บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


07 มิถุนายน 2554

<<< หลักฐานที่เชื่อได้ว่า เป็นสาเหตุการกระชับพื้นที่หฤโหด จนมีคนตายนับสิบเจ็บนับพันคน >>>

รายละเอียดคำประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และประกาศที่เกี่ยวข้อง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 เมษายน 2553 20:53 น.


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น










ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความ ร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


โดยที่ปรากฏว่า ได้มีกลุ่มบุคคลดำเนินการที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย และนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยมีการปลุกระดม เชิญชวน ทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาและการสื่อสารด้วยวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่ทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในหลายพื้นที่ และเพื่อให้มีการกระทำที่ล่วงละเมิดกฎหมายของแผ่นดิน ด้วยการยุยงให้ประชาชนชุมชนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดขวางการใช้ชีวิตโดยปกติสุขของประชาชนอื่นโดยทั่วไป ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อน เสียหาย และเกรงกลัวอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน มีการใช้กำลังขัดขืนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งมีการใช้สถานที่เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีเจตนาบิดเบือน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพื่อให้กระทำการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่างๆ

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มได้ก่อเหตุร้ายหลายครั้งโดยต่อเนื่อง เพื่อมุ่งให้เกิดความเสียหายและไม่ปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน

จากสถานการณ์ที่มีเหตุยืดเยื้อและมีการละเมิดต่อกฎหมายเพิ่มมากขึ้น จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า จะมีการกระทำที่มีความรุนแรง กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ และเกิดความเสียหาย หรือไม่ปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นการชุมนุมโดยไม่สงบ ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมาย

กรณีนี้ส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ อันเป็นการกระทำที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย และกระทบต่อการใช้สิทธิ์และเสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ยุติโดยเร็ว

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการที่เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบมาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 38 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 45 และมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้ โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จ.นนทบุรี อ.เมืองสมุทรปราการ อ.บางพลี อ.พระประแดง อ.พระสมุทรเจดีย์ อ.บางบ่อ และ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ อ.ธัญบุรี อ.ลาดหลุมแก้ว อ.สามโคก อ.ลำลูกกา และ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และ อ.วังน้อย อ.บางปะอิน อ.บางไทร และ อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2553

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี

ประกาศ
ตามมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548


ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้ว นั้น

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของ บุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 38 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 45 และมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นายกรัฐมนตรีออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำเช่นว่านั้น หรือปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้ เท่าที่มีเหตุจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้บุคคลนั้นกระทำการหรือร่วมมือกระทำการ ใด ๆ อันจะทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง หรือเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการระงับเหตุการณ์ร้ายแรง และต้องปฏิบัติตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

ข้อ 2 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้บุคคลใดมารายงานตัวต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่หรือมาให้ถ้อยคำหรือส่งมอบเอกสารหรือหลักฐานใดที่เกี่ยว เนื่องกับสถานการณ์ฉุกเฉิน

ข้อ 3 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งยึดหรืออายัดอาวุธ สินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัตถุอื่นใด ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่า ได้ใช้หรือจะใช้สิ่งนั้น เพื่อการกระทำการหรือสนับสนุนการกระทำให้เกิดเหตุสถานการณ์ฉุกเฉิน

ข้อ 4 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งตรวจค้น รื้อ ถอน หรือทำลายซึ่งอาคารสิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งกีดขวาง ตามความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อระงับเหตุการณ์ร้ายแรงให้ยุติโดยเร็ว และหากปล่อยเนิ่นช้าจะทำให้ไม่อาจระงับเหตุการณ์ได้ทันท่วงที

ข้อ 5 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งตรวจสอบจดหมาย หนังสือ สิ่งพิมพ์ โทรเลข โทรศัพท์ หรือการสื่อสารด้วยวิธีการอื่นใด ตลอดจนการสั่งระงับหรือยับยั้งการติดต่อหรือการสื่อสารใด เพื่อป้องกันหรือระงับเหตุการณ์ร้ายแรง โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ โดยอนุโลม

ข้อ 6 ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบมีอำนาจสั่งห้ามมิให้กระทำการใด ๆ หรือสั่งให้กระทำการใด ๆ เท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประเทศ หรือความปลอดภัยของประชาชน

ข้อ 7 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งห้ามมิให้ผู้ใดออกไปนอกราชอาณาจักร เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการออกไปนอกราชอาณาจักรจะเป็นการกระทบกระเทือน ต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประเทศ

ข้อ 8 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งการให้คนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักร ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำให้เกิดสถานการณ์ ฉุกเฉิน ทั้งนี้ ให้นำกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองมาใช้บังคับโดยอนุโลม

ข้อ 9 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งการ ให้การซื้อ ขาย ใช้ หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งอาวุธ สินค้า เวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัสดุอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งอาจใช้ในการก่อความไม่สงบหรือก่อการ ร้ายต้องรายงานหรือได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตาม เงื่อนไขที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบกำหนด

ข้อ 10 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งการ ห้ามกระทำการอย่างใด ๆ ที่เป็นการปิดการจราจร ปิดเส้นทางคมนาคมหรือกระทำการอื่นใดที่ทำให้ไม่อาจใช้เส้นทางคมนาคมได้ตาม ปกติในทุกเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

ข้อ 11 ให้ข้าราชการทหาร ตามที่กำหนดในคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ พิเศษ 1/2553 เรื่อง แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ช่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ เพื่อระงับเหตุการณ์ร้ายแรงหรือควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบโดยด่วน ทั้งนี้ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว

ข้อ 12 ในการดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศนี้ ให้ใช้มาตรการตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยระมัดระวังมิให้มีการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกิน สมควรแก่เหตุ

ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาในการใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศนี้ตามที่เห็นสมควร

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
นายกรัฐมนตรี

คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ พิเศษ 2/2553
เรื่อง แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไข
สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง


ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้ว นั้น

อาศัยอำนาจตามมาตรา 7 วรรคสาม และวรรคหก และมาตรา 15 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของ บุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 38 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 45 และมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบ พนักงานเจ้าหน้าที่และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานตามประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง

ข้อ 2 ให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในเขตท้องที่ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง

ข้อ 3 ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบตามข้อ 2 มีอำนาจในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามที่กำหนดไว้ในพระราช กำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย
(1) บังคับบัญชาและสั่งการส่วนราชการและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
(2) ดำเนินการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือผู้กำกับการปฏิบัติงานมอบหมาย

ข้อ 4 ให้ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือน ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่หรือได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในเขตท้องที่ ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราช กำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการตามพระราชกำหนดการ บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งที่ออกตามพระราชกำหนดดังกล่าว และเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของ นายกรัฐมนตรี
การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายกำหนด

ข้อ 5 ให้ผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


สั่ง ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
นายกรัฐมนตรี

คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ พิเศษ 1/2553
เรื่อง การจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน


ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอินอำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้ว นั้น

เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามมาตรา 7 วรรคสาม วรรคห้า และวรรคหก มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 11 และมาตรา 15 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงาน ดังนี้

ข้อ 1 ให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นหน่วยงานพิเศษตามมาตรา 7 วรรคห้า แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยมีผู้ปฏิบัติงาน ดังต่อไปนี้
1.1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการ
1.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รองผู้อำนวยการ
1.3 ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ (1)
1.4 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ช่วยผู้อำนวยการ (2)
1.5 ผู้บัญชาการทหารบก ผู้ช่วยผู้อำนวยการ (3)
1.5 ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ (4)
1.6 ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ (5)
1.7 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ (6)
1.8 ปลัดกระทรวงยุติธรรม กรรมการ
1.9 ปลัดกระทรวงมหาดไทย กรรมการ
1.10 ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กรรมการ
1.11 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรรมการ
1.12 ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรรมการ
1.13 ปลัดกระทรวงพลังงาน กรรมการ
1.14 อัยการสูงสุด กรรมการ
1.15 เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการ
1.16 ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กรรมการ
1.17 อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กรรมการ
1.18 ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ
1.19 อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรรมการ
1.20 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรรมการ
1.21 เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กรรมการ
1.22 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กรรมการ
1.23 ผู้ช่วยผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรรมการ
1.24 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (1) กรรมการ
1.25 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (2) กรรมการ
1.26 เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
1.27 เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

1.28 ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือนซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่หรือได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติ หน้าที่ในเขตท้องที่ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง

ข้อ 2 ให้ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุก เฉิน พ.ศ. 2548 โดยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุก เฉิน

ข้อ 3 ให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

3.1 ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 กฎหมายที่โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี หรือกฎหมายที่นายกรัฐมนตรีรักษาการ และประกาศของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ เท่าที่จำเป็นในการปฏิบัติงานให้สถานการณ์ฉุกเฉินยุติลง

3.2 จัดโครงสร้างขององค์กรให้เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ และจัดให้มีหน่วยงานหรือศูนย์ปฏิบัติการ เพื่อเป็นองค์กรปฏิบัติการได้ตามที่เห็นสมควร

3.3 ดำเนินการด้านการข่าวและต่อต้านข่าวกรองที่เกี่ยวกับสถานการณ์การก่อความไม่ สงบและที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

3.4 ดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาล ประชาชน และกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ รวมทั้งปฏิบัติการจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง

3.5 จัดกำลังตำรวจ ทหาร และพลเรือนดำเนินการตามแผนรักษา ความปลอดภัยบุคคลสำคัญและสถานที่สำคัญต่าง ๆ รวมทั้งประสานให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่นั้น ๆ ดำเนินการป้องกันตนเองตามความสามารถเป็นอันดับแรก

3.6 จัดชุดปฏิบัติการจากตำรวจ ทหาร และฝ่ายพลเรือนเข้าระงับการก่อความไม่สงบและช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ของประชาชนที่เกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉิน

3.7 มอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนกำลังพล งบประมาณ วัสดุครุภัณฑ์ ยานพาหนะ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน

3.8 เรียกให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ชี้แจง ให้ข้อมูลข่าวสาร จัดส่งเอกสาร หรือดำเนินการอื่นใดตามที่เห็นสมควร

3.9 แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาหรือเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ตามความจำเป็น

3.10 ดำเนินการอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

ข้อ 4 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เว้นแต่การใช้อำนาจสอบสวนต้องเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือนซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับ 3 เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารซึ่งมียศตั้งแต่ร้อยตรี เรือตรี และเรืออากาศตรี หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรีขึ้นไป

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


สั่ง ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
นายกรัฐมนตรี


ข้อกำหนด
ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548


ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้ว นั้น

เพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติได้โดยเร็ว และป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น อาศัยอำนาจตามมาตรา 9 และมาตรา 11 วรรคสอง แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของ บุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 36 มาตรา 38 มาตรา 41 มาตรา 43 มาตรา 45 และมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติ
แห่งกฎหมาย นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้

1. ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ทั้งนี้ ภายในเขตพื้นที่ที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด

2. ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ในทั่วราชอาณาจักร

3. ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขในการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ ทั้งนี้ ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด

4. ห้ามใช้อาคาร หรือเข้าไป หรืออยู่ในสถานที่ใด ๆ หรือห้ามเข้าไปในพื้นที่ใด ๆ ทั้งนี้ ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด

5. ให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยของประชาชน หรือห้ามผู้ใดเข้าไปในพื้นที่ ทั้งนี้ ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด

ในการนี้ หัวหน้าผู้รับผิดชอบจะกำหนดเงื่อนเวลาในการปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือเงื่อนไขในการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควร เพื่อมิให้มีการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควรแก่ เหตุก็ได้

