เอร์เนสโต เกบารา (สเปน: Ernesto Guevara) รู้จักในชื่อ เช เกบารา (สเปน: Che Guevara [ˈtʃe ɡeˈβaɾa][note 1]) (14 มิถุนายน พ.ศ. 2471 - 9 ตุลาคม พ.ศ. 2510) นักปฏิวัติแนวมาร์กซิสต์ชาวอาร์เจนตินา และเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม 26 กรกฎาคมของฟิเดล คาสโตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปฏิวัติประเทศคิวบาเมื่อปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959)
เชกำเนิดที่ประเทศอาร์เจนตินาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เหล่าชาวโลกต่างรู้จักชายคนนี้ในฐานะนักปฏิวัติ และยังถูกขนานนามว่าชายผู้สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกในศตวรรษนั้นด้วย
เชเติบโตในครอบครัวที่มั่งมี ตัวเชเองเรียนจบมหาวิทยาลัยในสาขาแพทยศาสตร์ในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากพิธีรับปริญญาเพียง 25 วัน เชเดินทางกับเพื่อนนามว่าอัลเบร์โต กรานาโด ด้วยมอเตอร์ไซค์ไปทั่วอเมริกาใต้ และชายคนนี้ก็ได้พบกับความจริงของโลก ได้พบความยากจนข้นแค้นของประชาชน และเป็นจุดกำเนิดของวีรบุรุษแห่งปวงประชาชาวอเมริกาใต้จวบจนถึงปัจจุบัน
เชละทิ้งฐานันดรและครอบครัวของตนเองไว้ที่เม็กซิโก แล้วมุ่งสู่เกาะคิวบาเพื่อหวังจะล้มล้างระบอบการปกครองเผด็จการของฟุลเคนซีโอ บาซิสตา สร้างกลุ่มกำลังของตนเองเพื่อหวังจะทำการปฏิวัติในคิวบา หลังจากปฏิวัติสำเร็จในคิวบา เชได้ออกจากคิวบาในปี พ.ศ. 2508 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ประเทศอื่นเพื่อก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองอีก เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และประเทศโบลิเวีย ซึ่งที่โบลิเวียนี้ เขาถูกจับได้โดยกองทัพโบลิเวียซึ่งมีหน่วยสืบราชการลับกลาง (ซีไอเอ) ของสหรัฐอเมริกาสนับสนุนอยู่ และถูกสังหารทันทีหลังจากที่ถูกจับตัวได้
9 ตุลาคม พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) ในวันสุดท้ายของชีวิตของเช ทหารโบลิเวียกำลังจะประหารชีวิตเขา เชได้ทิ้งประโยคสุดท้ายของชิวิตเขาไว้ว่า
|
แต่การตายของชายธรรมดาในวันนั้น มีความหมายอย่างยิ่งยวดกับการเมืองของโลก เหล่านักศึกษา หนุ่มสาวทั่วโลกต่างรับรู้และยกย่องการกระทำที่กล้าหาญของเขา ภายหลังการตายของผู้ชายคนนึง เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศส รวมถึงการเดินประท้วงเรียกร้องอิสรภาพของประเทศเวียดนาม เหล่าวัยรุ่นในประเทศเวียดนาม นำรูปของเชมาใช้ในการเดินขบวน และจนถึงทุกวันนี้ ชายคนนี้ก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ
เช เกบารา ได้เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติและการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงของเช คือ ภาพใบหน้าที่ถ่ายโดยอัลเบร์โต กอร์ดา (Alberto Korda) เมื่อ พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ใบหน้าของเชรูปนี้ จนถึงปัจจุบันก็ยังปรากฏอยู่ตามเสื้อยืดทั่วโลก รวมทั้งรูปสติกเกอร์ที่ติดบนรถบรรทุกในประเทศไทย
เช เกบารา ได้รู้จักในชื่อเล่นว่า "เช" และนิยมใช้ชื่อนี้ ซึ่งในอาร์เจนตินามีความหมายถึง "เพื่อน, สหาย"
[แก้] เชิงอรรถ
- ^ บางคนอ่านว่า เช เกวารา ก็ไม่ถือว่าผิด เพราะ /β/ เป็นเสียงเสียดแทรก ริมฝีปาก ก้อง ออกเสียงคล้ายกึ่ง b กึ่ง v
[แก้] อ้างอิง
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
