บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


11 เมษายน 2554

<<< สันติวิธีใช้กับสงครามและเผด็จการใจอำมหิตไม่ได้ ลิเบียคือตัวอย่างในปัจจุบันและอีกหลายตัวอย่างในอดีต >>>

ผมได้รวบรวมความเป็นมาของสงครามกลางเมืองลิเบีย
บันทึกเก็บเอาไว้ที่เรื่องนี้

<<< ลำดับเหตุการณ์ สงครามกลางเมืองลิเบีย >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/04/blog-post_6146.html

ลิเบียเริ่มต้นจากชาวบ้านมาชุมนุมขับไล่กัดดาฟี่ ไม่กี่พันคน
แต่ถูกเผด็จการใจอำมหิตอย่างกัดดาฟี่
สั่งทหารไล่ฆ่าประชาชนตายหลายร้อยคน
ประชาชนที่ออกมาต่อต้านบางส่วน
ก็หนีตายอพยพออกนอกประเทศ
บางส่วนก็จับอาวุธลุกขึ้นสู้
แล้วได้ทหารแปรพักตร์มาช่วยสู้
จนยันกันอยู่ได้ถึงทุกวันนี้
แต่ก็มีคนตายแล้วหลายพันคนตามรายงานข่าว
และถึงแม้จะถูกตอบโต้จากฝ่ายกัดดาฟี่
จนต้องถอยจากที่ยึดเมืองไว้ได้เกือบหมดประเทศแล้ว
เพียงแต่อาวุธด้อยกว่าและไม่ได้ฝึกการรบมาดีเหมือนทหารกัดดาฟี่
หรือความพร้อมน้อยกว่าถึงโดนโต้กลับเหลือพื้นที่ยึดครองไม่มาก
แต่ถึงกระนั้น ฝ่ายกัดดาฟี่ก็สูญเสียมากมาย
ทั้งโดนยึดทรัพย์จำนวนมากมายในต่างประเทศ
และสูญเสียอำนาจรวมทั้งความชอบธรรม
ที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปอีกมากมาย
ล่าสุดโดนกดดันหนักถึงกับต้องเขียนจดหมาย
เพื่อต่อรองกับทางอเมริกา
เรียกว่าฝ่ายต่อต้านกัดดาฟี่ มาไกลได้ขนาดนี้
ก็ถือว่าเก่งและเยี่ยมที่สุดแล้วเท่าที่จะทำได้
ที่สำคัญสามารถมีกองกำลังเป็นของตนเองเรียบร้อยแล้ว
รอวันชนะหรือแยกกันอยู่เท่านั้นเอง

บทเรียนจากลิเบีย สะท้อนความจริงให้เห็นว่า
สันติวิธีใช้กับพวกเผด็จการใจอำมหิตไม่ได้
แต่ถ้าเป็นเผด็จการธรรมดาอาจใช้ได้
อาจมีเจ็บตายบ้าง แต่ก็หมดอำนาจไปในที่สุด
เช่นที่ ตูนีเซียและอียิปต์
ดังนั้นการคิดจะใช้สันติวิธีจริงๆ
ต้องดูฝ่ายคู่ต่อสู้ด้วยว่า
มีใจอำมหิตผิดมนุษย์หรือไม่ประกอบด้วย

ไม่ใช่คิดว่าจะสันติวิธีไปได้ทุกสถานการณ์
โดยไม่มีมาตรการรองรับกรณีเจอโต้กลับแบบไม่สันติวิธี
เพราะถ้าไปเจอพวกใจอำมหิตโต้กลับแบบไม่สันติวิธี
การไม่เตรียมความพร้อมแบบชาวลิเบียที่ต่อต้านกัดดาฟี่
ก็อาจจะทำให้เกิดความสูญเสียมากกว่า
การเตรียมความพร้อมเผื่อเอาไว้
แต่ผมไม่โทษชาวลิเบียที่ต่อต้านกัดดาฟี่
เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าผู้นำของเขา
จะเอี้ยเกินคำบรรยายแบบนี้
แต่ประเทศอื่นควรศึกษาและเตรียมความพร้อม
จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้
เพราะมีตัวอย่างให้เห็นเป็นอุทาหรณ์แล้ว

กรณีคานธีนั้น ใช้สันติวิธีสู้กับพวกอังกฤษ
ที่อย่างน้อยจะเถื่อนยังไงก็ยังมีความเป็นอารยะชนอยู่บ้าง
จึงอาจใช้สันติวิธีสู้ได้ในอินเดียจนได้รับเอกราช
ประกอบกับช่วงสถานการณ์นั้นอังกฤษก็ย่ำแย่
ไม่ใช่แค่อินเดียประเทศเดียวที่ได้รับเอกราช
มีเป็นสิบๆ ประเทศที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษเหมือนกัน
และไม่ใช่แนวสันติวิธีแต่อังกฤษรั้งไม่อยู่ก็ปล่อยเกือบหมด
ปัจจุบันเหลือเพียง 15 ประเทศ
ที่ยังยอมรับควีนอังกฤษเป็นพระประมุข
ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี
แอนติกาและบาร์บูดา บาฮามาส บาร์เบโดส เบลีซ เกรเนดา
จาเมกา เซนต์คิตส์และเนวิส เซนต์ลูเซีย
เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ หมู่เกาะโซโลมอน และตูวาลู
ดังนั้นความสำเร็จของคานธีมีส่วนประกอบอื่นๆ มากมายด้วย
และคานธีก็ตายเพราะสันติวิธี เพราะหลังได้รับเอกราช
มีการแยกประเทศจากอินเดียตอนนั้น
คือประเทศปากีสถาน และประเทศบังคลาเทศ ในปัจจุบันนี้
และที่กำลังแย่งกันอยู่คือแคว้นแคชเมียร์
ที่ยังใช้กำลังยื้อแย่งเพื่อครอบครอง ก็ไม่ใช่แนวสันติวิธี
ที่คานธีถูกยิงตาย ก็คงเพราะการใช้สันติวิธีแก้ปัญหา
จนเสียดินแดนมากมาย เลยคงทำให้พวกหัวรุนแรง
มาลอบสังหารผมเข้าใจว่าเป็นปมนี้
เพราะคนดีๆ เรียกร้องเอกราชให้อินเดียได้อย่างคานธี
ไม่น่าจะมีคนอินเดียคนไหนอยากมาฆ่าให้ตาย
นอกจากการไม่สู้จนเสียดินแดนไปมากมายมากกว่า
อันหลังนี้ความเห็นส่วนตัว

