บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


04 สิงหาคม 2554

<<< ในช่วงรัฐบาลหนึ่งๆ จะมีตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติประมาณพันคน ที่เหลือหลายสิบล้านคนคือคนเฝ้าดู >>>

ตัวอย่างตำแหน่งการเมืองระดับชาติ เช่น
ส.ส. รมต. นายก ที่ปรึกษา คณะกรรมมาธิการต่างๆ ...
ผมว่าราวๆ 1,000 คน เผื่อให้ด้วย
แต่ที่เหลือคือคนทั้งประเทศที่ไม่มีตำแหน่ง
นอกจากตำแหน่งประชาชนเจ้าของประเทศ
ดังนั้นแนวทางเน้นพัฒนาให้คนเฝ้าดู
มีคุณภาพในการติดตาม ตรวจสอบ
และประเมินผลงานรัฐบาลได้ดี
น่าจะเป็นแนวทางที่ดีต่อระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืนได้
และน่าจะดีกว่าแนวทางเน้นพัฒนาเพื่อให้ทุกคน
ก้าวเข้าไปเล่นการเมือง ไปเป็นนักการเมือง
แต่ไม่ห้ามถ้าใครจะชอบอาสามารับใช้ประชาชน
แต่ไม่ควรเน้นมวลชนหรือคนทั่วไปแนวนี้

แนวทางการเป็นนักการเมืองนั้น
เขาจะพยายามทำให้มีฐานเสียง
เพื่อจะได้มีโอกาสได้รับเลือกตั้ง
หรือไว้ต่อรองทางการเมือง
สมัยก่อนหลังเลือกตั้งในอดีต
ประชาชนแทบจะปล่อยวางหลังเลือกตั้ง
ให้รัฐบาลทำอะไรกันก็ได้ตามอำเภอใจ
ยิ่งถ้าฝ่ายค้านฮั้วกันได้กับรัฐบาลเรื่องไหน
เรื่องนั้นก็เงียบ ประชาชนก็เฉยๆ
และแนวทางนี้ถ้าคนหลายสิบล้านคนยึดเป็นแนวทาง
จะหาตำแหน่งรองรับไม่ได้
เพราะนายกก็มีได้แค่คนเดียว
รมต. ก็มีได้ไม่กี่สิบคน
รวมๆ ตำแหน่งทางการเมืองประมาณพันคนอย่างที่บอก
แค่ทุกวันนี้ก็วิ่งสู้ฟัดแย่งเก้าอี้กันชุลมุนอยู่แล้ว

แต่ถ้าเป็นแนวเน้นให้มวลชนประชาชนทั่วไป
สำนึกว่าตนเองเป็นเจ้าของประเทศ
เป็นเจ้าของอำนาจร่วมกันทุกคน
นักการเมืองคือคนที่อาสามารับใช้
หรืออาสามาทำงานให้
ไม่ใช่คนที่อาสามาเป็นเจ้านาย
ถ้าเน้นจนประชาชนยึดหลักการนี้ได้
การตรวจสอบติดตามประเมินผลงาน
จากภาคประชาชนจะเข้มแข็ง
รองรับอนาคตได้ยาวนาน

เราจำเป็นต้องทำระบบให้ดีและรักษามันไว้
ส่วนตัวบุคคลหรือพรรคอาจอยู่ไม่ได้นาน
อาจมีล้มหายตายจากกันในวันหนึ่งได้ทั้งนั้น
ถ้าไม่เน้นระบบเน้นตัวบุคคล
เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีก็กลับมาวังวนเดิมๆ
เพราะปัจจุบันที่เห็นสงบลง
แต่ที่จริงปัญหายังไม่ได้แก้ไขอีกหลายเรื่อง
บางเรื่องก็หมกเม็ดซุกไว้ใต้พรมต่อไป
รอไปมีเรื่องมีราวอีกในอนาคต

การทำให้ทุกคนรักสิทธิ์เสรีภาพของตนเอง
แถมรับรู้ได้ว่าตนเองก็เป็นคนเหมือนกันกับคนอื่น
เกิดมาต้องมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกับคนอื่น
อะไรแบบนี้ ถ้ามีแบบนี้สักหลายๆ หมื่นคน ก็น่าปลื้มแล้ว
แต่ถ้ามีหลายๆ แสนยิ่งสบายใจได้
ยิ่งถ้ามีหลายๆ ล้านคน
คนรักประชาธิปไตยทั้งหลายนอนตายตาหลับได้เลย