http://th.wikipedia.org/wiki/เช_เกบารา------------------------------------------------
ตำนาน เช กูวารา นักปฏิวัติเงียบผู้ยิ่งใหญ่
« เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 10:27:02 AM » | |
Ernesto Che Guevara (เช กูวารา) เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1928 (ข้อมูลหลายแห่งบอกว่า เขาเกิดในเดือนมิถุนายน แต่จริง ๆ แล้วมารดาของเขา ต้องการปกปิดว่าเธอตั้งครรภ์ก่อนแต่งราว สามเดือน จึงให้แพทย์ลงในใบเกิดว่าคลอดเดือนมิถุนายน เพราะการคลอดก่อนกำหนดเจ็ดเดือน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้) ที่เมือง โรซาริโอ (Rosario) อำเภอเล็ก ๆ ของกรุงบัวโนส ไอเรส (Buenos Aires) ประเทศอาร์เจนตินา ครอบครับของเขาเป็นชนชั้นกลาง เขาเป็นบุตรของ Ernesto Guevara Lynch และ Celia de la Serna Llosa มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน และ Ernesto เป็นพี่ชายคนโต บิดาเป็นนักธุรกิจที่มีปัญหาเรื่องการเงินอยู่เสมอ แต่ก็สามารถประคับประคองครอบครัวให้มีความสุขตลอดมา
ในวัยเด็ก Ernesto เกิดและโตอยู่ท่ามกลางเรื่องราวความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมมาตลอด สายเลือดแห่งความเป็นนักสังคม และการมีบุคลิกที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้คนยอมรับภาวะการเป็นผู้นำของเขา ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดามารดานั่นเองหนูน้อย Ernesto เริ่มเป็น โรคหอบหืด (Asthma) ตอนเอายุได้เพียงสองขวบเท่านั้น และโรคนี้ก็กลายเป็นโรคประจำตัว ของเขาไปตลอดชีวิต โรคหอบหืด เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของ Ernesto ในเวลาต่อมา เนื่องจาก เมื่อโตขึ้น เขาตั้งใจว่าจะเรียนวิชาแพทย์เพื่อหาทางรักษามันให้หายให้ได้
ปี 1947 Ernesto เข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย Universidad Nacional de Cordoba โดยเน้นวิชาการด้านผิวหนัง (Lepraleiden (โรคเรื้อน)) ครอบครัวของเขาตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่ที่เมือง Alta Gracia ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง Cordoba เมืองที่เขาเรียนอยู่ ทั้งนี้เพราะที่เมืองนี้ มีอากาศที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพของ Ernesto
ในช่วงของการเรียนมหาวิทยาลัย Ernesto พยายามเล่นกีฬาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ลัคบี้ เบสบอล ปีนเขา และอื่น ๆ โดยหวังจะเอาชนะโรคหอบหืด แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ครั้งหนึ่งในช่วงปี 1951 เขาตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวระยะยาวร่วมกับเพื่อนชื่อ อัลแบร์โต กรานาโด (Alberto Granado) ไปทั่วอเมริกาใต้ ด้วยรถมอร์เตอร์ไซด์
บันทึกการเดินทางของเขา ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เมื่อปี 2005 คือ "The Motorcycle Diaries" การเดินทางครั้งนั้น นอกจากทำให้เขาโด่งดังไปทั่วแล้ว ยังเป็นการเดินทางที่มีผลต่อแนวคิดครั้งยิ่งใหญ่ และเป็นแรงผลักดันให้เขากลายเป็นนักปฏิวัติ ผู้ตั้งใจอุทิศชีวิต และเลือดเนื้อเพื่อคนชั้นล่างของสังคม ในเวลาต่อมาด้วยในช่วงที่เดินทางผ่านประเทศโบลิเวีย, ชิลี, เวเนซูเอลา รวมทั้งการทำงานเป็นแพทย์อาสาในระยะเวลาสั้น ๆ ที่เปรู ทำให้ Ernesto ได้เห็นภาพความยากจน ของชาวบ้าน ที่โดนกดขี่ขมเหงจากบรรดานักการเมืองและนักธุรกิจ ท่ามกลางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่กำลังไหลบ่าเข้าท่วมประเทศเหล่านี้ Ernesto เริ่มหันมาสนใจการเมืองในอเมริกาใต้อย่างจริงจัง และ แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อเขาอย่างยิ่ง ก็คือ มาร์กซิสต์ (Marxismus)
อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้ว แนวคิดมาร์กซิสต์นี้ Ernesto เคยศึกษามาก่อนหน้าที่เขาจะท่องเที่ยวแล้ว ด้วยเขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ รวมทั้งสนใจศึกษาปรัชญา การเมืองการปกครองมาแต่สมัยเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองการปกครองของประเทศอาร์เจนตินา บ้านเกิดของเขาเอง ภายใต้การนำของผู้นำที่เขาเกลียด Juan Domingo Peron เพราะคอยกดขี่ประชาชน อยู่เเสมอ
ภาพการถูกกดขี่ข่มเหงของประชาชนในอเมริกาใต้ที่สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป กลายเป็นสิ่งบ่มเพาะจิตสำนึก จนทำให้ Ernesto ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ว่า เขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อปลดปล่อยสภาพแบบนั้น ให้กับประชาชนชาวอเมริกาใต้ และเขาเริ่มคิดได้ว่า การทำงานเป็นแพทย์แต่เพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือผลักดันให้เกิดภาพที่เขาอยากเห็นเหล่านั้นได้ ดังนั้น ปี 1953 หลังเรียนจบที่คณะแพทย์ ในขณะที่ Granado เพื่อเก่าที่เคยเดินทางด้วยกัน ย้ายไปทำงานที่เวเนซูเอล่า Ernesto กลับเดินทางไปประเทศกัวเตมาลา เพื่อขอเข้าร่วมกับคณะรัฐประหาร ที่ต่อต้าน Jacobo Arbenz Guzmán ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา และที่นี่เองที่เขาพบรักกับ Hilda Gadea Acosta หญิงชาวเปรูที่ลี้ภัยการเมือง
แม้จะเป็นเพียงแพทย์ในกลุ่ม แต่ด้วยประสบการณ์และความทรงจำในกัวเตมาลา ผลักดันให้ Ernesto เดินทางต่อไปยังประเทศเม็กซิโก และได้แต่งงานกับ Hilda ที่นั่น และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1956 เขาก็ได้ลูกสาวคนแรกชื่อ Hildita
คาสโตร เริ่ม รวบรวมสมัครพรรคพวกใหม่ รวมทั้งแอบฝึกกองกำลังติดอาวุธกับเพื่อนที่ลี้ภัยทางการเมืองชาวคิวบา ที่เคยร่วมปฎิบัติการวันที่ 26 กรกฎาคม (M-26-7) มาด้วยกัน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกลับไปปฏิวัติ นำประชาธิปไตยสู่ประเทศคิวบาอีกครั้ง โดยคาสโตรจะเน้นการรบแบบสงครามกองโจรเป็นหลัก Ernesto มีโอกาสได้เข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย โดยในการร่วมกับกลุ่มครั้งแรก Ernesto ทำหน้าที่เป็นหน่วยแพทย์ โดยมีชื่อสมาชิกว่า Che (ภาษาอาร์เจนตินา เป็นคำเรียกเพื่อนสนิท หรือเพื่อนตาย หรือ อาจใช้เป็นคำทักทายกัน ทำนองเดียวกับ Hey ก็ได้) โดยเหตุที่ Ernesto ได้รับชื่อ Che นี้ ก็เพราะตัวเขาเอง มักทักทายเพื่อน ๆ ในกลุ่มว่า Hey เสมอ ๆ