นอกจากนี้ในอดีตสันติวิธีทำให้หลายอาณาจักร
ที่เคยนับถือศาสนาหนึ่งต้องเปลี่ยนไป
เป็นอีกศาสนาหนึ่งทั้งประเทศในปัจจุบันนี้
เช่น ปากีสถาน อัฟกานิสถาน หรือแม้แต่อินโดนีเซีย
มีหลักฐานความเฟื่องฟูของพุทธศาสนา เช่น
พระพุทธรูปแกะสลักหินภูเขาปางประทับยืนที่สูงที่สุดในโลก
ของอัฟกานิสถานซึ่งได้ถูกทำลายช่วงตาลีบันครองเมืองเมื่อไม่กี่ปีมานี้
บุโรพุทโธที่อินโดนีเซีย
และเมืองตักกศิลามหานครทางพุทธศาสนาในปากีสถาน
นี่เป็นสิ่งยืนยันความรุ่งเรื่องของพุทธศาสนาใน 3 ประเทศนี้
ที่บัดนี้ แทบ 100% นับถือศาสนาอื่นไปแล้ว
เพราะการยึดสันติวิธีหรือไม่สู้หรือสู้ไม่ได้
ก็มีผลทำให้ฝ่ายที่เขาไม่สันติวิธีด้วย
สู้จนชนะเขาก็ครอบครองอำนาจ
และทำอะไรตามที่เขาต้องการได้
อย่าว่าแต่เรื่องการแก้ไขประวัติศาสตร์
หรือการทำลายสิ่งปลูกสร้างเลย
ขนาดศาสนาที่เรียกว่าเปลี่ยนยากเพราะต้องเปลี่ยนใจคน
ยังเปลี่ยนกันได้สำเร็จแทบ 100% เลย

ที่ชอบยกเรื่องศาสนามาประกอบคำอธิบาย
ก็เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ ไม่มีเจตนาให้รู้สึกเกลียดชัง
คนศาสนานั้นนี้ เพราะทุกศาสนา
ถ้าจะพูดในแง่ไปรุกรานศาสนาอื่นมีเหมือนกันหมด
พุทธก็มีอย่างนครวัดนครธมก็พวกพราหม์
พุทธหรือพี่ไทยไปชนะก็ทำลายจนไม่เหลือซาก
กลายเป็นสิ่งที่สูญหายไปในโลกหลายร้อยปี
จนกระทั่งมีการมาขุดพบโดยฝรั่ง
โลกถึงได้รู้ว่ามีโบราณสถานเหล่านี้อยู่
แม้แต่คนกัมพูชาเอง ก็ยังไม่รู้คิดดูก็แล้วกัน
ผลงานการทำให้สูญพันธุ์ของพี่ไทยมีฝีมือขนาดไหน
แม้แต่ศาสนาคริสต์นี่ก็เหมือนกัน
พระเยซูก็เน้นใช้สันติวิธีจนยอมถูกตรึงกางเขน
แต่คนที่นับถือศาสนาของพระองค์
ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ใช้วิธีการไม่สันติวิธี
ไปสู้แย่งชิงเมืองอื่นกับพวกเดียวกัน
หรือพวกคนละนิกายหรือแม้แต่พวกต่างศาสนา
ซึ่งจะว่าไปแล้วไม่น่าเกี่ยวกับตัวศาสนา
แต่น่าจะเกี่ยวกับผู้นับถือศาสนานั้นๆ ลงมือทำมากกว่า

โดย มาหาอะไร

-------------------------------------------------------------------------

การเรียกร้องเอกราชของอินเดีย

7. การต่อสู้เรียกร้องเพื่อเอกราชของอินเดีย
อินเดียผู้เป็นอาณานิคมของอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1858 และต่อสู้จนได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1947 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์เอเชีย สรุปได้ ดังนี้
7.1 ผู้นำขบวนการชาตินิยมชาวอินดียที่มีบทบาทต่สู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้อินเดียจนประสบผลสำร็จ คือ มหาตมะ คานธี โดยใช้วิธีที่เรียกว่า “สัตยเคราะห์” เน้นการต่อสู้โดยสันติวิธี (อหิงสา) เช่น อดอาหารประท้วง หรือไม่ร่วมมือใดๆ เป็นการดื้อแพ่งไม่ยอมปฏิบัติตามข้อบังคับต่างๆ อย่างเงียบๆ
7.2 อังกฤษใช้นโยบาย “แบ่งแยกและปกครอง” โดยสนับสนุนให้ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลามจัดตั้ง “สันนิบาตมุสสลิม” (Muslim League) เพื่อคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของชาวมุสลิม และคานอำนาจกับพรรคคองเกรส (Congress) ของชาวฮินดู เพื่อให้พลังของชาวอินเดียอ่อนลง
7.3 บทบาทสำคัญของมหาตมะ คานธี ในปี ค.ศ. 1930 ได้นำประชาชนเดินขบวนประท้วงเพื่อให้ยกเลิกกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมกับชาวอินเดีย ก่อนหน้านั้นได้เรียกร้องให้ชาวอินเดียใช้แต่สินค้าของชาวอินเดีย ไม่ซื้อสินค้าของชาติตะวันตก และขอให้ชาวมุสลิมกับชาวฮินดูสามัคคีปรองดองกัน
7.4 อินเดียได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1947 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลพรรคแรงงานของอังกฤษมีนโยบายให้เอกราชแก่อินเดีย การเจรจาประสบผลสำเร็จและอินเดียได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1947
7.5 การแยกประเทศอินเดียกับปากีสถาน ทั้งในช่วงก่อนและหลังได้รับเอกราช เกิดเหตุรุนแรงที่มีการต่อสู้ปะทะกันระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิม มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกประเทศอินเดียกับปากีสถานในที่สุด