เมื่อทุกคนเป็นเสรีชนหรือพยายามแตกตัวเป็นกลุ่มละ 1 คน
เวลารวมตัวปรึกษากันก็นัดแนะพูดคุยกันได้ผ่านสื่อต่างๆ
หรือมีเรื่องราวไม่ชอบธรรมอย่างแรง
ก็สามารถออกมาชุมนุมได้โดยทันที
ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงรัฐบาลที่ตนเองเลือกมากับมือหรือไม่
แต่ถ้าเป็นมวลชนนักการเมืองแล้ว
ยิ่งเป็นนักการเมืองที่กำลังเป็นฝ่ายรัฐบาล
โอกาสที่นักการเมืองจะปลุกให้มวลชนของตนเอง
ออกมาต่อต้านตนเองนั้นแทบไม่มีเลย
นี่คือความแตกต่างระหว่างเสรีชนกับมวลชนนักการเมือง

เมื่อแตกเป็นกลุ่มละ 1 คน ทำให้แต่ละคนมีสิทธิ์เต็มที่
แต่ถ้ากลุ่มหนึ่งมีหลายๆ สิบหลายๆ ร้อยคน
สิทธิ์และเสียงก็จะลดลงไปเรื่อยๆ
ตามอัตราส่วนของจำนวนคนในกลุ่ม
เช่นกลุ่มละ 10 คน ก็ 1 ใน 10
พอหมื่นคนก็ 1 ในหมื่นหรือไม่มีใครเห็นหัวเลย
คอยแต่ทำตามคำสั่งของคนที่มานำอะไรแบบนั้น
และกลุ่มที่มี 1 กลุ่ม 1 คน
เขาตัดสินใจอะไรได้ทันทีและเด็ดขาด
มีเสียงที่เข้มแข็งแต่กลุ่มหนึ่งมีหลายๆ สิบคน
ยังต้องมาถกมาตกลงกันแสดงสิทธิ์ตนเองไม่ได้เต็มที่
คืออาจมีบางคนคัดค้านแต่เสียงส่วนใหญ่ในกลุ่มเห็นด้วย
กลุ่มนั้นก็มีผลว่าเห็นด้วย 1 เสียงเพราะทำในนามกลุ่ม
ก็กลุ่มละ 1 เสียงเหมือนกันแบบไหนดีกว่ากัน
ที่พูดนี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องการยกมือโหวตน่ะ
หมายถึงผลทางการเมือง

1 กลุ่ม 1 คน คือเสรีชนต่างคนต่างแน่
แต่ต้องฝึกการใช้เหตุผลเยอะๆ
เพราะถ้าแน่แบบไม่เอาเหตุผล
ก็คือต้องใช้กำลังอันนั้นใช้ตัดสินเฉพาะบางเหตุการณ์ได้
จบแล้วก็ต้องกลับมาสู่ระบบเหตุผลอยู่ดี
ไม่งั้นก็เละและไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่ดีแน่ๆ
ที่สำคัญเมื่อทุกคนคิดว่าตนเองเป็นผู้นำ
ก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหาผู้นำ
แต่ถ้าเขาจะมีตำแหน่งการนำอะไร
ก็อาสาหรือไม่อาสาหนุนหลังอะไรก็ได้
แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาเป็นผู้นำตนเองต่อไป
อย่าหนุนใครให้มานำจนหมดความเป็นเสีรีชน
แบบทุ่มความเป็นผู้นำให้คนอื่นหมดตัว
ส่วนตนเองกลายเป็นผู้ตาม
แบบนี้ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย
ไม่สู้ก็ได้นอนอยู่บ้านก็ได้แบบนี้
ถ้าทุกคน กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง
ต่อให้ใครจะมีตำแหน่งใหญ่โตยังไง
ก็ไม่สามารถมาบดบังรัศมีคุณไปได้
เพราะคุณไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใคร
อาจก้มให้ตามพิธีหรือตามวัฒนธรรมไทย
ที่ต้องนอบน้อมอันนั้นเรื่องแสดงออกภายนอก
แต่ภายในยังคงนำตนเองตลอดเวลา
ไม่ยอมขายตัวขายจิตวิญญาณให้ใคร
ถ้ามีมวลชนเป็นแบบมากๆ แล้ว
ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบอยู่แค่เอื้อม

