบังคับการบิน เพื่อนำทางให้เครื่องบินของรบของชาติอื่น ที่ใช้ปฏิบัติการทางอากาศ

นอกจากนี้ ได้มีการหารือกันเรื่องการส่งสัญญาณรบกวนทางอากาศ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการสื่อสารของกองทัพอากาศลิเบีย แต่สหรัฐใช้ขีปนาวุธเข้าช่วยและแม้ประธานาธิบดีโอบาม่าจะไม่เต็มใจสนับสนุนด้านอาวุธ แต่เขาก็ทราบดีว่า สหรัฐคงจะได้รับเสียงเรียกร้องให้ช่วยด้วยเช่นกัน

ประธานาธิบดีโอบาม่า ได้ออกเดินทางไปตระเวณเยือนประเทศในละติน อเมริกาแล้ว ที่หลายฝ่ายเชื่อว่า เป็นความพยายามกอบกู้อิทธิพลของสหรัฐในภูมิภาค และประเทศในกำหนดการเยือนของเขา ได้แก่ บราซิล ชิลี และเอล ซัลวาดอร์ ซึ่งการเยือนของผู้นำสหรัฐครั้งนี้ ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง หลังจากจีนได้ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจไปยังภูมิภาคนี้และแซงหน้าสหรัฐ ไปเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่สำคัญของบราซิล

http://www.komchadluek.net/detail/20110319/92051/สหรัฐไม่เต็มใจรับบทผู้นำการถล่มลิเบีย.html

--------------------------------------------------------------------------------

วันที่ 20 มีนาคม 2554 09:27
ฝรั่งเศสนำกองกำลังนานาชาติ ถล่มลิเบีย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

กองกำลังนานาชาติ ภายใต้การนำของฝรั่งเศส เปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อลิเบียแล้ว

กองกำลังนานาชาติ ภายใต้การนำของฝรั่งเศส เปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อลิเบีย เมื่อกลางดึกวานนี้ (19 มี.ค.) ตามเวลาในไทย เพื่อกดดันพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ยุติการใช้กำลังปราบปรามพลเรือน

ฝรั่งเศสเป็นชาติแรก ที่เริ่มส่งเครื่องบินรบเข้าโจมตี ภายใต้ปฏิบัติการที่มีชื่อเรียกว่า "ออดิสซี ดอว์น" ตามด้วยการสนับสนุนของอังกฤษ สหรัฐ แคนาดา และอิตาลี โดยมีเป้าหมายมุ่งโจมตีฐานทัพอากาศของลิเบียที่อยู่รอบๆ กรุงตริโปลี และยังมีการยิงจรวดจากเรือรบไปยังเป้าหมายอื่นๆ ในลิเบียด้วย

ปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายในการบังคับใช้เขตห้ามบินในลิเบีย เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพอากาศลิเบียโจมตีประชาชน ตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น)

พลเรือโท วิลเลียม อี. กอร์ตนีย์ ผู้บัญชาการศูนย์สั่งการส่วนกลางของกองทัพเรือสหรัฐ เผยว่า กองกำลังของสหรัฐ และอังกฤษ ยิงจรวดโทมาฮอร์ค กว่า 110 ลูก เข้าใส่เป้าหมาย ซึ่งเป็นฐานยิงจรวดมิสไซล์ทางอากาศและภาคพื้นดิน และฐานตรวจจับเรดาร์ของกองทัพอากาศลิเบีย รวมมากกว่า 20 แห่ง

นอกจากนี้ มีเรือรบจากหลายชาติราว 25 ลำ ซึ่งรวมถึงเรือดำน้ำจากสหรัฐ 3 ลำ ที่ติดจรวดโทมาฮอร์ค ได้เข้าประจำการในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว

แม้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐ จะย้ำว่า กองกำลังสหรัฐ จะมีบทบาทรองในความพยายามบังคับใช้เขตห้ามบินในลิเบีย แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ บอกว่า สหรัฐจำเป็นต้องเป็นผู้นำในปฏิบัติการดังกล่าวก่อน เพราะมีศักยภาพทางทหารสูงสุด ที่จะสามารถทำลายฐานทัพอากาศลิเบีย ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักหากจะควบคุมน่านฟ้าลิเบีย

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/world/20110320/382770/ฝรั่งเศสนำกองกำลังนานาชาติ-ถล่มลิเบีย.html

--------------------------------------------------------------------------------


วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2554
เปิดฉากโจมตีลิเบีย'กัดดาฟี'ประกาศสู้

คมชัดลึก :กองกำลังนานาชาติ นำโดยสหรัฐฯเปิดฉากโจมตีลิเบียคืนวานนี้ ผู้นำลิเบียประกาศจะปกป้องประเทศ จากสิ่งที่เรียกว่า"การรุกรานของผู้ต้องการทำสงครามศาสนา

(20มี.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กองกำลังของสหรัฐฯ และอีก 4 ชาติ ประกอบด้วย ฝรั่งเศส อังกฤษ แคนาดา และอิตาลีรวมถึงพันธมิตรชาติอาหรับ ได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศ เมื่อวันเสาร์ โดยกองกำลังสหรัฐฯใช้ทั้งเครื่องบินและเรือรบในปฏิบัติการที่เรียกว่า“ออดิสซี่ ดอว์น”(Odyssey Dawn)มีเป้าหมายมุ่งโจมตีฐานทัพอากาศของลิเบียที่อยู่รอบๆ เมืองทริโปลี เมืองหลวงของลิเบียและเมืองมิตซูราตะ และยังยิงจรวดมิสไซล์ จากเรือรบไปยังเป้าหมายอื่นๆ ในลิเบียด้วยปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายในการบังคับใช้เขตห้ามบินในลิเบีย เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพอากาศลิเบียโจมตีประชาชน ตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

พลเรือโท วิลเลียม อี.กอร์ตนีย์ ผู้บัญชาการศูนย์สั่งการส่วนกลางของกองทัพเรือสหรัฐฯบอกว่า กองกำลังของสหรัฐฯ และอังกฤษ ยิงจรวดโทมาฮอร์ค กว่า 110 ลูก เข้าใส่เป้าหมายซึ่งเป็นฐานยิงจรวดมิสไซล์ทางอากาศและภาคพื้นดินและฐานตรวจจับเรดาร์ของกองทัพอากาศลิเบีย รวมมากกว่า 20 แห่ง