8. ผลกระทบจากการเรียกร้องเอกราชของอินเดียที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
8.1 การต่อสู้โดยสันติวิธีของมหาตมะ คานธี (สัตยเคราะห์) เป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพ หรือการต่อสู้ทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตย โดยหลีกเลี่ยงการนองเลือดหรือจับอาวุธขึ้นต่อสู้
8.2 เกิดการแบ่งแยกประเทศปากีสถานออกจากอินเดีย ในปี ค.ศ. 1948 มีสาเหตุกิดจากความขัดแย้งในการนับถือศาสนา โดยปากีสถานเป็นประเทศของชาวมุสลิม แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในอินเดียนับถือศาสนาฮินดู

http://www.bbc07history.ob.tc/3.htm

-------------------------------------------------------------------------

พระพุทธรูปแห่งบามิยัน และพระคัมภีร์พุทธเก่าแก่ที่สุด

จังหวัดบามิยัน (เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศอัฟกานิสถาน) ตั้งอยู่ในหุบเขาบามิยัน ซึ่งมีแม่น้ำหล่อเลี้ยงประชาชน ด้านหนึ่งเป็นเขา ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาหินสูงชันสลักเป็นพระพุทธรูปปางประทับยืน สภาพแวดล้อมของหุบเขารายล้อมไปด้วยความแห้งแล้ง แต่ที่แห่งนี้อุดมไปด้วยทุ่งหญ้าและน้ำ

พระพุทธรูปแห่งบามิยัน เป็นกลุ่มพระพุทธรูปหลายองค์ (โดยเฉพาะองค์ใหญ่ 3 องค์) ที่ตั้งอยู่ตามหน้าผาและถ้ำของหุบเขาบามิยัน ทางตอนกลางประเทศอัฟกานิสถาน ห่างจากกรุงคาบูลประมาณ 230 กิโลเมตรทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บนความสูงกว่า 2,500 เมตร ซึ่งพระพุทธรูปทั้งหลายนี้สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 (คริสต์ศตวรรษที่ 6) ศิลปะเกรโก ศิลปะพระพุทธรูปยุคแรกที่เผยแพร่มาจากอารายธรรมกรีกโบราณ

เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2544 “พระพุทธรูปแห่งบามิยัน” ได้ถูกรัฐบาลตาลีบัน (Taliban) ระเบิดทำลายลง ด้วยอ้างเหตุผลว่าการเคารพรูปเคารพนั้นผิดหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งการระเบิดครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคนทั่วโลกอย่างมาก

พระพุทธรูปแกะสลักหินภูเขาปางประทับยืนที่สูงที่สุดในโลก
ในเมืองบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน ที่ถูกรัฐบาลตาลีบันทำลาย

ประวัติ

หุบเขาบามิยันนี้ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมระหว่างจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป มีการค้นพบศาสนสถานทางศาสนาพุทธ และฮินดูเป็นจำนวนมากกว่า 1,000 แห่ง เป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาในบริเวณนั้นมาก่อนที่จะมีการมาของศาสนาอิสลามในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13

ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดในบริเวณนี้คือ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ 3 องค์ 2 องค์แรกสร้างในช่วงปี พ.ศ. 1050 (ค.ศ. 507) มีความสูง 37 เมตร และองค์ที่ 3 สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1097 (ค.ศ. 554) สูง 55 เมตร เป็น “พระพุทธรูปแกะสลักฝาผนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ซึ่งทั้งหมดนี้คาดกันว่าสร้างโดยพระเถระและราชวงศ์แห่งราชวงศ์คุปตะแห่งอินเดีย ตามฝาถ้ำที่ได้ขุดเจาะกันไว้นั้น มีการวาดภาพ ซึ่งบ่งบอกถึงการผสมผสานของศิลปะคุปตะ ศิลปะคันธาระ และศิลปะเปอร์เซียได้อย่างชัดเจน เมื่อ พระถังซำจั๋ง ได้เดินทางไปชมพูทวีปในปี พ.ศ. 1173 (ค.ศ. 650) ท่านได้เล่าว่าพระพุทธรูปได้เหลืองอร่ามไปด้วยทองคำและมีพระกว่า 1,000 รูปจำวัดอยู่