เสรีชนจะกล้าตรวจสอบทุกคน
แม้แต่นายกหรือตำแหน่งที่ใช้ภาษีประชาชนทุกตำแหน่ง
วิญญาณการต่อสู้เรียกร้องจะยังอยู่ในตัวคุณไปตลอด
แม้จะหยุดบางจังหวะแต่ถ้าเกิดอะไรรู้สึกว่าไม่ชอบธรรม
ก็สามารถออกมารวมตัวกันได้โดยอัตโนมัติ
โดยไม่ต้องรอใครสั่งหรือรอนักการเมืองมาสั่งให้ประท้วง
ถ้าทำได้แบบนี้ไม่มีผู้มีอำนาจที่ไหน
จะกล้าหือกับประชาชนเจ้าของประเทศแน่นอน

แนวการรวมกลุ่มมากๆ ก็จะได้พรรคการเมือง
เพราะว่าถ้าเป็นกลุ่มจนมีคนร่วมเป็นแสนหรือหลายล้านคน
ไม่เป็นพรรคการเมืองจะรักษากลุ่มไว้ได้ยังไง
มันก็ดีคนละแบบแต่แนวนี้ต้องมีวินัยพรรค
วิจารณ์ผู้มีอำนาจในพรรคยังไม่ได้
สำหรับมวลชนทั่วไปหรือประชาชนทั่วไป
ที่ไม่สนใจอยากมีอาชีพรับใช้ประชาชนแล้ว
แนวทางรวมกลุ่มทำไปก็แตก
ยิ่งพยายามรวมกลุ่มก็ยิ่งดูว่าในที่สุด
จะเป็นพรรคใหม่มากกว่าเป็นกลุ่มประชาชน
ที่ต้องการแค่คอยกำกับดูแลคนที่อาสามารับใช้ประชาชน
ให้อยู่ในร่องในรอย ยิ่งเป็นกลุ่มยิ่งโดนควบคุม
จากผู้มีอำนาจผ่านการล่อด้วยลาภยศสรรเสริญก็ได้
ทำให้ทั้งกลุ่มไม่มีพลังไปตรวจสอบ
หรือกลายไปเป็นลูกน้องรับใช้นักการเมืองไปโดยปริยาย
แทนที่จะเป็นเจ้านายนักการเมือง
เพราะนักการเมืองคือคนที่อาสามารับใช้ประชาชน
ถ้าทุกคนจำคำนี้ไว้ได้เสมอและยึดให้มั่น
และคิดว่าเป็นคนเหมือนกันไม่ว่าจะยศตำแหน่งอะไร
ก็ไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าตำแหน่งประชาชน
คุณก็จะรู้สึกว่ายิ่งใหญ่กว่าคนที่ดูเหมือนยิ่งใหญ่
ที่มียศมีตำแหน่งมีสายสะพาน ห้อยมากมายทันที

ที่สำคัญอย่างยิ่งเลยคือปัญหาที่เห็นมาจนเบื่อก็คือ
ถ้ามีกลุ่มเยอะๆ แล้วแต่ละกลุ่มมีมวลชนหลายสิบหลายร้อยคน
เวลามีการชุมนุมหรือจัดงานอะไร บางทีกลุ่มหนึ่งเป็นเจ้าภาพ
อีกกลุ่มอาจไม่มา ยิ่งระดับนำในกลุ่มไม่มา มวลชนในกลุ่มก็ไม่มา
มีลักษณะอย่างนี้เยอะมาก แต่ถ้า 1 กลุ่ม 1 คน
คนจะมาไม่มาร่วมงานไหนแต่ละคนคิดกันเอง
และมาได้ด้วยใจตนเองนำทางมาได้เลย
ที่เห็นชัดต่อมาคือพอมีหลายๆ คนรวมกลุ่มกัน
ก็เริ่มยึดระบบเล่นพรรคเล่นพวก
เริ่มมีการวางระบบการนำจะต้องมีแกนนำ
แล้วแกนนำไปรับงานไปต่อรองอะไรมา
สมาชิกก็เฮตามเริ่มไม่ต้องใช้สมองกันเพิ่มขึ้น
บางคนแกนนำเอาชื่อไปต่อรองอะไรกับใคร
สมาชิกในกลุ่มก็อาจไม่รู้และเมื่อมีลักษณะพวกใครพวกมัน
ก็จะรักและปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง
กีดกันกลุ่มอื่นและเริ่มเข้ากลุ่มพวกอื่นได้ยากขึ้น
เรียกว่าถ้ามีกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยแบบนี้สู้ไม่มีจะดีกว่า
เพราะจะไม่ยึดติดกลุ่มสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง
ไปได้ทุกงานที่อยากจะไป และมีความภาคภูมิใจว่า
ตนเองก็คือคนสำคัญมาร่วมกับคนอื่นๆ ไม่ใช่ตัวประกอบ
การรักษาสิทธิ์ต่างๆ จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในตัวคนนั้นๆ
โดยไม่ต้องรอใครสั่งให้ทำ