วันที่ 25 พฤศจิกายน 1956 กลุ่มคณะปฏิวัติรวมทั้งสิ้น 82 คน ออกเดินทางด้วยเรือยนตร์ขนาดเล็ก ชื่อ Granma จากเมือง Tuxpan ประเทศเม็กซิโกมุ่งหน้าสู่ประเทศคิวบา แต่เนื่องจากวันเดินทางเป็นคืนเดือนมืด และต้องแรมเรืออยู่ในทะเลราวเจ็ดคืน จึงขึ้นฝั่งที่คิวบาได้เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1956 การเดินทางครั้งนั้นคณะปฏิวัติต้องประสบกับคลื่นลมแรง จนลูกเรือหลายคนเมาคลื่น รวมทั้งทำให้ขึ้นฝั่งผิดเป้าหมายที่วางแผนกันไว้ เป็นผลทำให้กองกำลังปฏิวัติถูกโจมตีโดยกองทัพของประธานาธิบดีบาติสตา จนแตกพ่ายที่เทือกเขาในเขตเมือง Sierra Maestra เหลือกำลังพลเพียง 12 คน เท่านั้น และหนึ่งในนั้นก็คือ Che Guevaraหลังจากหน้าที่ของกองกำลังแรก (Comandante en Jefe) ซึ่งเป็นกองเริ่มต้นภายใต้การบังคับบัญชาของ ฟิเดล คาสโตร สิ้นสุดลงในราวปลายปี 1956 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1957 Che ก็ได้ยกฐานะขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการกองกำลังทหารปฏิวัติช่วงที่สอง (Comandante der Rebellenarmee) ซึ่งเป็นหนึ่งจากที่มีทั้งหมด 9 ช่วงในการปฏิวัติครั้งนั้น นอกจากนั้นเขายังได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้บัญชาการของกลุ่ม II Kolonne อีกด้วย
นักรบกองโจร คือ คนที่เสมือนผู้นำทาง เขาจะต้องช่วยคนจนเสมอ เขาจะต้องมีความรู้พิเศษทางเทคนิค มีวัฒนธรรมและศีลธรรมสูง มีความอดทนยิ่งต่อความทุกข์ทรมาน และความยากลำบาก และมีความสำนึกทางการเมืองสูงด้วยหลังจากกลุ่มของเขา ต่อสู้แบบกองโจรได้ราวสองปี แม้จะต้องแตกพ่ายในช่วงแรก แต่ในที่สุดวันที่ 1 มกราคม 1959 ที่เมือง Santa Clara (ซานตาครูส) กองกำลังก็สามารถเข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีบาติสตาได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่่ประธานาธิบดีบาติสตา สามารถ ลอบหนีออกจากคิวบาไปได้ทันChe (Guevara) ผู้เชื่อมั่นในวิธีการต่อสู้ด้วยสงครามกองโจร
อย่างไรก็ตาม ในรัฐบาลสังคมนิยมชุดนี้ แนวทางคอมมิวนิสต์ยังคงมีอิทธิพลต่อแนวคิดของ Che เสมอ และดูเหมือนจะเข้มแข็งมากกว่าแนวปฏิบัตินิยม และการเมืองนิยมของคาสโตร
จุดสูงสุดทางตำแหน่งทางการเมืองของ Che คือ ช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และเป็นผู้อำนวยการ ธนาคารแห่งชาติของคิวบา ราวต้นปี 1960 รวมทั้งช่วงสั้น ๆ ของการเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมใน ปี 1961 ด้วย
นอกจากงานทางด้านการเงิน การคลังแล้ว Che ยังได้รับมอบหมายงานที่เกี่ยวกับนโยบาย การปฎิรูปที่ดินในคิวบา โดยเขาเป็นผู้ผลักดัน และดำเนินการตามเป้าหมายแรกสุดของกลุ่ม ซึ่งตั้งเป้าจะทำให้ได้ภายหลังการปฏิวัติสำเร็จ ก็คือ ยึดที่ดินของนักธุรกิจทั้งหลายมาแปลงให้เป็นทรัพย์สินสาธารณะ แล้วแจกจ่ายให้กับประชาชนชาวคิวบาโดยทั่วหน้ากัน
แม้แนวคิดดังกล่าวจะถูกโต้แย้งอย่างมาก แต่ยิ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นแรงผลักให้ Che พยายามปฏิบัติตนให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า สิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องที่ทำได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝัน
Che ทำงานด้วยความสมัครใจของเขาเอง เขาปฏิเสธที่จะรับเงิน หรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่น ๆ อันเนื่องมาจากการมีตำแหน่งนั้น ๆ ทั้งสำหรับตัวเขาเองและครอบครัว ครั้งใดที่ Aleida จำเป็นต้องใช้รถประจำตำแหน่ง Che จะจ่ายเงินค่าน้ำมันรถเอง เป้าหมายแห่งความพยายามในการดำรงชีวิตเหล่านี้ของ Che ก็คือ เขาอยากให้ใคร ๆ ได้เห็นภาพของวิธีคิดและการปฏิบัติตัว (New Man) โดย Che ยินดีที่จะเริ่มทำเป็นตัวอย่างให้เห็นก่อน