นอกจากนี้ มีเรือรบจากหลายชาติราว 25 ลำ ซึ่งรวมถึงเรือดำน้ำจากสหรัฐฯ 3 ลำ ที่ติดจรวดโทมาฮอร์ค ได้เข้าประจำการในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว

แม้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาจะย้ำว่า กองกำลังสหรัฐฯ จะมีบทบาทรองในความพยายามบังคับใช้เขตห้ามบินในลิเบีย แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ บอกว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องเป็นผู้นำในปฏิบัติการดังกล่าวก่อน เพราะมีศักยภาพทางทหารสูงสุด ที่จะสามารถทำลายฐานทัพอากาศลิเบีย ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักหากจะควบคุมน่านฟ้าลิเบีย

ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ บอกกับวุฒิสภาสหรัฐฯเมื่อวันพฤหัสบดีทีผ่านมาว่า การบังคับใช้เขตห้ามบินในลิเบีย อาจต้องใช้เวลามากกว่า
1 สัปดาห์จึงจะสำเร็จ

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ลิเบียประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียว หลังคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติมีมติกำหนดเขตห้ามบินเหนือลิเบีย เพื่อป้องกันไม่ให้กองกำลังของกัดดาฟี
ใช้กำลังโจมตีประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาล แต่ฝ่ายต่อต้านนายกัดดาฟีระบุว่า ยังคงถูกโจมตีด้วยกระสุนปืนใหญ่อย่างต่อเนื่อง

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา บอกระหว่างการเยือนบราซิลว่า การโจมตีไม่ใช่ทางเลือกที่สหรัฐฯหรือประเทศพันธมิตรต้องการจะทำ แต่ทุกประเทศไม่สามารถนิ่งเฉย เมื่อผู้นำเผด็จการลิเบียบอกประชาชนของตนว่า จะจัดการอย่างไร้ซึ่งความปรานี และย้ำว่าตนจะไม่ส่งกำลังทหารภาคพื้นดินเข้าไปในลิเบีย

ส่วนพันเอก โมอัมมาร์ กัดดาฟี ซึ่งปกครองลิเบียมา 41 ปี พูดผ่านโทรศัพท์ในรายการของสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลลิเบียว่า ตนจะพิจารณาเปิดคลังอาวุธ เพื่อให้ประชาชนจับอาวุธป้องกันตนเอง และเรียกการโจมตีของกองกำลังนานาชาติ ว่าเป็นการรุกรานของผู้ที่ต้องการทำสงครามศาสนา ซึ่งกำลังจุดชนวนให้เกิดสงครามศาสานาครั้งใหญ่รอบใหม่

เขาบอกว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติต้องรับผิดชอบ และต้องหยุดการรุกรานอธิปไตยของลิเบียทันที พร้อมเตือนว่าการโจมตีของกองกำลังนานาชาติ จะทำให้ภูมิภาคแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแอฟริกาตอนเหนือกำลังตกอยู่ในอัตรายและประชาชนอยู่ในความเสี่ยง

ในขณะที่กองกำลังที่สนับสนุนนายกัดดาฟีหลายพันนาย ได้ประจำการที่ค่ายทหารบ๊าบ อัล-อาซีซีย่า ในเมืองทริโปลี ซึ่งเป็นที่พักของนายกัดดาฟี เพื่อป้องกันการถูกโจมตี

พลเรือโท วิลเลียม อี กอร์ตนีย์ บอกว่า ปฏิบัติการ "ออดิซซี่ ดอว์น" (Odyssey Dawn)มี 2 เป้าหมาย นั่นคือ ป้องกันไม่ให้กองกำลังของนายกัดดาฟีโจมตีประชาชนทางอากาศ และลดทอนศักยภาพทางทหารของลิเบีย เพื่อให้เกิดการบังคับใช้เขตห้ามบินตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นปฏิบัติการทางทหารร่วมกันของกองกำลังนานาชาติครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่สงครามอิรัก

ในขณะที่สถานีโทรทัศน์ของทางการลิเบีย อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ในกองทัพลิเบียว่ามีผู้เสียชีวิต 48 คน และอีก 150คน ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของกองกำลังนานาชาติ โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็ก แต่เบื้องต้นยังไม่สามารถยืนยันได้

ในอดีตสหรัฐฯเคยโจมตีทางอากาศต่อลิเบีย ในสมัยอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน เมื่อ 25 ปีที่แล้ว หลังเหตุระเบิดในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมนี ทำให้ทหารอเมริกัน 2 นายเสียชีวิต ซึ่งสหรัฐฯ โทษลิเบียว่ามีส่วนในเหตุระเบิดดังกล่าว

http://www.komchadluek.net/detail/20110320/92086/เปิดฉากโจมตีลิเบียกัดดาฟีประกาศสู้.html

--------------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2554
'จีน-รัสเซีย'ค้านนานาชาติโจมตีลิเบีย

คมชัดลึก :จีนและรัสเซียแสดงความเสียใจต่อกรณีที่นานาชาติเปิดฉากโจมตีลิเบีย ขณะที่รัฐบาลไทยพร้อมช่วยคนไทยในลิเบีย แจงตัวเลขคนไทยบาดเจ็บยังศูนย์ พร้อมเฝ้าติดราคาน้ำมัน

(20มี.ค.) ประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่งดออกเสียงในการอนุมัติมติกำหนดเขตห้ามบินในลิเบียของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ระบุในแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศ ว่า จีนคัดค้านการใช้กำลังกับปัญหาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ด้านรัสเซีย ซึ่งก็งดออกเสียงในการอนุมัติมติเขตห้ามบิน ก็ออกแถลงการณ์โดยใช้คำพูดคล้ายๆกันรวมทั้งยังเรียกร้องให้มีการหยุดยิงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แถลงการณ์ของจีน ไม่ได้พูดถึงเรื่องการหยุดยิง แต่บอกว่าจีนเคารพในอธิปไตย เอกราช และบูรณภาพแห่งดินแดนของลิเบีย รวมทั้งหวังว่าลิเบียจะสามารถฟื้นฟูเสถียรภาพเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และหลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายพลเรือนเพิ่มเติมจากกรณีพิพาททางด้านอาวุธที่รุนแรงขึ้น