แล้วถามว่าถ้ามีเหตุการณ์ต้องตัดสินใจหล่ะ
ก็มาคุยกันผ่านสื่อจะสะดวกสุด ถึงมีคนเป็นแสน
ก็สามารถคุยสื่อสารโต้แย้งกันได้
โดยไม่ทำให้รถติด ไม่ทำให้ธุรกิจอะไรมาบ่น
นอกจากทนไม่ไหวนัดกันไปชุมนุมนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
บางเรื่องแทบไม่ต้องมีการลงประชามติ
แค่ขอความร่วมมือหรือใครเห็นด้วยมาร่วมเป็นงานๆ
จบแล้วแล้วกัน เหมือนกับการเลือกตั้ง
ก็ไปลงประชามติเลือก ส.ส. เลือกพรรคตามที่แต่ละคนสนับสนุน
หลังจากเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ก็ไม่ใช่ยุติแค่วันเลือกตั้ง
หรือยึดติดกับนักการเมืองที่เลือกเข้ามา
เราเลือกให้ไปทำงานตามที่เขาประกาศ
ขออาสามาทำงานรับใช้ประชาชน
ผมจะเน้นคำนี้บ่อยๆ และ บ่อยๆ
เพื่อไม่ให้ลืมเลือนไปจากความทรงจำในวันเลือกตั้ง
เรายังต้องรักษาสิทธิ เสรีภาพ และร่วมกันขับเคลื่อน
ไปในแนวทางที่แต่ละคนต้องการ
แต่ถ้าแนวทางนั้นไม่สะดุดตาฝ่ายการเมือง
หรือไม่มีคนเห็นด้วยมากๆ ก็ต้องไปหาวิธีการอธิบายให้ดีขึ้น
หรือไปปรับปรุงแนวทางใหม่มานำเสนออะไรแบบนั้น
หรือเห็นนักการเมืองทำตัวไม่ดี หรือกำลังจะโกงกินกัน
ก็สามารถตีให้รู้ตัวเพื่อให้อยู่ในร่องในรอยได้

ซึ่งจะทำแบบนี้ได้ ต้องไม่มอบสิทธิ์ทั้งหมด
ให้กับนักการเมืองในวันเลือกตั้ง
วันเลือกตั้งเรามอบแค่สิทธิ์ส่วนหนึ่งเพื่อเลือกเขา
ไม่ใช่เป็นวันที่ต้องมอบสิทธิ์ทั้งหมดของเราให้แก่เขา
แล้วคิดจะไปทำอะไรก็ได้
ไม่จำเป็นต้องเห็นหัวประชาชนเหมือนในอดีต
ไม่ใช่แล้วเราน่าจะมาไกลเกินกว่านั้นกันได้แล้ว

บางทีก็อาจทำยากเพราะบางคนไม่ได้มอบสิทธิ์อย่างเดียว
แต่มอบความรัก มอบชีวิตแถมไปด้วย
ก็จะเป็นมวลชนนักการเมืองสมบูรณ์แบบ
คือไม่กล้าตินักการเมืองที่ตนเองเชียร์
ส่วนปกป้องเรื่องปกติ อย่าว่าแต่เรื่องการเมืองเลย
ที่เห็นทะเลาะกันเรื่องกีฬา เรื่องรถ
ยังเห็นแบ่งฝ่ายทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดง
โดยที่ไม่ได้อะไรแต่ชอบก็เลยปกป้อง ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่ก็ต้องมียามที่ไม่ปกติ ต้องมาแนะนำตรวจสอบกันเองด้วย
ไม่ใช่หลับหูหลับตาปกป้องอย่างเดียว
เพราะยิ่งตรวจสอบกันเองมากเท่าไหร่
ก็จะมีเรื่องที่ให้ฝ่ายตรงข้ามนำมาตีน้อยลง
เพราะโดนตีก่อนล่วงหน้าและถ้าปรับปรุงตัวได้
ก็ไม่โดนตีจากอีกฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งการตีของฝ่ายตรงข้ามเขาไม่ได้ตีเพื่อติชม
แต่ตีเพื่อล้มอย่างเดียว