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
นายกรัฐมนตรี

ประกาศ
เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี


ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้ว นั้น

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 7 วรรคสอง และวรรคหก แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้บรรดาอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมาย โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชา หรือช่วยในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับ ยับยั้งในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือฟื้นฟูหรือช่วยเหลือประชาชนในเขตท้องที่ที่มี การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังต่อไปนี้

1. พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551
2. พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
3. พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
4. พระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530
5. พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550
6. พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493
7. พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
8. พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522
9. พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
10. พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490
11. พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
12. พระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551
13. พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542
14. พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498
15. พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456
16. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับมูลนิธิและสมาคม
17. ประมวลกฎหมายอาญา
18. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการใช้ อำนาจสืบสวนและสอบสวน และการใช้อำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ

ทั้งนี้ ให้รวมถึงกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวข้างต้นด้วย

ให้ผู้กำกับการปฏิบัติงานตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ได้รับมอบหมาย จากนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 วรรคหก ของพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ใช้อำนาจตามประกาศนี้แทนนายกรัฐมนตรี และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็น อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม ให้ผู้กำกับการปฏิบัติงานตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อ เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
นายกรัฐมนตรี



ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การปฏิบัติตามข้อกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 8 เม.ย. 2553


http://www.thaisarn.com/th/news_reader.php?newsid=492701

---------------------------------------------------

ลำดับเหตุการณ์ การชุมนุมของคนเสื้อแดง
ตั้งแต่วันเริ่มชุมนุมใหญ่วันที่ 13 มีนาคม 2553
จนถึงวันสลายชุมนุมเลือดในวันที่ 10 เมษายน 2553


13 มีนาคม 2553
กลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเดินทางมาที่สะพานผ่านฟ้า ลีลาศ ถนนราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมชุมนุมใหญ่ โดยขับรถเป็นคาราวานเข้ากรุง

14 มีนาคม 2553
นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน อ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาภายใน 24 ชั่วโมง
"เผด็จ การได้เข้าครอบงำประเทศตั้งแต่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 และยังคงครอบงำต่อมา ด้วยเครื่องมือรัฐธรรมนูญ 2550 องค์กรอิสระต่างแลกฎหมายที่มาจากเผด็จการคณะนั้น รัฐบาลชุดนี้เป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งของการ ครอบงำ เรียกว่า เผด็จการซ่อนรูป ประจักษ์ชัดโดยไม่สงสัยว่ารัฐบาลบริหาร โดยขาดความรู้ ประสบการณ์ และทุจริตคอร์รัปชั่น ก่อความเสียหายต่อประเทศและประชาชน รัฐบาลนี้ขาดความชอบธรรมในการบริหาร เพราะรวบรวมชื่อ ส.ส.สนับสนุนได้ แต่สภาผู้แทนขาดคามรับผิดชอบ หลายบทหลายมาตรา อาทิ มาตรา 301, 302, 291 สภานี้จึงไม่อาจเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงของประชาชน"

นายเพียร ยงหนู ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่ากองทัพต้องวางบทบาทอยู่บนหลักความถูกต้อง ยึดถือความยุติธรรม เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ สหภาพฯออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่ให้นำกองกำลังทหารหลายกองร้อยออกปฏิบัติการเพื่อควบคุมฝูงชน เพราะจะเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน และหากมีการใช้กำลังสลายการชุมนุมด้วยวิธีรุนแรง สหภาพฯจะเข้าร่วมต่อสู้กับประชาชนทันที

15 มีนาคม 2553
กลุ่ม ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปยังกรม ทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เพื่อทวงถามคำตอบจากนายกรัฐมนตรี แต่นายกรัฐมนตรีได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ แบล็คฮอร์ค ออกจากบริวณดังกล่าว โดยระบุว่าจะพา นายโสภณ ซารัมย์ ตรวจดูการจราจร ตามเส้นทางต่างๆ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวว่า หลังการชุมนุมผ่านมา 3 วันทุกอย่างเรียบร้อยปกติ ซึ่งผู้ชุมนุมมีการยื่นเวลาให้ตนยุบสภาภายใน 24 ชั่วโมง ตนได้เชิญหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลและผู้แทนพรรคร่วมรัฐบาลมาหารือซึ่งเห็นร่วม กันว่าไม่ควรมีการยุบสภา

16 มีนาคม 2553
กลุ่มผู้ชุมนุมเจาะเลือดคนละ 10 ซีซี
16.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากสะพานผ่านฟ้า เพื่อมุ่งหน้านำเลือกที่เจาะได้จากกลุ่มผู้ชุมนุมไปเทบริเวณประตูทำเนียบ รัฐบาล ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำเลือดผสมน้ำเกลือ ใส่ในแกลลอนน้ำขนาด 5 ลิตรจำนวนกว่า 23-24 แกลลอน และทยอยหิ้วเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล ขณะที่แกนนำกลุ่มนปช.ได้ขึ้นรถบรรทุกติดเครื่องขยายเสียงเคลื่อนไปพร้อมกับ กลุ่มผู้ชุมนุม

17.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ทำพิธีเทเลือดที่บริเวณประตูต่างๆ ของทำเนียบรัฐบาล โดยในบริเวณประตู 2 ได้มีพราหมณ์พร้อมกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนเดินทางเข้าประกอบพิธีด้านหน้า บริเวณประตู โดยมีการเทเลือดลงบนพื้นถนนพร้อมทำพิธีสาบแช่งและนำเลือดมาเขียนเป็นอักขระ บนเสาด้านข้างประตู 2 และทำเรื่อยไปจนถึงประตู 8 ซึ่งตั้งอยู่ด้านเลียบคลองผดุงกรุงเกษม โดยจุดเทเลือดสุดท้ายคือ ทางเข้าอาคารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีแกนนำได้ขึ้นประจำรถบรรทุกติดเครื่องขยายเสียง เพื่อเตรียมเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมไปที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป

18.45 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ฝ่าแนวกั้นที่เจ้าหน้าที่นำมากั้นด้านหน้าประตูทางเข้าที่ ทำการพรรคประชาธิปปัตย์ จนสามารถเข้าไปทำพิธีเทเลือดที่บริเวณหน้าบันไดทางขึ้นที่ทำการพรรคได้ สำเร็จ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้เตรียมเลือดที่เหลือจากการทำพิธีบริเวณทำเนียบรัฐบาล จำนวน 10 แกลลอน มาทยอยเทด้านหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปปัตย์ ทั้งนี้ในระหว่างที่มีการทำพิธี ผู้ชุมนุมต่างส่งเสียงโห่ร้องและตะโกนขับไล่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แกนนำได้ปราศรัยขอให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบก่อนที่จะประกาศให้ผู้ ชุมนุมเคลื่อนขบวนกลับไปเวทีหลักที่สะพานผ่านฟ้า

17 มีนาคม 2553
ช่วง เช้า แกนนำกลุ่มผู้ชุนนุมได้ประกาศแนวทางและเส้นทางที่จะใช้เดินทาง เพื่อไปเทเลือดที่บริเวณหน้าบ้านพักของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ซอยสุขุมวิท 31 และเริ่มเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุม เวลาประมาณ 11.50 รถปราศรัยของแกนนำได้เดินทางมาถึงสี่แยกด้านหน้าบ้านพักนายกรัฐมนตรี โดยนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ได้เป็นตัวแทนเดินลงมาบริเวณรั้วลวดหนามพร้อมด้วยภาชนะบรรรจุเลือดประมาณ 5-6 แกลลอน ขณะที่ได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก เพื่อพยายามเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจะขอเข้าไปทำพิธีกรรมเทเลือด บริเวณหน้าบ้านของนายกรัฐมนตรี แต่ยังไม่สามารถเข้าไปได้ โดยมี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เป็นผู้คุมสถานการณ์ และทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล 5 ได้นำรถบรรทุกเครื่องขยายเสียงมาขอให้ผู้ชุมนุมอย่างสันติและขอให้ตระหนักใน สิทธิของประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบส่วนหน้าบ้านพักนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังเป็นบ้านพักของบิดานายกรัฐมนตรี ดังนั้นจะทำให้อะไรก็ขอให้อยู่ในกรอบกติกาและคำนึงถึงจารีตประเพณีสังคมไทย ด้วย ขอให้ผู้ชุมุนมจัดตัวแทนมาเจรจาร่วมกันว่าจะเข้าจัดกิจกรรมในจุดใด ตำรวจพร้อมให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวก และขอยืนยันว่าจะไม่ใช้กำลังและความรุนแรงใด ๆ กับผู้ชุมนุม

แต่ใน เวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยอมให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้ามาภายในซอยสุขุมวิท 31 หลังนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงได้เจรจากับ พล.ต.ต.วิชัย โดย พล.ต.ต.วิชัยได้สั่งให้ตำรวจถอยเป็นระยะทาง 5 เมตร แต่ยังสกัดกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าถึงรั้วบ้านได้ ซึ่งขณะนี้มีระยะห่างกว่า 200 เมตร ทั้งนี้ได้มีผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามบุกปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่ตั้งแถวกั้น อยู่ด้วย

อย่างไรก็ดี เมื่อมีการสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มม็อบเข้าไปใกล้บ้านพักของนายกรัฐมนตรี กลุ่มผู้ชุมนุมนำโดยนายอริสมันต์ได้ทำการฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่ บุกไปถึงหน้าบ้านพักนายกรัฐมนตรี พร้อมเทเลือดกองบนพื้นถนนท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก โดยนายณัฐวุฒิได้ประกาศบนรถปราศรัยเพื่อขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เปิดทางให้ กลุ่มคนเสื้อแดงเทเลือดบริเวณดังกล่าวด้วย และมีผู้ชุมนุมบางคนได้ระดมปาถุงบรรจุเลือดและอึเข้าใส่ภายในบ้านพักนายก รัฐมนตรี ซึ่งเจ้าหน้าที่และบุคคลภายในบ้านได้พยายามนำสายยางมาฉีดน้ำโต้ตอบ

ทั้ง นี้หนังสือพิมพ์ Christian Sciene Monitor ของสหรัฐอเมริกา ได้จัดอันดับ 10 การประท้วงสุดพิสดาร ปรากฏว่า การเทเลือดของกลุ่มนปช. ถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 ของการประท้วงสุดพิสดาร

20 มีนาคม 2553
กลุ่ม ผู้ชุมนุมจัดขบวนรถจำนวนมาก โดยเคลื่อนขบวนไปรอบกรุงเทพมหานครตามเส้นทางสายสำคัญต่างๆ แกนนำกลุ่มเสื้อแดงได้กล่าวอ้างว่าตลอดทางมีประชาชนมาให้กำลังใจจำนวนมาก

โดย การเคลื่อนพลจะเคลื่อนไปพร้อมกันทั้งหมด จะไม่มีการดาวกระจาย เริ่มตั้งขบวนตั้งแต่ 10.00 น. หัวขบวนจะอยู่ที่แยกยมราช มีกองทัพมอเตอร์ไซค์ 2,000 คันนำขบวน พร้อมกับทีมนักรบพระองค์ดำ จากนั้นถึงจะเป็นขบวนคนเสื้อแดงทั้งหมด โดยจะเคลื่อนขบวนไปตามถนนเพชรบุรีตัด ใหม่ ถึงแยกอโศกจะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนรัชดาภิเษกผ่านแยกฟอร์จูน ไปตามถนนรัชดาฯ จนถึงแยกรัชดาฯ-ลาดพร้าว จะเลี้ยวขวา เข้าถนนลาดพร้าว ตรงไปถึงบางกะปิ ถึงแยกบางกะปิ จะเลี้ยวขวา ไปถึงแยกลำสาลี แล้วจะเลี้ยวขวาอีกครั้ง เข้าถนนรามคำแหง ตรงไปตามถนนรามคำแหง จนถึงแยกพระราม 9 ตรงไปแยกคลองตัน แล้วตรงไปแยกพระโขนง เลี้ยวขวาเข้าถนนพระราม 4 จากนั้นตรงไปจนถึงสีลม แล้วเข้าวงเวียนโอเดียน เยาวราช ผ่านพาหุรัด แล้วเคลื่อนขบวนไปฝั่งธนบุรี ก่อนที่จะกลับเข้าเวทีปราศรัยที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน ในเวลา 18.00 น. กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ประเมินตัวเลขจำนวนผู้ชุมนุมในวันนี้ไม่น้อยกว่า 100,000 คน รถจักรยานยนต์ ประมาณ 10,000 คัน และรถยนต์ประมาณ 7,000 คัน

นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวถึงการเคลื่อนขบวนของกลุ่มเสื้อแดงว่า เน้นคอนเซปต์ว่าเป็นการขอบคุณและปลูกต้นรักให้แก่คนกรุงเทพฯ ที่ต้อนรับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่มาจากต่างจังหวัด จึงจะเป็นขบวนที่ผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่มีการปราศรัยทางการเมืองที่เข้มข้น จะเป็นการตีกลอง ร้องเพลงแบบฉิ่งฉาบทัวร์ เพื่อสร้างความสนุกสนาน สลับกับการขึ้นปราศรัยขอบคุณคนกรุงเทพฯ เน้นความรื่นเริงเถิดเทิงไปตลอดการเคลื่อนขบวน

22 มีนาคม 2553
นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน อ่านแถลงการณ์เรื่อง "ยืนยันข้อเรียกร้องยุบสภา พร้อมเจรจากับนายกฯ"
"นปช.ยืน ยันให้ยุบสภาทันทีเพื่อคืนอำนาจให้ ประชาชน นปช.ไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดนอกเหนือจากนี้ นปช. ยินดีให้มีการเจาจาโดยผู้เจารจาคือผู้มี อำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจตัดสินใจยุบสภา เมื่อยุบสภาแล้ว ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องสลายตัวทันทีเพื่อให้ประเทศชาติกลับสู่ปกติ และต้องเปิดโอกาสให้ทุกพรรคหาเสียงเต็มที่โดยไมมีกีดขวางให้การเลือกตั้งที่ บริสุทธิ์ ยุติธรรมเป็นเครื่องตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายต้องยอมรับ เพื่อให้ประเทศต้องเดินหน้าต่อไปได้"

23 มีนาคม 2553
นาย ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการกลุ่มสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ให้ชาวกรุงเทพมหานครรวมตัวกันเพื่อต่อต้านความรุนแรง รวมทั้งให้อยู่ในที่ตั้งเพื่อเฝ้าระวังเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นจากการชุมนุม ของคนเสื้อแดง

กลุ่มพี่น้องมหิดลออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้ นปช. ยุติให้ผู้ชุมนุมเจาะเลือดแม้ผู้ให้จะเต็มใจก็ตาม เนื่องจากเห็นว่าการนำเอาเลือดออกจากร่างกาย มีไว้เพื่อการตรวจวินิจฉัย เพื่อการรักษา หรือการบริจาคเท่านั้น มิสามารถกระทำเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดได้ รวมทั้งมองว่าระดับแกนนำย่อมมีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบในการดูแลผู้เข้า ร่วมชุมนุมให้เกิดความปลอดภัยและมีสุขภาพอนามัยที่ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ควรเลือกวิธีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ การอ่อนเพลียจากการสูญเสียเลือดและอากาศร้อนอบอ้าว

คณะ กรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน อันประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ออกแถลงการณ์ขอให้กลุ่มคนเสื้อแดง คืนพื้นที่แยกราชประสงค์ที่ปักหลักชุมนุมมาตั้งแต่วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2553 โดยให้กลับไปชุมนุมบริเวนสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยที่ประชุม กกร. มีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะการชุมนุมดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อการทำมาหากินในทุกระดับ ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ไปจนถึงร้านค้าย่อย รวมทั้ง นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ และแม้ นปช.จะมีสิทธิในการชุมนุมเพื่อแสดงออกภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ควรจะละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งข้อเรียกร้องต่างๆ ของกลุ่มผู้ชุมนุมควรมีความชัดเจนและจริงใจต่อกันเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ที่แท้จริง

ที่ประชุมสมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย ได้แสดงจุดยืนเรียกร้องให้รัฐบาลและกลุ่ม นปช. ร่วมกันหาทางออกเพื่อยุติความขัดแย้งและการชุมนุมโดยเร็ว หลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับความเสียหายแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการรวมพลังของผู้ประกอบการในที่ต่างๆ เช่น จ.เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ สมุย พัทยา โดยใช้ข้อความว่า "ยุติความขัดแย้งเพื่อท่องเที่ยวไทย ทุกฝ่ายหยุดทำร้ายท่องเที่ยวไทย สมานฉันท์เพื่อท่องเที่ยวไทย" พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังเรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายดูแลการชุมนุมอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วและปราศจากความรุนแรง เพราะถ้าการชุมนุมยังยืดเยื้อจะกระทบความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ โดยสำนักข่าวอัลจาซีร่า รายงานข่าวว่า การประท้วงของคนเสื้อแดงกำลังสร้างความไม่พอใจให้กับชาวกรุงเทพจำนวนมาก จนเกิดการชุมนุมของคนเสื้อชมพูมากกว่า 1,000 คน ที่สวนลุมพินี เพื่อระบุว่าพวกเสื้อแดงไร้เหตุผล นับเป็นครั้งแรกจากการบุกเข้ามาประท้วงในกรุงเทพฯ ของเสื้อแดงที่มีคนกลุ่มใหญ่ออกมาต่อต้าน เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลไทยที่มีกองทัพหนุนหลังจะไม่รีบร้อนยุบสภาและจัดการ เลือกตั้งใหม่ซึ่งอาจเปิดทางให้ผู้สนับสนุนของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรรีบขึ้นมาชิงอำนาจคืน