จีนและรัสเซีย เป็นแกนนำในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติที่คัดค้านการใช้กำลังทางทหารกับลิเบีย แต่ทั้งสองประเทศก็ไม่ได้ใช้อำนาจที่มีอยู่ในการขัดขวางการ
ออกมติ แต่ก็ประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมในการปฏิบัติการณ์เพื่อกำหนดเขตห้ามบินเหนือลิเบีย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางในการช่วยเหลือคนไทยในลิเบียภายหลังกลุ่มชาติยุโรปได้หารือถึงการใช้กำลังทหารจัดการกับรัฐบาลลิเบียว่า ได้สอบถามผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่าจะมีผลกระทบอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ และจะประเมินซึ่งการสู้รบที่เกิดขึ้นอยู่ทางตอนเหนือทั้งหมด ซึ่งแรงงานไทยที่เคยอยู่ตรงนั้นก็ได้นำออกมาหมดแล้ว ยกเว้นคนที่สมัครใจอยู่ก่อนหน้านี้ แต่เรายังติดตามอย่างต่อเนื่องเพราะว่าถ้าเมื่อไรที่พวกเขาต้องการกลับมาก็ต้องเข้าไปช่วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ความรุนแรงจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องติดตามดู เพราะจริงๆ แล้ว กำลังการผลิตของโลกมันสามารถที่จะรองรับได้แ แต่สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างผันผวน ซึ่งจะเห็นว่าพอเกิดเหตุที่ตะวันออกกลางและประเทศญี่ปุ่นก็มีทั้งขึ้นและลง เราก็มีการติดตามสถานการณ์อยู่

เมื่อถามว่า ประเมินได้หรือไม่ว่าคนไทยที่สมัครใจอยู่ที่ประเทศลิเบีย มีจำนวนเท่าใด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจ เมื่อสักครู่ถามปลัดฯ บอกแต่เพียงว่า ส่วนที่ไปและไปทำงานเพียงชั่วคราวได้กลับมาแล้ว ส่วนใหญ่คนที่อยู่นั้นจะเป็นคนที่อยู่มานานแล้ว และมีความรู้สึกผูกพันกับที่นั่น และขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะประสานงานให้กลับมาได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แน่นอน ถ้ามีคนไทยคนใดที่ต้องการจะเดินทางกลับ เราก็จะเดินหน้าในการที่จะดูแล ไม่ใช่เฉพาะในประเทศลิเบียเท่านั้น ประเทศเยเมนรวมถึงประเทศอื่นๆเราก็ดูแลอยู่

เมื่อถามว่า สถานการณ์ต่างๆในขณะนี้ ถือว่าก้าวข้ามความรุนแรงมากขึ้นในระดับไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ต้องรอดูท่าทีของกลุ่มประเทศตะวันตก ซึ่งขณะนี้ก็เข้าไปดำเนินการอยู่ ว่าระดับไหน เพราะถ้าดูจากข่าวขณะนี้หรือรายงานในขณะนี้ เป็นเรื่องของการบังคับใช้เขตห้ามบิน ยังไม่ไปถึงขั้นที่ว่าจะมีการส่งกำลังอะไรต่างๆ เข้าไป

ด้านนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการดูแลคนไทยในประเทศลิเบียล่าสุด ภายหลังที่กองทัพสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสเริ่มเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อลิเบีย เพื่อกดดันพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ยุติการใช้กำลังปราบปรามพลเรือนทางอากาศ ว่า ในขณะนี้ มีคนไทยอยู่ในลิเบีย ราว 80 คน กระจัดกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศลิเบีย ส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่ตั้งรกรากและมีครอบครัวกับชาวลิเบีย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงตริโปลี ได้ติดต่อสอบถามความเป็นอยู่และดูแลคนไทยกลุ่มดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ว่า สถานภาพล่าสุดเป็นอย่างไร และมีความต้องการจะเดินทางกลับประเทศไทยหรือไม่ โดยกระทรวงการต่างประเทศพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับไทย

http://www.komchadluek.net/detail/20110320/92098/จีนรัสเซียค้านนานาชาติโจมตีลิเบีย.html

--------------------------------------------------------------------------------

“จุดเริ่มต้น – สงคราม – ความสูญเสีย” ประมวลสถานการณ์ในลิเบีย
วันอังคาร 22 มีนาคม 2554 11:02

จุดเริ่มต้น ปฎิวัติในลิเบีย

การเริ่มต้นต่อกระแสปฎิวัติในแถบแอฟริกาเหนือ ที่เริ่มต้นในประเทศตูนิเซีย โดยประชาชนชาวตูนิเซีย ลุกฮือ ประท้วงการทำหน้าที่ไม่มีความชอบธรรมและการทุจริต คอรัปชั่นของผู้นำตูนิเซีย และวงศาคณาญาติ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการประท้วงในตุนิเซีย และเป็นการจุดกระแส ปลุกเชื้อไฟ ในการปฎิวัติประเทศของประเทศโดยรอบ นับแต่ในช่วงเวลานั้น

เช่นเดียวกัน ชาวลิเบีย ก็ได้รับกระแสการปฎิวัติเช่นกัน โดยการลุกฮือ ประท้วงถึงจุดขีดสุด เมื่อกลุ่มต่อต้าน ผู้นำลิเบีย “กัดดาฟี” ตัดสินใจเดินหน้า ท้าชน หวังล้มกัดดาฟี เปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศ และสร้างรูปแบบการเมืองที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน

ทว่า หลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจาก “กัดดาฟี” ตัดสินใจ พร้อมรบ ท้าชน โดดยมีกลุ่มผู้สนับสนุน เป็นแนวร่วมชั้นดี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเริ่มต้น ของหนังม้วนยาว เพียงในหนึ่งสัปดาห์ การประท้วงแพร่ขยายเป็นวงกว้างไปในพื้นที่โดยรอบ ในขณะที่ กัดดาฟี ยืนหยัด จะต่อสู้กับกลุ่มต่อต้าน ชนิด ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง !

กัดดาฟี เริ่มปฎิบัติการ ด้วยการใช้กำลังทหาร และมาตราการปิดกัน บดบัง ในทุกรูปแบบ รวมไปถึง การปิดกั้นสื่อ ใช้แห่อวนตาถี่ปิดบังภารกิจ ปิดประตูตีแมว

กัดดาฟี ใช้มาตราการโอนอ่อนผ่อนตาม ด้วยการส่งผู้แทนระดับสูง เพื่อไปขอเจรจากับผู้ต่อต้าน แต่กลุ่มผู้ต่อต้าน ปฎิเสธการเจรจาอย่างสิ้นเชิง มากไปกว่านั้น กลุ่มผู้ต่อต้านยืนกราน กัดดาฟี ต้องลาออกเท่านั้น ซึ่งหลังจากการไม่รับข้อเสนอกัดดาฟีนี้ วันรุ่งขึ้น กัดดาฟี เลือกมาตราการรุนแรง สั่งฆ่าและสังหารประชาชน เป็นผักปลา

การตัดสินใจเล่นบทบู๊ของกัดดาฟี ส่งผลให้หลายองค์กร เกิดความไม่พอใจ และประณามการดำเนินการปราบปรามประชาชนของกัดดาฟี รวมไปถึง องค์กรด้านมนุษยชน ออกมาประณามกันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม กัดดาฟี กลับไม่สนใจการท้วงติง หรือการประณามของใครๆ ใด ๆ ทั้งสิ้น เข้าตำราไม่ฟังอีร้าคาอีรม หนำซ้ำ ประกาศยืนหยัดต่อสู้เพื้อเกาะเก้าอี้ การเป็นผู้นำในลิเบีย

กัดดาฟี สั่งการเดินหน้าทำลายล้าง กลุ่มผู้ต่อต้าน โดยใช้กองกำลังปราบปรามและผลักดัน ทำลานย ฐานที่มั่นของกลุ่มผู้ต่อต้าน ซึ่งมีฐานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตลอดชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะ เมืองเบรก้า (Brega) เมือง รา ลานุฟ (Ra’s Lanuf) และ บิน จาร์วาด (Bin Jawad)

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา กัดดาฟี ชักเหิมเกริม สั่งเดินหน้าแบเต็มพิกัด ไม่สนใจความกดดันแบบรอบมิติจากเวทีโลก เดินหน้าสาดกระสุนใส่ผู้ต่อต้าน

จนมาถึง จุดแตกหัก เมื่อที่ประชุม ยูเอ็น เริ่มมีท่าทีต่อปฎิบัติการของกัดดาฟี แล้วทางที่ประชุมจึงมีมติ สั่งพื้นที่ภาคอากาศของลิเบีย เป็นพื้นที่ห้ามบิน (no-fly zones)

ท่ามกลาง การดำเนินการของยูเอ็น ส่งผลให้หลายๆ ประเทศ แทรกแซงกิจการภายในของลิเบียไปแบบเบร็ดเสร็จ ตามมาด้วย กระบวนการยุติปัญหาด้วยการเสนอให้ เมืองทริปโปลี (Tripoli) เป็นสถานที่ในการไตร่สวน ของศาลอาญาระหว่างประเทศ

ฝรั่งเศษ กลายเป็นประเทศแรกที่ตอบสนองการดำเนินการของยูเอ็น ด้วยการเสอน สภาการโอนย้ายระดับชาติ (National Transitional Council) อันทำหน้าที่ในการเคลื่อนย้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ออกจากลิเบีย

แต่หลายๆ มาตราการ ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องสงบ หรือเป็นไปในทิศทางที่ดีแต่ประการใด กลับกัน กัดดาฟี ยังคงเดินหน้าปราบปรามผู้ประท้วงอย่างต่อเนื่อง

จนเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2554 ที่ประชุมยูเอ็น ประกาศใช้มาตราการเด็ดขาด ด้วยการใช้กำลังเป็นทางออกของปัญหา ภารกิจครั้งนี้ ยูเอ็นแจงว่าเป็นการพิทักษ์ประชาชนผู้บริสุทธิ์ หยุดความเหิม เกริมของกัดดาฟี โดยมีพันธมิตร 6 ประเทศให้การสนับสนุนต่อภารกิจดังกล่าว โดยมีชื่อภารกิจที่แตกต่างออกกันไป

Operation Ellamy by the UK; ของสหราชอาณาจักร

Opération Harmattan by France; ของฝรั่งเศษ

Operation Mobile by Canada and Operation ของแคนาดา

Odyssey Dawn by the USA. ของสหรัฐฯ

ในวันเดียวกัน หลายๆ ภารกิจเริ่มต้นด้วยการโจมตีกลุ่มผู้สนับสนุนกัดดาฟี โดยภารกิจนี้เอง ส่งผลทำให้มีพลเมืองผู้บริสุทธิ์ ต้องมาเสียชีวิตขากภารกิจดังกล่าวด้วย อันเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีโลก

ในขณะเดียวกัน กัดดาฟีและกลุ่มผู้สนับสุน กลับไม่ยอมจำนน ประกาศกร้สวขอยืนหยัดสู้ กับกลุ่มชาติตะวันตก และประกาศทะลเมดิเตอร์เรเนียน จะเป็นสมรภูมรบอันยืดเยื้อตราบนานเท่านาน

อย่างไรก็ดี จนมาถึงในตอนนี้ 22 /03 /54 เหตุการณ์การปะทะยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสถานการณ์ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ดังต่อไปนี้

สัญญาณปะทะเดือดเริ่มแล้ว ! พันธมิตร ยิงโทมาฮอว์ก-ทิ้งระเบิด ถล่มลิเบีย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตันประเทศสหรัฐเมื่อวันที่ 20 มี.ค. โดยอ้างคำกล่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่ระบุว่า กองเรือรบและเรือดำน้ำของสหรัฐกับอังกฤษ ปฏิบัติการโจมตีชุดแรกด้วยจรวดถล่มระบบการป้องกันทางอากาศของลิเบีย และน่าจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง โดยปฏิบัติการ “โอดิสซี ดอว์น” เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งสหรัฐและอังกฤษระดมยิงจรวดโทมาฮอว์ก 112 ลูกโจมตีเป้าหมายต่างๆ ที่อยู่บริเวณชายฝั่งกว่า 20 แห่ง เพื่อเปิดทางให้ฝูงบินรบเข้าโจมตีกองกำลังทางอากาศของลิเบีย ซึ่งเป้าหมายหลักของการใช้จรวดโทมาฮอว์กเข้าโจมตีอยู่ที่ขีปนาวุธยิงจากพื้นสู่อากาศเอสเอ-5 ของลิเบีย ที่เชื่อว่า จะเป็นอันตรายต่อเครื่องบินรบของกองกำลังพันธมิตร ทั้งนี้ ระบบป้องกันทางอากาศทั้งหมดของลิเบีย ล้วนใช้เทคโนโลยีของโซเวียต