ที่นี่มีอารามมากกว่า 10 แห่ง มีพระสงฆ์หลายพันรูป ล้วนเป็นฝ่ายโลกุตตรยาน (โลกุตตรวาทิน) สังกัดนิกายหินยาน พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ คือ พระอารยทูต (Aryaduta) และพระอารยเสน (Aryasena) มีความรู้ในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี ที่เนินเขาของนครหลวงมีพระพุทธรูปยืนซึ่งจำหลักด้วยศิลา สูง 150 เฉี๊ยะ (มาตราวัดจีน) ถัดจากนี้ไปเป็นอาราม และพระปฏิมาจำหลักด้วนแก้วกาจ สูง 100 เฉี๊ยะ อารามนี้มีพระพุทธไสยาสน์ความยาว 1,000 เฉี๊ยะ บรรดาพระพุทธรูปเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือที่ปราณีต สวยงาม นอกจากนี้ยังมีอารามประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว พระทันตธาตุของพระปัจเจกพุทธะในอดีต

ระหว่างช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี ของพระพุทธรูปแห่งนี้ ได้พบเจอกับสงครามและการจู่โจมมาโดยตลอด ถึงแม้จะมีชนพื้นเมืองชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งคือชาวฮาซารัส ได้ปกป้องศาสนาสถานแห่งนี้มาก็ตาม เริ่มต้นด้วยการเสื่อมถอยของศาสนาพุทธในบริเวณนี้และการมาของศาสนาอิสลาม การทำลายและการบุกรุกโจรกรรมวัตถุต่างๆ จากถ้ำภายในตั้งแต่ 900 ปีที่แล้ว จนมาถึงปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) เมื่อสหภาพโซเวียตนำทหารเข้าบุกเข้าโจมตีอัฟกานิสถาน ตามมาด้วยสงครามอัฟกัน และสิ้นสุดลงด้วยการระเบิดของกลุ่มตาลีบันในปี พ.ศ. 2544 จากการสำรวจได้มีรายงานว่ากว่า 80% ของภาพตามฝาผนังถ้ำได้ถูกทำลายลงไปแล้ว

คำให้การของ นายชีค มีร์ซา ฮุสเซน มือระเบิดทำลายพระพุทธรูปบามิยัน ตามคำสั่งของอำนาจของตาลีบัน กล่าวว่าถ้าเขาไม่ระเบิดพระพุทธรูป ตาลีบันจะฆ่าเขาทิ้ง เพราะก่อนหน้านั้นตาลีบันฆ่าลูกชายสองคนของเขาเหมือนสุนัขข้างถนน เขาจึงต้องทำเพื่อการอยู่รอด เขามีความเชื่อว่าด้านหน้าของพระพุทธรูปที่ถูกทำลายลง มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มีพระพักตร์อมยิ้ม ฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ได้ยินมาจากบรรพบุรุษสืบขานกันต่อหลายชั่วอายุคน สอดคลึงกับคำบอกกล่าวของพระถังซัมจั๋ง ที่ได้เห็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์นี้เช่นกัน ซึ่งนักโบราณคดีได้ขุดพบส่วนพระบาทของของพระนอน เมื่อ ค.ศ. 2005

เหตุการณ์ระเบิดพระพุทธรูปแห่งบามิยันเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2544

พุทธศาสนาในประเทศอัฟกานิสถาน

พุทธศาสนาได้เผยแพร่เข้ามาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยกลุ่มชาวศากยะที่หนีตายจากพระเจ้าวิฑฑูภะ มีเจ้าชายองค์หนึ่งได้สมรสกับกับพระเทพธิดาพญานาค แล้วตั้งรกรากอยู่ที่แคว้นอุทยาน (Udyana) ทางตอนเหนือของอัฟกานิสถานในปัจจุบัน และต่อมาก็หลังทุติยสังคายนาก็มีพระกลุ่มมหาสังฆิกะได้เผยแพร่ในบริเวณแคว้นนครหาร (Nagarahara) ซึ่งใกล้แคว้นคันธาระทางทิศเหนือ แต่สองยุคนี้ไม่ปรากฏแน่ชัดทางประวัติศาสตร์

หลายพันปีต่อมา ชาวมุสลิมรุกรานอัฟกานิสถาน พระพุทธศาสนาจึงเสื่อมลงเรื่อยๆ และมีการทำลายพระพักตร์ของพระพุทธรูปบามิยันทั้งสององค์ แต่ในสมัยนั้นก็ยังมีผู้นับถือพระพุทธศาสนาอยู่หลักหมื่น สิทธิการแสดงออกของเขาทำได้แค่ใช้ผ้าสีเหลืองเล็กๆ ผูกหางเปียสั้นๆ เท่านั้น

ต่อมาใน ยุคตาลีบัน (Taliban) เข้าปกครองประเทศนี้เป็นเวลา 5 ปี ชาวพุทธจะต้องผ่านเหตุการณ์อันเลวร้าย รอดเพียงไม่กี่ราย และมีความหวังที่จะไปสัมผัสหุบเขาบามิยันสักครั้งในชีวิต แต่พระพุทธรูปแห่งบามิยันก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับโดยกลุ่มตาลีบัน และชาวพุทธในอัฟกานิสถานที่รอดชีวิตมาได้ ก็อพยพไปประเทศเพื่อนบ้านของอัฟกานิสถาน

เมืองบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน
ก่อนเหตุการณ์ระเบิดพระพุทธรูปแห่งบามิยัน

พบพระคัมภีร์พุทธเก่าแก่ที่สุด...ในถ้ำอัฟกานิสถาน!

เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2539 เจนส์ บราร์วิก ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีแห่งศูนย์การศึกษาก้าวหน้า, นอร์เวย์ ได้ไปร่วมประชุมวิชาการที่เมืองไลเดน ผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งได้เล่าให้เขาฟังว่า แซม ฟ็อกก์ พ่อค้าของเก่าแห่งนครลอนดอน ได้ขายชิ้นส่วนเอกสารโบราณของพุทธศาสนาจำนวน 108 ชิ้น แก่นักสะสมชาวนอร์เวย์ชื่อ มาร์ติน สเคอร์ยัน (Martin Schoyen) ผู้เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์เอกสารโบราณที่ใหญ่ที่สุดของโลก พอได้ยินดังนั้น บราร์วิกเกิดความสนใจอย่างแรงกล้า จึงได้ไปพบกับสเคอร์ยันเพื่อขอศึกษาเอกสารดังกล่าว ซึ่งสเคอร์ยันก็ยินดีให้ความร่วมมือ และยังบอกเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่ฟ็อกก์จะขายเอกสารให้เขานั้น ฟ็อกก์ได้ติดต่อนักโบราณคดีชื่อ ลอเร แซนเดอร์ ให้ช่วยเขียนอธิบายความเป็นมาของเอกสารนี้ ซึ่งเมื่อแซนเดอร์นำไปวิเคราะห์ก็พบว่า มันถูกจารึกขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต ในช่วงราว พ.ศ. 540-940 เป็นพระคัมภีร์ในพุทธศาสนาที่ว่าถึงพระสูตร พระวินัย ตลอดจนจารึกเหตุการณ์ต่างๆ หลากหลาย บางเรื่องก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่เอกสารอีกหลายชิ้นมีเรื่องราวที่ไม่เคยปรากฏให้โลกรู้มาก่อน และเรียกได้ว่าเป็นเอกสารสำคัญที่เก่าแก่ที่สุดของพุทธศาสนา (ที่มีหลักฐานเหลืออยู่)

พระคัมภีร์พุทธศาสนาเหล่านี้จารึกอยู่บนแผ่นวัสดุต่างๆ ได้แก่ ใบลาน เปลือกไม้ และหนังแกะ เจาะรูแล้วร้อยด้ายรวมไว้เป็นเล่ม บางเล่มอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยนั้นมีจำนวนมาก และเมื่อสืบหาข้อมูลต่อไป บราร์วิกก็พบว่า แหล่งที่มาของเอกสารสำคัญลํ้าค่านี้มิใช่อื่นไกล แต่เป็นถํ้าต่างๆ แห่งเขาบามิยัน ในอัฟกานิสถานนั่นเอง ! ก็ต้องขอเล่าย้อนถึงอดีตกาล ณ สถานที่แห่งนี้

สมัยนับพันปีก่อนโน้น อัฟกานิสถานเป็นดินแดนอยู่บนเส้นทางสายไหมอันลือลั่นเชื่อมทอดระหว่างยุโรปกับจีน และยังเป็นทางผ่านจากจีนไปสู่อินเดียด้วย ภิกษุในพุทธศาสนาได้จาริกจากอินเดียไปเผยแผ่ธรรมะยังเมืองจีนด้วยเส้นทางนี้ และเนื่องจากเป็นหนทางอันยาวไกล จึงได้พำนักระหว่างทางโดยอาศัยถํ้าต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ณ เชิงเขาบามิยัน ซึ่งไม่ไกลจากกรุงคาบูล นครหลวงของอัฟกานิสถานเท่าใดนัก

ผู้จาริกศาสนาและนักเดินทางทั้งหลายต่างได้พบปะสนทนา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านอารยธรรมระหว่างกันในถํ้าพำนักนี้ จึงมีการจารึกพระคัมภีร์ในพุทธศาสนาเป็นภาษาต่างๆ ทั้งจีน เตอรกี ทิเบต มองโกเลียน เมื่อมีเอกสารศาสนาเพิ่มมากขึ้น ก็ได้มีการจัดตั้งเป็นหอสมุดเก็บรักษาไว้ ซึ่งนานนับ 1,400 ปีมาแล้ว ที่เอกสารเหล่านี้ยังคงอยู่ในสภาพดี เนื่องจากภาวะอากาศอันหนาวเย็น และแห้งแล้งของอัฟกานิสถานได้ช่วยรักษาสภาพไว้ไม่ให้เปื่อยผุไปได้ง่าย ถ้าจะเทียบพระคัมภีร์พุทธในถํ้าที่บามิยันนี้ ก็มีลักษณะดุจเดียวกับม้วนพระคัมภีร์ในตุ่มแห่งเดดซี (Dead Sea Scrolls) ของชาวยิวนั่นเอง

ถ้าหากบ้านเมืองสงบสุข พระคัมภีร์พุทธเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ในถํ้าไปได้อีกนาน ทว่าหลังจาก พ.ศ. 1300 เป็นต้นมา พวกมุสลิมได้รุกรานยึดครองอัฟกานิสถาน เอกสารบางส่วนในหอสมุดได้ถูกทำลายเสียหายขาดวิ่น ชิ้นส่วนที่ยังเหลือรอดอยู่ ได้พบว่าถูกนำไปเก็บไว้ในถํ้าแห่งหนึ่ง ห่างจากบามิยันไปทางเหนือราว 300 กิโลเมตร และเมื่อมุสลิมรุกรานหนักขึ้น ชาวพุทธเห็นว่าพระคัมภีร์เหล่านี้อยู่ในสถานะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว จึงได้แอบนำคัมภีร์ลํ้าค่าบรรทุกหลังลาลอบหนีออกจากอัฟกานิสถานเมื่อราว 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ โดยเดินทางผ่านช่องเขาฮินดูกูษ และได้มีการส่งทอดกันต่อๆ ไปจนถึงลอนดอน และไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่นอร์เวย์ ในท้ายที่สุด