25 มีนาคม 2553
นาย สุภรณ์ อัตถาวงศ์ พร้อมแกนนำคนอื่น อาทิ นายวันชนะ เกิดดี นายเจ๋ง ดอกจิก รวมทั้งผู้ชุมนุมทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กที่สมัครใจได้ทำการโกนศีรษะเพื่อประท้วงนายกรัฐมนตรีและขับ ไล่รัฐบาล รวมทั้งทำพิธีสาปแช่งนายกรัฐมนตรี โดยมีนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงโกนผมให้นายสุพร ขณะที่พระสงฆ์ประมาณ 15 รูป โกนผมให้แก่ผู้ชุมนุม บนเวทีหลักสะพานผ่านฟ้าลีลาศ

27 มีนาคม 2553
คน เสื้อแดงได้เคลื่อนขบวนไปกดดันทหารให้ถอนกำลังกลับกรมกองตามจุดต่างๆ ทั้ง 7 จุด เอเอฟพีระบุว่ามีผู้เข้า ร่วมชุมนุมประมาณ 80,000 คน นอกจากนี้ยังมีการยึดอาวุธปืน ฯลฯ ของทหารจำนวนหนึ่งอีกด้วย แล้วมีการส่งคืนในภายหลัง แต่ยังมีอาวุธสูญหาย ซึ่งทาง ศอฉ. ยังคงกังวลอยู่

28 มีนาคม 2553
นายก รัฐมนตรี พร้อมด้วยนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ และนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ เข้าเจรจาหารือเรื่องการยุบสภากับประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน นพ.เหวง โตจิราการ และนายจตุพร พรหมพันธุ์

29 มีนาคม 2553
มีการเจรจาต่อเนื่องจากเมื่อวาน แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป

3 เมษายน 2553
มีการเคลื่อนขบวนมาปักหลักบริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ชุมนุมจำนวนมาก กระจายกันอยู่เต็มผิวจราจร ตั้งแต่แยกประตูน้ำ ด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ต่อเนื่องไปจนถึงถนนราชดำริ โดยพิธีกรบนเวทีแจ้งว่า คืนนี้จะปักหลักชุมนุมข้ามคืน ที่แยกราชประสงค์

7 เมษายน 2553
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

8 เมษายน 2553
ภายหลังที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง มอบหมายให้กระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไปแจ้งให้ไทยคมระงับการแพร่สัญญาณภาพและ เสียงของสถานีประชาชน ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณสถานีไทยคม ที่ตั้งอยู่ถนนรัตนาธิเบศร์ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และสถานีไทยคม ซึ่งตั้งอยู่ถนนสายลาดหลุมแก้ว-วัดเจดีย์หอย อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เพื่อเรียกร้องให้ยุติการระงับการเผยแพร่สัญญาณ

9 เมษายน 2553
สำนัก ข่าวเอเอฟพีรายงานว่า องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนออกแถลงการณ์ประณามการปิดกั้นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพี เพิลแชนแนลและเว็บไซต์ 36 เว็บไซต์ของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยระบุว่าการปิดกั้นสื่อมวลชนที่ทั้งเป็นกลางและสื่อที่มีความเห็นไปในทาง เดียวกับฝ่ายค้าน ทำให้อาจเกิดความรุนแรงได้

กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อน ขบวนไปยังสถานีไทยคม ซึ่งตั้งอยู่ถนน สายลาดหลุมแก้ว-วัดเจดีย์หอย อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เพื่อเรียกร้องให้ยุติการระงับการเผยแพร่สัญญาณการออกอากาศของสถานีประชาชน โดยได้มีการนำกองกำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา แต่ไม่บรรลุผล จากนั้นเหตุการณ์ได้สงบลงภายในเวลา 15 นาที โดยแกนนำพยายามควบคุมมวลชนไม่ให้บุกเข้าไปภายในตัวอาคาร จนกระทั่งมีการเจรจาให้ทหารถอนกำลังเดินแถวออกจากสถานีไทยคม ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจของผู้ชุมนุม

นอกจากนี้ได้มีการนำอาวุธที่ ได้ยึดมาจากทหาร ที่ประกอบด้วยปืนเอ็ม 16, ปืนลูกซองยาว พร้อมลูกระเบิดแก๊สน้ำตา หมวกกันน็อค เสื้อเกราะ โล่ กระบอง มาให้สื่อมวลชนได้ถ่ายภาพเอาไว้ รวมทั้งยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาอีกจำนวนหนึ่งจากเหตุการณ์การ สลายการชุมนุม หลังจากที่มีการยืนยันว่าทางสถานีประชาชนจะมีการออกอากาศอย่างแน่นอน กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเคลื่อนขบวนกลับไปยังที่ตั้ง

22.20 น.ได้มีการเข้าระงับการออกอากาศของทางสถานีอีกครั้ง

10 เมษายน 2553
รัฐบาลได้นำกองกำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
13.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ฉีดน้ำออกจากกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 และพยายามปิดประตู พร้อมขึงรั้วลวดหนาม นอกจากนี้มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้ใช้แก๊สน้ำตายิงด้วย ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้ถอยร่นออกมาบริเวณสนามเสือป่า พยายามปาท่อนไม้และสิ่งของตอบโต้ นอกจากนี้ยังเกิดเสียงดังขึ้นเป็นระยะๆ ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นระเบิดเสียง ทำให้ผู้ชุมนุมแตกตื่นวิ่งหนี

13.10 น. กลุ่มเสื้อแดงได้กลับมารวมตัวอีกครั้ง แกนนำบนรถปราศรัยได้ประกาศว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กำลังเดินทางตามมา โดยกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้เดินเก็บท่อนไม้ที่เหลือจากการจัดงานกาชาด เตรียมพร้อมไว้แล้วด้วย