และด้วยการทำงานหนัก และการดำเนินการตามแผนเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัดของ Che ในช่วงนั้นเอง ที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจที่เคย
ล้มเหลวของคิวบากระเตื้องขึ้น รวมทั้งช่วยหยุดความขาดแคลนทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้จนถึงทุกวันนี้
1961 Che ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1962 เขาเปิดเจรจรข้อตกลงกับสหภาพโซเวียต (Union der Sozialistischen Sowjetrepubliken หรือ UdSSR ) เกี่ยวกับการขอความสนับสนุนด้านอาวุธ และด้านอื่น ๆ อย่างจริงจัง ภายหลังจากทีอเมริกาเริ่มไม่พอใจที่คิวบากระทำต่อนักธุรกิจอเมริกัน แล้วหันไปเข้ากับสหภาพโซเวียตแทน
อเมริกาเพิ่มแรงกดดัน ทางการทหารกับคิวบามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชายฝั่งเมือง Havanna เรือสัญชาติฝรั่งเศษ (La Coubre) ถูกรอบวางระเบิด ในปี 1961 เป็นผลให้คนบนเรือตายไป 75 คน และอีก 200 คนได้รับบาดเจ็บ และรัฐบาลคิวบาสืบทราบว่า CIA เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดครั้งนั้น
ในภาพซึ่งแสดงให้เห็นดวงตาที่ฉายแววแห่งความเศร้า ปนความโกรธ และความมุ่งมั่นดื้อรั้นของ Che ทำให้ภาพนั้นกลายเป็นภาพที่โด่งดังที่สุด ในบรรดาภาพถ่ายทั้งหลายของเขา เพราะเป็นเหมือนภาพสัญลักษณ์ของนักต่อสู้ และการปฏิวัติที่แน่วแน่ และยิ่งใหญ่
1964-65 Che เดินทางไปในหลายประเทศ เพื่อเจรจาเรื่องต่าง ๆ อาทิ ประเทศในทวีปเอเชีย สิงคโปร์ จีน หรือแม้แต่การเข้าประชุมกับองค์การสหประชาชาติ UN เพื่อประกาศความไม่สนใจ หรือไม่ต้องการพึ่งพาเศรษฐกิจจากประเทศสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป อันเป็นการกล่าวคำปราศรัยที่โด่งดังที่สุดอีกครั้งหนึ่งของ Cheอย่างไรก็ตาม ในเดือนตุลาคม ปี 1965 คาสโต ได้รับจดหมายลาออกจาก Che มีใจความสำคัญว่า เขาขอสละตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด รวมทั้งสัญชาติคิวบาด้วย เพื่อที่เขาจะได้กลับไปต่อสู้กับลัทธิจักรวรรดินิยม อีกครั้ง
ผม ไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้ภรรยา และลูกๆ ของผม แต่ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย กลับรู้สึกมีความสุขเสียอีก ที่มันเป็นไปอย่างนี้ (จดหมายลา ถึงคาสโตร)ครั้งนั้นเองที่แสดงให้เห็นว่า แม้ Che Cuevara จะได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในประเทศคิวบา และเป็นบุคคลสำคัญอัน เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกแล้ว ก็ตาม แต่ด้วยวิญญาณแห่งการปฏิวัติที่ไม่เคยมอดไหม้ ประกอบกับความตั้งใจแน่วแน่ของเขา ที่จะช่วยประชาชนชาวอเมริกาใต้ให้หลุดพ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหง โดยไม่เคยคิดแบ่งแยกเชื้อชาติหรือสัญชาติ ยศฐาบรรดาศักดิ์ และทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ก็ไม่อาจทำลายแนวคิดเหล่านั้นลงได้
อย่างไรก็ตาม เคยมีผู้กล่าวว่า หนึ่งในหลาย ๆ เหตุผลที่ Che ตัดสินใจกลับเข้าป่า แล้วปฏิวัติอีกครั้ง ทั้งที่อายุย่างเข้าวัยกลางคน แถมยังมีโรคหืดหอบประจำตัวด้วย ก็คือ ความไม่สมหวังในการสร้างคิวบา
Che ชิงชังความเห็นแก่ตัว และการให้ความช่วยเหลืออย่างเสียไม่ได้ที่โซเวียต และประเทศยุโรปตะวันออกในยุคครุสชอพ มอบให้แก่ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย Che จึงตัดสินใจลอกคราบการเป็นนักบริหาร และนักการฑูตของคิวบา ซึ่งตัวเขาเป็นมาหลายปีทิ้งไปแบบไม่ไยดี แล้ว หันกลับไปหาความจริงใจในป่า แล้วมุ่งทำงานปฏิวัติอย่างไม่หยุดหย่อน ในประเทศอื่น ๆ ที่ยังตกอยู่ภายใต้ ลัทธิจักวรรดินิยม โดยเขาเตรียมพร้อมที่จะใช้ชีวิต และความรู้สึกเยี่ยงมนุษย์ที่ยากจนที่สุด อีกครั้ง