หลังจากที่โปรเฟสเซอร์บราร์วิกได้รู้ถึงแหล่งที่มาของพระคัมภีร์พุทธแล้ว ต่อมาพิพิธภัณฑ์ที่สเคอร์ยันก็ได้พยายาม “ขนย้าย” พระคัมภีร์ที่ยังเหลือตกค้างอยู่ในอัฟกานิสถาน ออกมาเก็บรักษาเอาไว้ โดยใช้วิธีการทุกรูปแบบ กระทั่งนำเอาออกมาได้เกือบหมด ก่อนหน้าที่พระพุทธรูปบามิยันจะถูกทำลาย และอัฟกานิสถานถูกกองทัพสัมพันธมิตรถล่ม

เอกสารพระคัมภีร์ที่ทยอยนำมานั้น เมื่อรวมกันตั้งแต่ต้นแล้วปัจจุบันมีอยู่ราวๆ 5,000 ชิ้น ที่ยังเป็นรูปเป็นร่าง กล่าวคือ เป็นชิ้นส่วนของแผ่นจารึก ใบลาน เปลือกไม้ และหนังแกะ ที่มีขนาดตั้งแต่ 2 ตารางเซนติเมตร ไปจนเป็นแผ่นที่สมบูรณ์ นอกนั้นเป็นเศษกระจิริดอีกราว 8,000 ชิ้น เมื่อได้รับชิ้นส่วนพระคัมภีร์มาแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์จะทำความสะอาดจัดเตรียมเก็บทำสำเนา และลงหมายเลขกำกับแต่ละชิ้นไว้เพื่อทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป

ซึ่งในการ “ชำระ” สังคายนาพระคัมภีร์ที่ได้มานี้มิใช่ของง่ายเลย จัดเป็นงานระดับยักษ์ที่ต้องอาศัยผู้รู้จริงจำนวนมาก ทางพิพิธภัณฑ์ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยมีการสัมมนาครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2540 และท้ายสุดครั้งที่สี่ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเชิญนักโบราณคดีนานาชาติมาร่วมงาน มีการจัดพิมพ์เผยแพร่บางเรื่องที่ได้แปลและเรียบเรียงเสร็จแล้ว เช่น เรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราช, พระเจ้าอชาตศัตรู และมหาปรินิพพานสูตร เป็นต้น

พระพุทธรูปแกะสลักหินภูเขาปางประทับยืนที่สูงที่สุดในโลก
ในเมืองบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน ที่ถูกรัฐบาลตาลีบันทำลาย

คัดลอกมาจาก :: http://www.palungdham.com/t288.html

http://www.watkhaophrakru.com/webboard/index.php?topic=740.0

-------------------------------------------------------------------------

ตักกศิลา มหานครแห่งทิศาปาโมกข์

"ตักกศิลา" สถานที่เก่าแก่ทางพุทธศาสนา ถือเป็นเมืองมหาวิทยาลัยอันยิ่งใหญ่ของโลกที่มีมาก่อนพุทธกาล

เป็นศูนย์กลางการศึกษา มีสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ สั่งสอนศิลปวิทยาต่างๆ แก่ศิษย์ที่เดินทางมาเล่าเรียนจากทุกถิ่นในชมพูทวีป

บุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงหลายท่านในสมัยพุทธกาลสำเร็จการศึกษาจากนครตักศิลา เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศ(พระเจ้าแผ่นดินแคว้นโกศลครองราชสมบัติอยู่ที่พระนครสาวัต ถี) เจ้ามหาลิลิจฉวี พันธุลเสนาบดี หมอชีวกโกมารภัจจ์(แพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า) และองคุลีมาล(มหาโจรผู้กลับใจเป็นพระอรหันต์มหาสาวก)

ชื่ออันคุ้นหูชาวไทยของ "ตักกสิลา" ทำให้ใครๆ หลายคนมักนึกว่าเมืองนี้อยู่ในอินเดีย แต่ใครจะคิดว่าเมืองนี้แท้ที่จริงแล้วตั้งอยู่ในอาณาเขตของประเทศอิสลามอย่างปากีสถาน

มองทางด้านเศรษฐกิจการปกครอง ปากีสถานเป็นประเทศในกลุ่มเอเชียใต้ที่ดูจะมีภาษีดีกว่าใครทั้งหมด ถ้าเทียบกับอินเดียที่เป็นเสมือนประเทศแม่และบังกลาเทศที่เคยรวมเป็นชาติ เดียวกัน แล้วแยกออกไปเป็นอีกประเทศหนึ่งต่างหากในภายหลัง

ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองนั้นดูดีกว่าอีก 2 ประเทศ อาจเป็นเพราะปากีสถานมีจำนวนประชากรน้อยกว่าอินเดีย ทำให้สามารถจัดการได้ง่ายกว่า ขณะเดียวกันก็มีภูมิประเทศตลอดจนภูมิอากาศเหนือกว่าบังกลาเทศ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่มมีปัญหาน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ

เมืองตักกศิลานั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงประเทศปากีสถาน ห่างจากอิสลามาบัดประมาณ 30 กิโลเมตร ในอดีตตักกศิลา จัดว่าเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านการศึกษาและวัฒนธรรม แม้จะต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของอำนาจอันหลากหลาย ที่ต่างก็ล้วนพากันหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของตักกสิลาด้วยกันทั้งสิ้น

ตักกสิ ลารุ่งเรืองถึงขีดสุดภายใต้การปกครองของพระเจ้าอโศกมหาราช(Asoka the Great) ในช่วง 300 ปี หลังคริสต์กาล กษัตริย์ผู้อุทิศพระองค์เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาพระองค์นี้ได้สร้างนครตักกศิลาจนมีกิตติศัพท์ขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศในเพลานั้น

แม้ตักกศิลาจะต้องตกอยู่ภายใต้อารยธรรมอีกมากมายต่อๆมา เช่น อารยธรรมกรีก โดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช และอารยธรรมฮินดูอีกหลายราชวงศ์ แต่ความเจิดจำรัสของพุทธศาสนาก็ยังทรงพลานุภาพคู่กับตักกศิลาไม่เหือดหาย