ขณะที่ สถานีโทรทัศน์ซีบีเอส นิวส์ รายงานเมื่อเช้าตรู่วันอาทิตย์ว่า เครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลธ์ บี-2 จำนวน 3 ลำของสหรัฐ ได้ทิ้งระเบิด 40 ลูกถล่มสนามบินแห่งสำคัญของลิเบีย แต่ไม่มีการยืนยันการโจมตีดังกล่าว ส่วนพลตรีจอห์น โลริเมอร์ โฆษกกองทัพอังกฤษเปิดเผยว่า เครื่องบินขับไล่ทอร์นาโดจีอาร์4 หลายลำ ยิงจรวดสตอร์มชาโดว์ ถล่มเป้าหมายต่าง ๆ ในลิเบีย นับเป็นการโจมตีทางอากาศครั้งแรกของกองทัพอังกฤษ นอกจากนี้ นายเลียม ฟ็อกซ์ รัฐมนตรีกลาโหมบอกว่า อังกฤษส่งเรือพิฆาต 2 ลำคือเอชเอ็มเอส เวสต์มินสเตอร์ และเอชเอ็มเอส คัมเบอร์แลนด์ ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งลิเบีย และฝูงบินรบไต้ฝุ่นเตรียมพร้อม เพื่อสนับสนุนภารกิจ

ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีรายงานว่า มีระเบิดหลายลูกตกใกล้กองบัญชาการบับ อัล-อาซิซิยาห์ของพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบียในทางใต้ของกรุงตริโปลี ทำให้ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานจากกองทัพลิเบียยิงตอบโต้อย่างดุเดือด

ส่วนทางด้านกัดดาฟี ออกแถลงการณ์ทางสถานีโทรทัศน์ ประกาศว่า ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้กลายเป็นสมรภูมิรบอย่างแท้จริงแล้ว หลังจากประเทศตะวันตกโจมตีทางอากาศอย่างหนัก และทางการได้เปิดคลังสรรพาวุธให้ประชาชนหยิบอาวุธขึ้นต่อสู้กับศัตรูแล้ว นอกจากนั้น กัดดาฟี ยังกล่าวประณามประเทศตะวันตกว่า ป่าเถื่อน และเป็นความก้าวร้าวของนักรบครูเสดที่ไร้ความชอบธรรม พร้อมลั่นวาจาว่า จะแก้แค้นด้วยการโจมตีทั้งทหารกับพลเรือนในเมดิเตอร์เรเนียน และเตือนด้วยว่า ผลประโยชน์ต่าง ๆ ของประเทศแอฟริกาเหนือและแถบเมดิเตอร์เรเนียนได้ตกอยู่ในอันตรายแล้ว

สถานการณ์ในเมืองเบนกาซีนั้น ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีระบุว่า การที่กองกำลังภักดีกัดดาฟีโจมตีเมืองดังกล่าวเมื่อวันศุกร์และเสาร์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 94 ศพ ขณะเดียวกัน กระทรวงต่างประเทศลิเบียออกแถลงการณ์ว่า มติของสหประชาชาติที่สั่งให้มีการหยุดยิงใช้ไม่ได้และเป็นโมฆะ และต้องการให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเปิดประชุมอย่างเร่งด่วน หลังจากลิเบีย ซึ่งเป็นสมาชิกยูเอ็น ถูกกองกำลังของตะวันตกโจมตี โดยการโจมตีลิเบีย ถือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างประเทศ และทางการลิเบียตัดสินใจระงับความร่วมมือกับยุโรปในการปราบปรามกลุ่มลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย

หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า ดาวเทียมสอดแนมของตะวันตกกำลังเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดที่โรงเก็บรถแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลในทะเลทรายของลิเบีย เนื่องจากว่ารัฐบาลของกัดดาฟี เก็บก๊าซพิษมัสตาร์ด ที่มีน้ำหนักราว 10 ตันเอาไว้ในโรงเก็บรถดังกล่าว ที่อยู่ทางใต้ของเมืองเซอร์เต้ ทำให้เจ้าหน้าที่ของประเทศตะวันตกหวั่นเกรงว่า กัดดาฟี อาจใช้สารเคมีฆ่าหมู่ประชาชนกลุ่มใหญ่

ทางด้าน สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอัลจาซีรา ของกาตาร์ รายงานว่า มีผู้สื่อข่าว 4 คนที่ทำงานให้อัลจาซีรา ซึ่งเป็นชาวนอร์เวย์ 1 คนและอังกฤษ 1 คน ถูกทางการลิเบียควบคุมตัวไว้ในกรุงตริโปลี หลังจากถูกจับกุมขณะปฏิบัติหน้าที่ในภาคตะวันตกของประเทศ แถลงการณ์ในเว็บไซต์ของอัลจาซีราได้ขอให้ทางการลิเบียรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทีมผู้สื่อข่าวดังกล่าว และกำลังพยายามหาทางให้ลิเบียปล่อยตัวโดยเร็ว ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส 4 คน ก็ถูกกองกำลังลิเบียจับไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะทำข่าวในภาคตะวันออกของประเทศ ขณะที่ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เตือนนักข่าวต่างประเทศให้อพยพออกมาจากลิเบียในทันที
...

http://www.chaoprayanews.com/2011/03/22/“จุดเริ่มต้น-–-สงคราม-–-ค/

--------------------------------------------------------------------------------

สงครามกลางเมือง ตาย 6,000 ล่าสุดในลิเบีย

Pic_153191

ทีมข่าวต่างประเทศไทยรัฐออนไลน์ ได้ประมวลสถานการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในลิเบีย ดินแดนอาหรับที่อุดมไปด้วยน้ำมันในแอฟริกาเหนือ ซึ่งกำลังตกอยู่ในภาวะ "สงครามกลางเมือง" หลังจากที่รัฐบาลลิเบียภายใต้การนำของพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี สั่งการให้กองกำลังความมั่นคงของตนเปิดฉากโจมตีฝ่ายต่อต้าน ที่ประกอบไปด้วย การรวมตัวกันของประชาชนและทหารที่แปรพักตร์ในหลายพื้นที่ของประเทศ

เหตุวุ่นวายในลิเบียซึ่งเริ่มปะทุขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ชาวลิเบียไม่พอใจสภาพความเป็นอยู่ที่ยากแค้น อัตราการว่างงานที่สูงลิบลิ่ว รวมถึงการกระจายรายได้และความมั่งคั่งจากการส่งออกน้ำมันที่ไม่ทั่วถึง ตลอดจนการไร้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองภายใต้ "ระบอบกัดดาฟี" ที่ผูกขาดกุมอำนาจในลิเบียมาตั้งแต่ปี 1969