Che พร้อมเพื่อน ๆ อีกจำนวนหนึ่งเข้าร่วมสงครามปฏิวัติที่ คองโก ในทวีปแอฟริกา ในปี 1965 แต่ก็ล้มเหลว จากนั้นปี 1966 เขาเดินทางเข้าไปยังประเทศโบลิเวีย เพื่อร่วมกับกลุ่มกบฏโบลิเวีย ทำสงครามปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการโบลิเวียในสมัยนั้น
กลุ่มนักรบของ Che ราว 44 คน พยายามนำยุทธวิธีการรบแบบกองโจร ที่ใช้ได้ผลมาแล้วสมัยสู้รบกับคาสโตครั้งปฏิวัติคิวบา มาใช้อย่างเต็มที่ แต่ด้วยความแตกต่างกันทาง ด้านลักษณะภูมิประเทศ อีกทั้งแนวคิดพื้นฐานของชาวโบลิเวีย ที่แตกต่างไปจากชาวคิวบา ทำให้วิธีการของเขาใช้ไม่ค่อยได้ผล แม้ในด้านหนึ่ง ชาวบ้านโบลิเวียจะเห็นด้วย และชื่นชมกลุ่มของเขา แต่ก็มีชาวบ้านอีกจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะหักหลังกลุ่มของพวกเขาเช่นกัน
กองกำลังปฏิวัติของ Che โดนตีแตกกระจาย หัวหน้ากลุ่มที่แตกไปถูกฆ่าตายตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 1967
ส่วน Che และพวกที่เหลืออีกเพียง 14 คน โดนยิงบาดเจ็บ และถูกจับได้ในเดือนตุลาคม 1967 โดยกองกำลังทหารของรัฐบาลโบลิเวีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก CIA ของสหรัฐอเมริกา ที่ La Higuera อันเป็นเขตพื้นที่เล็ก ๆ ในเทือกเขา Cordillera ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของโบลิเวีย
Che ถูกจองจำไว้ที่ La Higuera โดยมีเจ้าหน้าที่ของ CIA โดยมี Felix Rodríguez ผู้ลี้ภัยชาวคิวบา ทำหน้าที่สอบปากคำ Che ในฐานะเชลยศึก และโดยไม่มีการพิพากษาใด ๆ ทั้งสิ้นในชั้นศาล Che ถูกสั่งฆ่าด้วยการยิงเป้า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1967 เวลา 13.10 น. จบชีวิตนักปฏิวัติที่มุ่งมั่น ด้วยวัยเพียง 39 ปี
กระดูกของเขา ถูกส่งกลับไปยังเมืองซานตาครูส ประเทศคิวบา สถานที่ที่เขาเคยเป็นวีรบุรุษ ผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับประธานาธิบดี ฟิเดล คาสโตร เมื่อปี 1958 เพื่อล้มรัฐบาลกดขี่ของบาติสตา คิวบาเก็บโครงกระดูกของ Che ไว้ที่ Mausoleum หลุมฝังศพอันทรงเกียรติในซานตาครูซ และที่นั่นเอง (รวมทั้งอีกหลาย ๆ แห่งทั่วประเทศคิวบา) ชาวคิวบาได้สร้างอนุเสารีย์ Ernesto Che Guevara ในรูปที่พวกเขาคุ้นเคย คือ มือหนึ่งถือปืน ส่วนแขนข้างซ้ายเข้าเฝือกไว้ ขึ้นเป็นตัวแทนแห่งวีรบุรุษนักปฏิวัติ ที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชนชั้นล่างของสังคมจากการกดขี่ข่มเหงของนายทุน ใน ลัทธิจักวรรดินิยม
นอกจากนี้ ยังมีการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ Che Guevara เพื่อแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติชีวิต และการต่อสู้ของ Che เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วย
แนวคิดสังคมนิยมของ Che มีความหมายมากกว่า การพัฒนาทางวัตถุ หรือมุ่งเน้นแต่เรื่องการยกระดับการครองชีพ
"คุณภาพชีวิตจะดีขึ้น ก็ด้วยการทำให้ความหมายของการครองชีวิต ดำเนินควบคู่ไปกับความก้าวหน้าทางวัตถุ...ผู้ใช้แรงงานจะได้รู้สึกว่า การทำงานเป็นความภาคภูมิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์...