13.45 น. เกิดเหตุชุลมุนที่แยกพาณิชยการ ใกล้ทำเนียบรัฐบาลและกองทัพภาคที่ 1 โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้น้ำฉีดผู้ชุมนุมที่ปิดล้อมแยกดังกล่าว จากนั้นได้ยิงแก๊สน้ำตา และยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมเป็นระยะ ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงบางคนได้รับบาดเจ็บและแตกฮือสลายการชุมนุมจากแยกพาณิช ยการ จากนั้นทหารนำรถที่กลุ่มผู้ชุมนุมจอดขวางออกนอกพื้นที่ และเดินจากแยกพาณิชยการมุ่งหน้าเข้าถนนราชดำเนิน

14.00 น. ทหารได้ทยอยยึดถนนราชดำเนินได้บางส่วน โดยตรึงกำลังตามสี่แยกต่างๆ ตั้งแต่กอง บัญชาการกองทัพภาคที่ 1 แยกมิสกวัน และสะพานมัฆวานรังสรรค์ ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมต่างถอยร่นไปรวมตัวที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และพยายามจอดรถขวางทางเพื่อสกัดทหาร

14.20 น. บริเวณการชุมนุมคนเสื้อแดงบริเวณแยกมิสกวัน โดยทหารได้ใช้แก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตามเกิดโต้ล้มทำให้พัดย้อนกลับไปโดนทหารเช่นกันและมีผู้ชุมนุมบาง ส่วนได้ขว้างกลับมาเช่นกัน ทางด้านบริเวณคลองผดุงกรุงเกษมทหารได้รุกคืบฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุมพร้อมกับได้ จับผู้ปราศรัยบนเวที ขณะเดียวกันทางผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงได้ปรับขบวนด้วยการใช้พระสงฆ์ออกมาตั้ง แนวป้องกันการรุกคืบของทหาร

15.00 น. มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมปืนลูกซอง ปืนเอ็ม16 พกโล่พร้อมอาวุธครบมือ ได้ยืนตั้งแถวอยู่ตรงบริเวณสวนสาธารณะเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ฝั่งอรุณอมรินทร์

17.50 น. มีเฮลิคอปเตอร์บินวนบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และได้มีการปล่อยแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ลงมาเพื่อสลายการชุมนุม ขณะที่แกนนำได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมออกมารวมตัวกันที่หน้าเวที พร้อมกับปลุกระดมให้ต่อสู้และดูสถานการณ์ต่อไป ขณะที่ผู้ชุมนุมได้มีการปล่อยลูกโป่งและโคมลอยเพื่อรบกวนการบินของ เจ้าหน้าที่บนเฮลิคอปเตอร์แต่ไม่มีผลแต่อย่างใด แก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ทิ้งลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ตกลงมาที่ด้านหลังเวที ซึ่งมีสื่อมวลชนปักหลักทำข่าวอยู่เป็นจำนวนมากทำให้แตก ตื่นหาที่หลบแก๊สน้ำตา และอีกจุดทิ้งไปที่ด้านหน้าเวทีซึ่งมีผู้ชุมนุมรวมตัวอยู่ค่อนข้างหน้าแน่น

21.00 น. มีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในบริเวณต่างๆ ใกล้กับที่ชุมนุม เช่น ถนนดินสอ ช่วงวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และถนนตะนาว ช่วงแยกคอกวัว ฝั่งเชื่อมต่อถนนข้าวสาร โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 1,427 ราย

http://maha-arai.blogspot.com/2010/04/blog-post_02.html

---------------------------------------------------

หลักฐานที่พยายามรวบรวมมาแสดงนี้
เป็นหลักฐานที่เชื่อได้ว่า
เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสลายการชุมนุม
จนมีคนตายนับสิบ เจ็บนับพันคน
ในการสลายการชุมนุมวันที่ 10 เมษา 53
บริเวณถนนราชดำเนิน
และยังรวมไปจนถึงวันที่ 19 พ.ค. 53
ในการสลายการชุมนุมบริเวณราชประสงค์

หลักฐานที่ว่านี้ก็คือ
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
ในวันที่ 7 เมษายน 2553
ที่มี
นายอภิสิทธิ์ ลงนามในฐานะนายกรัฐมนตรี
โดยมีข้ออ้างดังต่อไปนี้

"โดยที่ปรากฏว่า ได้มีกลุ่มบุคคลดำเนินการที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย และนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยมีการปลุกระดม เชิญชวน ทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาและการสื่อสารด้วยวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่ทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในหลายพื้นที่ และเพื่อให้มีการกระทำที่ล่วงละเมิดกฎหมายของแผ่นดิน ด้วยการยุยงให้ประชาชนชุมชนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดขวางการใช้ชีวิตโดยปกติสุขของประชาชนอื่นโดยทั่วไป ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อน เสียหาย และเกรงกลัวอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน มีการใช้กำลังขัดขืนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งมีการใช้สถานที่เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีเจตนาบิดเบือน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพื่อให้กระทำการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่างๆ

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มได้ก่อเหตุร้ายหลายครั้งโดยต่อเนื่อง เพื่อมุ่งให้เกิดความเสียหายและไม่ปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน

จากสถานการณ์ที่มีเหตุยืดเยื้อและมีการละเมิดต่อกฎหมายเพิ่มมากขึ้น จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า จะมีการกระทำที่มีความรุนแรง กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ และเกิดความเสียหาย หรือไม่ปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นการชุมนุมโดยไม่สงบ ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมาย

กรณีนี้ส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ อันเป็นการกระทำที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย และกระทบต่อการใช้สิทธิ์และเสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ยุติโดยเร็ว"