การลุกฮือขึ้นของประชาชน เพื่อต่อต้านการปกครองของพันเอกกัดดาฟี ในลิเบียนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการประท้วงขับไล่รัฐบาล ของประชาชนในตูนิเซีย อียิปต์ จอร์แดน เยเมน บาห์เรน และอีกหลายประเทศในโลกอาหรับ ทั้งในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่เกิดขึ้น ในช่วงก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ดี ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า พันเอกกัดดาฟี วัย 68 ปี จะเลือกใช้วิธีการรุนแรงตอบโต้กลุ่มผู้ประท้วง ซึ่งในระยะเริ่มแรกเป็นเพียงประชาชนที่มีมือเปล่าไร้อาวุธ วิธีการกำราบผู้ประท้วงของกัดดาฟี มีทั้งการสั่งการให้ใช้เครื่องบินรบทิ้งระเบิดใส่กลุ่มผู้ประท้วง การสั่งให้หน่วยงานความมั่นคงใช้อาวุธหนักยิงเข้าใส่ฝูงชน รวมถึงการจ่ายเงินเพื่อดึงตัว "นักรบรับจ้าง" จากประเทศเพื่อนบ้านในแอฟริกา เข้ามาล่าสังหารประชาชนที่เป็นฝ่ายต่อต้านของรัฐบาล

การสั่งปราบ ปรามกลุ่มผู้ประท้วงของกัดดาฟี ซึ่งทำให้ยอดผู้เสียชีวิตทะลุ 6,000 คนไปแล้วเป็นอย่างน้อย เรียกเสียงประณามจากทั่วโลก ถึงขั้นที่นานาชาติประกาศคว่ำบาตรลิเบียด้วยมาตรการต่างๆ เช่น การห้ามพันเอกกัดดาฟีและครอบครัวเดินทางออกนอกประเทศ การคว่ำบาตรด้านอาวุธแก่ลิเบีย การอายัดทรัพย์สินของครอบครัวกัดดาฟีในต่างแดน รวมถึงความเป็นไปได้ในการกำหนดเขตห้ามบินในลิเบีย เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องบินรบลิเบียออกไปยิงถล่มฝ่ายต่อต้านได้อีก

ล่าสุด กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือ "เพนตากอน" สั่งการให้เรือรบของตน 2 ลำจากตะวันออกกลาง เดินทางผ่านคลองสุเอซที่อียิปต์ มุ่งหน้ามายังน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนใกล้กับลิเบียแล้ว ทำให้บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า โอกาสที่สหรัฐฯและชาติพันธมิตรจะเปิดฉากโจมตีลิเบียเพื่อยุติความเหิมเกริม ของ "ระบอบกัดดาฟี" อาจอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น แม้ โรเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ จะยังคงยืนยันหนักแน่นว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ยังไม่มีแผนสั่งให้ใช้กำลังสั่งสอนลิเบียก็ตาม

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า จำนวนผู้อพยพหนีภัยสงครามจากในลิเบีย ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังชายแดน ทั้งด้านที่ติดต่อกับอียิปต์และตูนิเซียล่าสุด ก็มีจำนวนมากกว่า 180,000 รายแล้วเช่นกัน.

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://www.thairath.co.th/content/oversea/153191

http://mornor.com/2009/forum/viewthread.php?tid=96162

--------------------------------------------------------------------------------

กัดดาฟีเขียนจม.ถึงโอบามาวอนยุติโจมตี
วันพฤหัสบดี ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบียเขียนจดหมายถึงผู้นำสหรัฐฯ ให้ยุติการโจมตีทางอากาศ ขณะที่สหรัฐฯปฏิเสธข้อเรียกร้องและว่า กัดดาฟีจะต้องลาออกจากตำแหน่งและเดินทางออกนอกประเทศเท่านั้น

นางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯบอกปัดจดหมายดังกล่าวของกัดดาฟี เมื่อวานนี้โดยย้ำว่า พันเอกกัดดาฟีรู้ดีว่า เขาต้องทำอย่างไรเพื่อยุติวิกฤตการณ์ครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่หยุดยิง ถอนกองกำลังออกจากเมืองต่างๆ ตัดสินใจลงจากอำนาจและเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน

ทำเนียบขาวยืนยันว่า จดหมายที่เขียนถึงประธานาธิบดีโอบาม่า เป็นจดหมายของกัดดาฟีจริง มีความยาว 3 หน้ากระดาษ แต่ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรนอกเหนือไปจากการร้องขอให้โอบาม่าหยุดโจมตีลิเบียทางอากาศ นอกจากนี้ยังอวยพรให้โอบาม่าชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยสอง

ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลีก็ย้ำเช่นกันว่า กัดดาฟีและครอบครัวต้องเดินทางออกนอกประเทศ วิกฤตการณ์การเมืองในลิเบียจึงจะยุติ

ล่าสุดนาย Curt Weldon อดีตสมาชิกสภาได้เดินทางไปยังกรุงทริโปลีอย่างกะทันหันวานนี้เพื่อหวังว่า จะโน้มน้าวให้กัดดาฟีลงจากตำแหน่ง และการเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางส่วนตัวตามคำเชิญของรัฐบาลลิเบียไม่ได้ไปในนามรัฐบาล

ด้านรัฐบาลลิเบียออกมาโจมตีอังกฤษที่ทิ้งระเบิดทำลายทุ่งน้ำมันสำคัญในเมืองเซอร์ตีและทำให้ท่อส่งน้ำมันที่เชื่อมต่อไปยังท่าเรือเมดิเตอร์เรเนี่ยนได้รับความเสียหาย

ส่วนนาโต้ หลังจากที่ถูกตำหนิจากกลุ่มต่อต้านลิเบียว่า ปฏิบัตินาโต้ยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องพลเรือน ล่าสุดนาโต้ให้คำมั่นว่า จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชาวลิเบียในเมืองมิสราต้าที่ตอนนี้ถูกกองกำลังกัดดาฟีโอบล้อมไว้ ทั้งนี้กลุ่มต่อต้านกัดดาฟีเตือนว่า หากนาโต้ยังไม่ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด ภายในสัปดาห์นี้อาจเกิดการสังหารหมู่ที่เมืองมิสราต้า

http://www.krobkruakao.com/ข่าว/36228/กัดดาฟีเขียนจม-ถึงโอบามาวอนยุติโจมตี.html

--------------------------------------------------------------------------------

ศาลโลกอนุมัติหมายจับ "กัดดาฟีและลูกชาย"
ศาลอาญาระหว่างประเทศ อนุมัติหมายจับกัดดาฟีพร้อมลูกชาย ข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามต่อมนุษยชาติ...