ดังหลักฐาน เช่น ซากสถูปเจดีย์ วัดวาอาราม แลปฏิมากรรม แบบศิลปะคันธาระ(Gandhara) จำนวนมาก อันเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้คนจนรัฐบาลปากีสถานได้อนุรักษ์ไว้เป็น โบราณสถานภายใต้การสนับสนุนขององค์การ UNESCO

นอกจากซากเมืองโบราณแล้ว ที่อันควรย่างกรายเข้าไปอีกแห่งหนึ่งก็คือ "พิพิธภัณฑ์ตักกศิลา" ซึ่งได้เก็บรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับความเป็นอยู่และภูมิปัญญาของชาวตักกสิลา ยุคต่างๆ เอาไว้อย่างเป็นระบบระเบียบน่าสนใจยิ่ง

ข้าวของเครื่องใช้ รูปปั้นอันล้ำค่าจำนวนมาก(รวมทั้งพระพุทธรูป) แม้ส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ แต่ก็มีไม่น้อยที่หลุดรอดไปตั้งแสดงอยู่ตามพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ทั่วโลกทั้งใน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ฯลฯ

ตักกศืลาถือกำเนิดมาแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธกาล โดยเป็นนครหลวงแห่งแคว้นคันธาระ หนึ่งในบรรดา 16 แคว้นของชมพูทวีป ที่สถาปนาขึ้นโดยชาวอารยัน ภายหลังมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำแคว้น และรุ่งเรืองอยู่นานนับพันปี

ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 (ราว พ.ศ. 1050) ชนชาติฮั่น(Huns) ได้ยกทัพมาตีอินเดียและทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้เมืองตักกศิลาพินาศสาบสูญแต่ บัดนั้น

กระนั้นทุกวันนี้ ไม่เพียงตักกศิลาจะยังคงเหลือร่อยรอยหลักฐานให้เห็นถึง ความเป็นเมืองอันยิ่งใหญ่ในครั้งหนึ่ง ทั้งได้รับการบูรณะจากรัฐบาลปากีสถาน อีกทั้งองค์การยูเนสโกก็ยกย่องให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก

คงจะคุ้มค่าไม่น้อย หากสักครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้เดินทางไปเหยียบแดนดินอันเคยรุ่งเรืองด้วย ศิลปวิทยาต่างๆ เป็นสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดในการศึกษายุคโบราณ เต็มไปด้วยสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ สั่งสอนศิลปวิทยาแก่ศิษย์ ซึ่งเดินทางมาเล่าเรียนจากทั่วทุกสารทิศของชมพูทวีป

นครแห่งอดีตกาลที่ชื่อว่า ตักกศิลา!
Posted by sweet kiss at 10:39 AM

http://erawan-tourist.blogspot.com/2010/06/blog-post_29.html

-------------------------------------------------------------------------

ชื่อสถานที่ บุโรพุทโธ : Borobudur Temple
สถานที่ตั้ง บนเนินสูงของเกาะชวาภาคกลาง ประเทศอินโดนีเซีย
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

บุโรพุทโธ ( Borobudur ) พุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8-9 โดยกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร ตั้งอยู่บนเนินสูงของเกาะชวาภาคกลาง ห่างจากเมืองยอกยากาตาร์ ( Yogyakata ) ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร ถือเป็นโบราณสถาานขนาดใหญ่ และเป็นศูนย์รวมแห่งความภาคภูมิใจของชาวอินโดนิเซีย และชาวพุทธทุกคน ซึ่งหวังจะไปแสวงบุญสักครั้งหนึ่งในชีวิต

เจดีย์บุโรพุทโธรูปทรงดอกบัวนี้ก่อสร้างตามแบบศิลปะฮินดู-ชวา หรือศิลปะชวาภาคกลางที่ผสมผสาานระหว่างอินเดียและอินโดนีเซียได้อย่างกลมกลืนที่สุด บุโรพุทโธเปรียบเป็นศูนย์กลางของจักรวาลซึ่งแบ่งเป็น 3 ชั้น

ส่วนฐานของเจดีย์ประกอบด้วยขั้นบันไดใหญ่ 4 ขั้น รอบ ๆ เป็นรูปสี่เหลี่ยม กำแพงรอบฐานมีภาพนูนตำไม่น้อยกว่า 160 ภาพส่วนนี้อยู่ในขั้นกามาธาตุ หรือขั้นตอนที่มนุษย์ยังผูกพันอย่างใกล้ชิดกับความสุขความร่ำรวยทางโลก

ส่วนที่สอง คือส่วนบนของฐานที่มีบันไดรูปกลม ฐาน 6 ชั้นที่มีรูปสลักนูนต่ำเกือบ 1,400 ภาพที่แสดงพุทธประวัติ ถือเป็นขั้นรูป ธาตุ คือขั้นตอนที่มนุษย์หลุดพ้นจากกิเลสทางโลกมาได้บางส่วน

ส่งวนที่สามคือส่วนของฐานกลมที่มีเจดีย์เล็ก ๆ 3 ขั้นล้อมรอบสถูปองค์ใหญ่ทึ่สุดที่หมายถึงจักรวาล คือขั้นอรูปธาตุ ที่มนุษย์ไม่ผูกพันกับทางโลกอีกต่อไป ปัจจุบันบุโรพุทโธจัดเป็นมรดกของยูเนสโกที่มีความลี้ลับมหัศจรรย์ทั้งทางด้านการก่อสร้างสถาปัตยกรรมรูปทรงภายนอก และมหัศจรรย์ในด้านสัญลักษณ์และความหมายที่รอให้มนุษย์ได้ศึกษาตีความกันต่อไป