แต่ลองไปดูลำดับเหตุการณ์การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง
ในปี 2553 ตั้งแต่ 13 มีนาคม 2553 จนถึงวันที่ 7 เมษายน 2553
มีอะไรที่ว่าร้ายแรงจนต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
ถ้าเทียบกับม็อบพันธมิตรในปัจจุบันที่ล้อมทำเนียบ
และปลุกระดมสารพัด จนเกือบจะเกิดสงครามกับเพื่อนบ้าน
กับกรณีการชุมนุมของเสื้อแดงช่วงเวลานั้น
มันมีอะไรต่างกันมากนักหรือถึงได้เกิด 2 มาตรฐาน
ประำกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและลุยสลายการชุมนุม
ด้วยอาวุธที่พกติดตัวมาสลายในวันที่ 9 เมษา 53
แบบนี้

"นอกจากนี้ได้มีการนำอาวุธที่ ได้ยึดมาจากทหาร ที่ประกอบด้วยปืนเอ็ม 16, ปืนลูกซองยาว พร้อมลูกระเบิดแก๊สน้ำตา หมวกกันน็อค เสื้อเกราะ โล่ กระบอง มาให้สื่อมวลชนได้ถ่ายภาพเอาไว้ รวมทั้งยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาอีกจำนวนหนึ่งจากเหตุการณ์การ สลายการชุมนุม หลังจากที่มีการยืนยันว่าทางสถานีประชาชนจะมีการออกอากาศอย่างแน่นอน กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเคลื่อนขบวนกลับไปยังที่ตั้ง"

และแบบนี้ในวันที่ 10 เมษา 53

"15.00 น. มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมปืนลูกซอง ปืนเอ็ม16 พกโล่พร้อมอาวุธครบมือ ได้ยืนตั้งแถวอยู่ตรงบริเวณสวนสาธารณะเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ฝั่งอรุณอมรินทร์"

จนทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายในเบื้องต้นมากขนาดนี้

"21.00 น. มีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในบริเวณต่างๆ ใกล้กับที่ชุมนุม เช่น ถนนดินสอ ช่วงวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และถนนตะนาว ช่วงแยกคอกวัว ฝั่งเชื่อมต่อถนนข้าวสาร โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 1,427 ราย"

ถ้าไม่พกอาวุธร้ายแรงมาสลายการชุมนุม
จะมีคนบาดเจ็บล้มตายมากขนาดนี้หรือ
เพราะการพกอาวุธร้ายแรงมาสลายการชุมนุม
ถ้าไม่ใช้ ก็ดีไปเพราะจะไม่มีคนเจ็บตายอะไร
เหมือนที่ ไทยคม แต่ที่ราชดำเนิน
ไม่ได้พกมาเฉยๆ แต่ใช้ด้วย
และที่ไทยคม เสื้อแดงยึดอาวุธได้มากมายก็คืน
ไม่ได้เอาไปถล่มทหารแถวนั้นจนตายใช่หรือไม่
ดังนั้นพวกชุดดำที่ดูเหมือนมาช่วยฝั่งเสื้อแดง
ไม่ใช่เสื้อแดงตามปกติที่ยึดอาวุธได้ทีไรคืนทุกที
แม้แต่ในวันที่ 10 เมษา 53
ยึดอาวุธมาได้เพียบมาให้นักข่าวถ่าย
ก็คืนในไม่กี่วันต่อมารวมไปถึงตัวประกัน
ที่แอบซุ่มยิงบนตึกกองสลากที่โดนจับลงมาด้วย
แถมหลักฐานมากมายหลังเหตุการณ์สงบลง
โดยเฉพาะรถยนต์ที่จอดแถวบริเวณปะทะ
ส่วนใหญ่โดนกระสุนหนักมาจากฝั่งทหารแทบทั้งนั้น
และวันที่ 10 ผมก็ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
ได้มีโอกาสเก็บภาพหลักฐานหลังสงบศึกใหม่ๆ ด้วย
จึงกลับมาเขียนเล่าเหตุการณ์วันนั้นเก็บไว้ด้วยที่นี่

<<< ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้อยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบกลางกรุง >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/04/blog-post_11.html

ดังนั้น ผมขอสรุปว่า
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 7 เมษายน 2553
ก็คือหลักฐานใบสั่งฆ่าประชาชนดีๆ นี่เอง
ทั้งๆ ที่ยังไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ถึงขั้นร้ายแรง
จนต้องออกมาประกาศดังกล่าว

และในประกาศดังกล่าวยังให้อำนาจแฝงเอาไว้
ที่ ข้อ 6 ตามประกาศตามมาตรา 11
แห่งพรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ดังนี้

"ข้อ 6 ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบมีอำนาจสั่งห้ามมิให้กระทำการใด ๆ หรือสั่งให้กระทำการใด ๆ เท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประเทศ หรือความปลอดภัยของประชาชน"

ถ้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ ปฏิเสธว่า
นี่ไม่ใช่ใบสั่ง แต่เป็นใบเบิกทางหรืออะไรก็แล้วแต่
พยายามปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัว
พวกที่มีความผิดเต็มๆ ก็คือ ทหารที่ยิงประชาชนตาย
ตั้งแต่คนที่ยิง นายทหารทุกระดับชั้นบังคับบัญชา
จะต้องมีความผิดแทนนายอภิสิทธิ์
เพราะกระทำโดยที่นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกไม่ได้สั่งให้ทำ
เรียกว่ามันต้องมีคนผิด ต้องมีคนรับผิดชอบ
ไม่ใช่รัฐบาลก็ไม่ผิดอ้างว่าไม่ได้สั่ง
ทหารที่ทำนอกเหนือคำสั่งก็ไม่ผิด
มันเป็นไปได้ยังไง
ปัจจุบันมีบางคนกล่าวหาว่าคนที่ผิดก็คือคนที่ตายก็มี
ถ้าคนที่ตายที่เป็นเสื้อแดงผิดในการสลายการชุมนุมครั้งนั้น
แล้วเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและ ครม. ไม่ผิด
ก็แสดงว่า คำประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
ในวันที่ 7 เมษายน 2553
ก็คือคำสั่งฆ่าที่ถูกต้องตามกฏหมายดีๆ นี่เอง

โดย มาหาอะไร
FfF