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานวันที่ 28 มิ.ย. ว่า ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ตัดสินใจเมื่อเวลา 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 18.00 น. ของวันที่ 27 มิ.ย. ตามเวลาไทย อนุมัติหมายจับพ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย กับนายซาอิฟ อัล-อิสลาม ลูกชายกัดดาฟี วัย 39 ปี และอับดุลเลาะห์ อัล-เซนุซซี หัวหน้าหน่วยข่าวกรองลิเบีย ข้อหาฆาตกรรมและทารุณกรรมต่อประชาชนนับแต่เกิดเหตุประท้วงไปสู่การนองเลือด ช่วงกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา นับเป็นการเอาผิดครั้งที่ 2 กับผู้นำประเทศของไอซีซี หลังออกหมายจับนายโอมาร์ อัล-บาชีร์ แห่งซูดาน เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมี.ค.2552

ส่วนแผนปฏิบัติการของกองกำลังพันธมิตรนาโตในลิเบีย นำโดยอังกฤษกับฝรั่งเศสดำเนินมาถึง 101 วัน การจู่โจมทางอากาศขับไล่ พ.อ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี พุ่งเป้าถล่มวันละราว 50 จุด ส่วนใหญ่ทั้งในและรอบกรุงตริโปลีและเมืองมิสราตา ทางตะวันตก เมืองเบรกา ทางตะวันออก และเทือกเขานาฟูซา ไปจนถึงฝั่งใต้ของกรุงตริโปลี แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณแห่งชัยชนะทั้งฝ่ายนาโตหรือฝ่ายกัดดาฟี

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประท้วงในโมร็อกโก ออกมาเดินขบวนทั้งเมืองคาซาบลังกา 7,000 คน กับที่กรุงราบัตอีกราว 2,000 คน เพื่อคัดค้านการปฏิรูปรัฐธรรมนูญตามแนวความคิดของกษัตริย์โมฮัมเหม็ด หลังเกิดการประท้วงครั้งใหญ่พร้อมกับหลายประเทศอาหรับ ก่อนที่จะมีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้วันที่ 1 ก.ค. เพราะยังเห็นว่าอำนาจการจัดการทางการเมืองยังอยู่กับบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

ไทยรัฐออนไลน์

โดย ไทยรัฐออนไลน์
28 มิถุนายน 2554, 02:00 น.

http://www.thairath.co.th/content/oversea/182238

--------------------------------------------------------------------------------

กบฏลิเบียยึดเมืองหลวง จ่อสอย'กัดดาฟี'ลงอำนาจ
Pic_195910
กลุ่มกบฏต่อต้าน โมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำของลิเบีย สามารถบุกยึดกรุงตริโปลีได้แล้ว เตรียมโค่นอำนาจหลังกุมบังเหียนเผด็จการบ้านเมืองนาน 42 ปี...
สำนัก ข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 22 ส.ค. ว่า กลุ่มกองกำลังต่อต้านอำนาจ พ.อ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี วัย 69 ปี เข้ายึกรุงตริโปลี เมืองหลวงของประเทศ ได้แล้วเมื่อช่วงเช้าวันนี้ พร้อมเผาโปสเตอร์รูปภาพผู้นำเผด็จการของลิเบียและเตรียมโค่นอำนาจ หลังนั่งกุมบังเหียนบริหารบ้านเมืองนาน 42 ปี

ข่าว แจ้งว่ากลุ่มกบฏต่อต้านกัดดาฟี เข้าครองพื้นที่ในกรุงตริโปลีราว 90% เมื่อคืนนี้ (21 ส.ค.) โดยบุกมาทางฝั่งตะวันตก และพากันยิงปืนขึ้นฟ้าโห่ร้องเรียกหาชัย ขณะที่ กัดดาฟี ยังคงอาศัยอยู่ในกรุงตริโปลี โดยเชื่อว่ามีกองกำลังติดอาวุธนับพันนายคอยให้การอารักขา โดยผู้นำลิเบียแถลงผ่านโทรทัศน์ลิเบียเรียก ร้องให้ชาวตริโปลีออกมาสู้กับกลุ่มกบฏ ทั้งนี้ทางการพร้อมเปิดคลังอาวุธให้ประชาชนนำไปใช้ในการต่อสู้ ทั้งยังกล่าวเหยียดกลุ่มกบฏเป็นเพียง "หนูสกปรก" ที่เข้ามารุกรานเมืองหลวง

นอกจากนี้ผู้นำกลุ่มกบฏ ประกาศด้วยว่า ซาอิฟ อัลอิสลาม บุตรชายคนเล็กของ กัดดาฟี ถูกควบคุมตัวแล้ว ส่วน โมฮัมเหม็ด อัลกัดดาฟี บุตรชายคนโต เป็นผู้ยอมมอบตัวกับฝ่ายต่อต้านด้วยตัวเอง
อนึ่ง มูสซา อิบราฮิม รัฐมนตรีข่าวสารของลิเบีย แจ้งว่า การต่อสู้ภายในเมืองหลวงตั้งแต่เช้าวันเสาร์จนถึงวันอาทิตย์ มีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,300 คน บาดเจ็บอีกกว่า 5,000 ราย ซึ่งโรงพยาบาลไม่อาจรับมือกับจำนวนเหยื่อครั้งนี้ได้.

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ไทยรัฐออนไลน์
  • 22 สิงหาคม 2554, 10:33 น.
http://www.thairath.co.th/content/oversea/195910

---------------------------------------------

ลมหายใจสุดท้ายของ “กัดดาฟี” ใครคือผู้เหนี่ยวไกสังหาร?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 ตุลาคม 2554 09:53 น.