ลัทธิทุนนิยม คือสิ่งที่เข้ามาติดสินบนความภาคภูมิใจของคนงาน และเปลี่ยนพวกเขาไปสู่ความละโมบเพื่อตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นความใฝ่ฝันผิด ๆ เพราะพวกเขาทำงานเพื่อเงิน ไม่ใช่ทำงานเพื่องานของสังคม
การพัฒนาจิตสำนึก หมายถึง การปลุกเร้าให้กรรมกรทำงานด้วยความเต็มใจและยินดี ไม่ใช่เพื่อความทะเยอทะยานส่วนตัว หรือเพราะความกลัวส่วนบุคคล แต่เพื่อให้บรรลุอุดมการณ์ของพวกเขาเอง เพื่อความเชื่อในตัวผู้นำของเขา และเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของระบบสังคมโดยรวม ซึ่งนั่นมันจะย้อนกลับมาสู่ตัวพวกเขาเองในภายหลัง โดยมีรัฐเป็นผู้ดูแล ตอบสนองสิ่งที่เขาต้องการทุกอย่าง
และ ด้วยวิธีนี้ จะทำให้คนงานสามารถใช้แรงงานเพื่อสิ่งที่ดีงามอย่างสมบูรณ์ จนกระทั่งเงินตรากลายเป็นสิ่งล้าสมัย เหมือนกับการค้าทาสที่ต้องสิ้นสุดลง"
นั่นคือ สังคมในอุดมคติของ Che เป็นฝันไกลที่มนุษย์ยังไปไม่ถึง แม้แต่ประเทศที่ปกครองด้วยระบบสังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์เองก็ตาม แต่ก็ไม่ควรด่วนสรุปว่า ความฝันแบบนี้ ไม่มีความหมายใด ๆ เลย เพราะครั้งหนึ่ง มันก็เคยกระตุ้น คนหนุ่มสาว ให้ร่วมฝัน ร่วมสู้ และร่วมสร้าง มาแล้วเคยมีผู้กล่าวว่า สิ่งที่ Che ทำนั้น มันไม่เคยสำคัญเลยว่า เขาจะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว จิตใจ ความมุ่งมั่น และการได้ลงมือทำอย่างเอาจริงเอาจังของเขา ชนิด ที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาคนทำเช่นนั้นไม่ได้ ต่างหากที่สำคัญยิ่งกว่า เพราะมันคือการกระทำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตใจที่ดีงาม อยากช่วยปลดปล่อยชนชั้นกรรมาชีพผู้ถูกกดขี่ และไม่เคยได้รับความเป็นธรรม
และ ซากความฝันของ Che ก็ยังอาจมีพลังจาง ๆ แอบแฝงอยู่ในสังคมปัจจุบัน สังคมที่กำลังมุ่งหน้าไป สู่แนวทางทุนนิยมสุดโต่ง อยู่บ้างก็เป็นได้
คงเพราะ Che Geuvara ไม่ยึดติดกับตำแหน่งใหญ่โตในคิวบา และไม่ได้ทำทุก ๆ อย่างเพื่อความสุขสบายของตัวเขาเองและครอบครัวเลย เขาจึงกลายเป็นตำนาน ในจิตใจคนหนุ่มสาวทั่วโลก แม้เวลาจะผ่านมานานถึง 30 กว่าปีแล้วก็ตาม
ที่มา และแหล่งข้อมูล : Wikipedia, Che-Lives.com
http://keemao.fix.gs/index.php?topic=231.0
FfF