:: อ้างอิง
วารสารเที่ยวรอบโลก ปีที่ 15 ฉบับ 169 กันยายน 2539

http://www.wonder7th.com/wonder_build/011borobudur_temple.htm

-------------------------------------------------------------------------

เครือจักรภพ
รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com

น้าชาติที่เคารพครับ
ผมเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการก่อตั้งประเทศในเครือจักรภพครับ
สุภกิจ

ตอบ สุภกิจ
ประเทศเครือจักรภพ-Commonwealth of Nations หรือยุคก่อนเรียก ประเทศเครือจักรภพอังกฤษ-The British Commonwealth of Nations คือกลุ่มประเทศอธิปไตยที่เป็นอาณานิคม หรือเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ (ยกเว้นโมซัมบิกที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นมาก่อน) แต่ด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ทำให้ยังคงยอมรับพระประมุขแห่งอังกฤษ และทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งการรวมกันระหว่างประเทศสมาชิก 53 ประเทศ

โดยมีเป้าหมายด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมประชาธิปไตย และหลักสิทธิมนุษยชนในกลุ่มประเทศสมาชิก นอกจากนี้สมาชิกยังมีสิทธิพิเศษระหว่างกัน เช่น สิทธิพิเศษทางด้านการค้า ทุนการศึกษา การขอวีซ่า เป็นต้น ทั้งประเทศสมาชิกยังมีการแข่งขันกีฬา คอมมอนเวลธ์ เกมส์ ทุก 4 ปี

โดยที่เครือจักรภพก่อตั้งอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อ ค.ศ.1926 และนับจาก ค.ศ.1949 เป็นต้นมา ถือเป็นองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งนี้ เมื่อรวมกันเข้ารัฐสมาชิกเครือจักรภพมีพื้นที่คิดเป็น 1 ใน 5 ของพื้นผิวโลก ขณะที่พลเมืองคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของประชากรโลก

ย้อนไป ค.ศ.1838 เครือจักรภพก่อตัวขึ้นจากการที่อังกฤษให้สิทธิปกครองอาณานิคมของตนที่มีชนผิวขาวเข้าไปตั้งหลักแหล่งเป็นจำนวนมาก ตามที่ "เอิร์ลแห่งเดอรัม" ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำแคนาดาเสนอแนวทางไว้ และแคนาดาเป็นประเทศแรกที่เข้าเป็นเครือจักรภพเมื่อ ค.ศ.1867 ตามด้วยออสเตรเลีย ค.ศ.1901 นิวซีแลนด์ ค.ศ.1907 และสหภาพแอฟริกาใต้ ค.ศ.1910 ดินแดนทั้ง 4 แห่งมีสถานะเป็นอาณาจักร ในขณะที่ดินแดนอื่นในจักรวรรดิอังกฤษยังคงมีสถานะเป็นอาณานิคม ซึ่งต้องยินยอมให้อังกฤษกำกับ ค.ศ.1911 มีการประชุมประเทศในจักรวรรดิครั้งแรก และตั้งแต่นั้นมาการประชุมดังกล่าวก็จัดขึ้นแทนการประชุมอาณานิคมซึ่งมีมาตั้งแต่ ค.ศ.1887

ในจำนวน 53 ประเทศ ถ้าไม่นับอังกฤษ มี 15 ประเทศ ที่รับรองสมเด็จพระราชินีอังกฤษเป็นประมุข โดยใช้ชื่อกลุ่มย่อยนี้ว่า Commonwealth Realms ประเทศเหล่านี้ยังคงมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตัวเอง ขณะที่ราชินีอังกฤษมีหน้าที่ทรงให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐบาลแต่ละประเทศเท่านั้น โดยทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการเป็นผู้แทนพระองค์ไปประจำ

ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี แอนติกาและบาร์บูดา บาฮามาส บาร์เบโดส เบลีซ เกรเนดา จาเมกา เซนต์คิตส์และเนวิส เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ หมู่เกาะโซโลมอน และตูวาลู และในจำนวนสมาชิกเครือจักรภพ 53 ประเทศ มี 5 ประเทศ ที่มีกษัตริย์ของตนเอง ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม เลโซโท มาเลเซีย สวาซิแลนด์ และตองกา

องค์กรระหว่างประเทศ เครือจักรภพ มีสำนักงานอยู่ที่เวสต์มินสเตอร์ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร มี ดอน แม็กคินนอน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศนิวซีแลนด์ เป็นเลขาธิการคนปัจจุบัน

ส่วนผู้แทนทางการทูตของกลุ่มประเทศในเครือจักรภพเรียกว่า ข้าหลวงใหญ่ ซึ่งเทียบเท่ากับตำแหน่งเอกอัครราชทูตในกรณีของประเทศที่มิได้เป็นสมาชิกเครือจักรภพ เช่น ผู้แทนทางการทูตของแคนาดาไปประจำ ณ ออสเตรเลีย ซึ่งทั้งสองเป็นประเทศในเครือจักรภพด้วยกัน เรียกผู้แทนทางการทูตของแคนาดานั้นว่า ข้าหลวงใหญ่ แต่ถ้าผู้แทนทางการทูตของแคนาดาไปประจำประเทศนอกเครือจักรภพ เช่น ประเทศไทย เรียกผู้แทนทางการทูตของแคนาดานั้นว่า เอกอัครราชทูต

หน้า 22

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNekEyTVRFMU1BPT0=&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBd055MHhNUzB3Tmc9PQ==

-------------------------------------------------------------------------

FfF