พันเอก มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้เคยทรงอำนาจ และปกครองลิเบียมานานถึง 42 ปี
เอเจนซี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - คลิปวิดีโอบันทึกภาพ พันเอก มูอัมมาร์ กัดดาฟี ในสภาพโชกเลือดและสั่นเทา ขณะถูกศัตรูลากไปตามพื้นถนนด้วยความโกรธแค้น แพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว หลังจากอดีตผู้นำลิเบียถูกสังหารใกล้กับเมืองเซิร์ต บ้านเกิดของเขาเอง ทว่า เหตุการณ์ที่แท้จริงยังคงคลุมเครือ หากคลิปวิดีโอนี้เป็นบันทึกลมหายใจสุดท้ายของกัดดาฟีจริง นั่นก่อให้เกิดคำถามว่า “กัดดาฟีเสียชีวิตได้อย่างไร”

ศพของกัดดาฟีถูกนำไปยังเมืองมิสราตา
ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน คือ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ยังหายใจอยู่ ระหว่างถูกจับกุมตัว ด้วยภาพที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทั่วโลก ซึ่งเผยช่วงที่กัดดาฟีถูกลากลงมาจากรถกระบะ ก่อนที่กลุ่มนักรบจะกระชากผมของอดีตผู้นำ ลากไปตามพื้น

“อย่าให้เขาตาย อย่าให้เขาตาย!” มีเสียงตะโกนแทรกเข้ามา ทันใดนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น ขณะกล้องที่กำลังบันทึกภาพก็หันไปทางอื่น

“กลุ่มนักรบจับเป็นกัดดาฟีได้ แต่ระหว่างการควบคุมตัว กัดดาฟีถูกซ้อมและยิงเสียชีวิต” แหล่งข่าวในสภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติ (เอ็นทีซี) เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ “กัดดาฟีอาจขัดขืน” จึงถูกกลุ่มนักรบสังหาร

ข้อมูลดังกล่าวขัดแย้งกับคำแถลงก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า กัดดาฟีเสียชีวิตจากการยิงปะทะระหว่างนักรบเอ็นทีซีกับกลุ่มผู้ภักดีที่ พยายามช่วยชีวิตเจ้านาย

ชะตาชีวิตของกัดดาฟีช่างพลิกผัน เขาเคยเรียกกลุ่มกบฏว่า “หนูสกปรก” แต่ท้ายที่สุด เขาถูกจับกุมระหว่างซ่อนตัวอยู่ในท่อระบายน้ำที่เต็มไปด้วยขยะและสิ่งโสโครก

นักรบเอ็นทีซีในเหตุการณ์เล่าถึงลมหายใจสุดท้ายของกัดดาฟีไว้ว่า ไม่นานก่อนถึงเวลาละหมาดเช้า กัดดาฟีพร้อมทหารหลายสิบคน ตีฝ่าวงล้อมในเมืองเซิร์ต และหนีไปทางตะวันตก แต่พวกเขาก็ไปได้ไม่ไกล

ฝรั่งเศสเปิดเผยว่า เครื่องบินรบนาโตสามารถโจมตีรถทหารของกัดดาฟี 2 คัน ใกล้กับเมืองเซิร์ต

หลังจากนั้น มีรายงานเพิ่มเติมว่า ห่างจากเมืองเซิร์ตไปทางตะวันตก 3 กิโลเมตร มีรถกระบะติดตั้งปืนกล 15 คัน เกิดเพลิงไหม้อยู่ห่างจากถนน 20 เมตร รอบๆ บริเวณนี้เต็มไปด้วยศพของทหารประมาณ 50 ศพ

“เจ้านายอยู่ที่นี่”

นักรบเอ็นทีซีเล่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นว่า กัดดาฟีพาทหารที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือ วิ่งหนีไปซ่อนตัวอยู่ในท่อระบายน้ำ

ซาเลม บาเคียร์ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า “ทหารกัดดาฟีคนหนึ่งยกปืนขึ้นเหนือหัว และตะโกนว่ายอมจำนน แต่พอผมเข้าไปใกล้ เขากลับเริ่มยิงใส่ผม” แต่อยู่ๆ ทหารกัดดาฟีก็หยุดยิง “ผมคิดว่ากัดดาฟีคงสั่งให้เขาหยุด แล้วเขาก็ตะโกนมาว่า ‘เจ้านายอยู่ที่นี่ เจ้านายอยู่ที่นี่’ ... ‘เจ้านายอยู่ที่นี่ ท่านได้รับบาดเจ็บ’”

“เราตรงเข้าไปลากตัวเขาออกมา กัดดาฟีมัวแต่พูดพร่ำว่า ‘เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น?’” บาเคียร์ยังยืนยันว่า ตอนถูกจับกุม กัดดาฟีถูกยิงที่ขาและหลัง

ขณะที่ อุมรัน จูมา ชาวัน นักรบอีกคนหนึ่งเล่าว่า คนที่ยิงกัดดาฟี คือ คนของเขาเอง “ทหารของมูอัมมาร์ กัดดาฟี ยิงเขาที่หน้าอก”

อับเดล มาจิต มเลกตา นักทหารเอ็นทีซีอีกคนหนึ่ง ระบุว่า กัดดาฟีได้รับบาดเจ็บระหว่างการยิงปะทะในเมืองเซิร์ต ขณะถูกจับกุม กัดดาฟีพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น แกต้องการอะไร” ไม่หยุดปาก และพยายามขัดขืนการจับกุม ก่อนเสียชีวิตระหว่างถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

ส่วนมุมมองสุดท้าย นักรบเอ็นทีซีผู้ไม่ประสงค์ออกนามเล่าว่า “กัดดาฟีถูกรุมกระทืบ” และตายอย่างทุกข์ทรมาน แต่เขาย้ำว่า “นี่คือสงคราม”

ทั้งนี้ ภาพจากวิดีโอที่แพร่ไปทั่วโลก กัดดาฟีในสภาพสะบักสะบอมยังคงมีชีวิตอยู่ ตอนเขาถูกดึงลงจากรถกระบะ และลากไปตามพื้นถนน มีคนตะโกนว่า “อย่าให้เขาตาย” ก่อนที่กล้องจะหันไปทางอื่น และก็มีเสียงปืนดังขึ้น

หลังจากนั้น ภาพต่อมาที่ทุกคนเห็นคือร่างไร้วิญญาณของกัดดาฟีถูกยกขึ้นบนรถพยาบาล

ปืนเหลี่ยมทองที่นักรบสภาถ่ายโอนอำนาจ (เอ็นทีซี) ยึดมาจากมูอัมมาร์ กัดดาฟี

http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=3140304237631884887&postID=7642193810880375226




---------------------------------------------
FfF