ถ้าทุกคนกล้าปฏิวัติใจตนเองได้
คือกล้านำตนเองไม่ก้มหัวให้ใครมีความมั่นใจ
กล้าคิดกล้าทำเสรีชนเต็มขั้นลักษณะแบบนี้
ก็เรียกได้ว่าเขาคนนั้นปฏิวัติตนเองได้สำเร็จแล้ว
และถ้ามีแบบนี้เยอะๆ นี่คือการปฏิวัติสังคม
โดยไม่จำเป็นต้องประกาศว่าจะปฏิวัติอะไรด้วยซ้ำ

ในอดีตหลายประเทศมีการปฏิวัติผลที่ตามมาก็คือ
มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจจากคนแพ้มาสู่คนชนะ
แต่ประชาชนก็ยังเหมือนเดิมคือไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ มากขึ้น
ยกเว้นผู้มีอำนาจยอมคายอำนาจให้มีโอกาสได้เลือกตั้ง
แต่หลังเลือกตั้ง ประชาชนก็หมดอำนาจนั่งดูผู้มีอำนาจ
เล่นการเมืองกันสนุกสนานไปวันๆ
ขอเรียกการปฏิวัติลักษณะนี้ว่า
การเปลี่ยนผ่านอำนาจจากผู้แพ้มาสู่ผู้ชนะ

การปฏิวัติสังคมเป็นเสรีชนที่แท้จริง
อาจยังไม่มีให้เห็นบนโลกนี้มากนักในตอนนี้
แต่ก็มีที่ไปใกล้เคียงความจริงแล้ว
ส่วนใหญ่เป็นพวกฝรั่ง
เพราะแนวคิดหรือการแสดงออกของพวกเขา
เข้าสู่หลักการปฏิวัติสังคมได้เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งถ้าสังคมไหนมีนักปฏิวัติตนเองมากๆ
สังคมนั้นก็จะถูกปฏิวัติไปโดยอัตโนมัติ
โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธอะไรมากมาย

แค่ทุกคนปฏิวัติใจตนเองได้ ไม่ก้มหัวให้ใคร
พร้อมเรียนรู้ฝึกฝนเรื่องราวหรือเกมการเมือง
เพื่อให้สามารถคิดวิเคราะห์แยกแยะได้ด้วยตนเองมากๆ
เวลามารวมกลุ่มก็ไม่แตกต่างทางความคิดมาก
เพราะคนที่มีการพัฒนาการมาใกล้เคียงกัน
ก็มักจะคิดใกล้เคียงกัน อาจมีแตกย่อยไปบ้าง
แต่ก็ยังรับกันได้ แต่เชื่อไหมว่าแค่ให้ปฏิวัติใจตนเองให้ได้
ยังมีคนจำนวนมากทำไม่ได้ ไม่ต้องไปดูพวกอื่น
เอาเฉพาะเสื้อแดงก็ยังมียึดติดเป็นจำนวนมาก
และพร้อมยอมรับสภาพเป็นผู้ตามมากกว่าจะเป็นผู้นำตนเอง
หรือมั่นใจคิดว่าเป็นคนเหมือนกันอะไรแบบนี้
แค่เอาชนะใจตนบางคนยังทำไม่ได้เลย

ถ้าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองไหนก็ตาม
ต้องทำให้คนในบ้านเมืองนั้นกล้าคิดว่าเป็นคนเหมือนกันกับคนอื่น
มีความั่นใจว่าเกิดมาเท่าเทียมกับผู้อื่น
แม้ไม่เท่าเทียมด้านรูปร่างหน้าตาหรือฐานะอะไร
แต่สิทธิ์และเสียงต้องมั่นใจว่าเท่าเทียมกันทุกคน
แค่ทุกคนเริ่มที่ตนเองทุกๆ คนและมีคนแบบนี้เยอะๆ
ก็เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ไปตลอดกาลได้
เพราะสามารถถ่ายทอดถึงรุ่นลูกรุ่นหลานได้
จากการอบรมสั่งสอนของผู้เป็นพ่อเป็นแม่
และสังคมจะถูกปฏิวัติไปเองตามจำนวนคน
ที่ประฏิวัติใจตนเองได้แล้วโดยอัตโนมัติ
แบบนี้ดีกว่ามีหัวปฏิวัติแค่ไม่กี่คนฃ
แล้วมาใช้กำลังจนชนะแต่ก็รักษาไม่อยู่
ไม่มีการตกทอด ไม่มีประชาชนซาบซึ้งในแนวทาง
ต้องใช้กำลังรักษาแนวทางปฏิวัติตนเองไปตลอดกาล
ซึ่งมันทำไม่ได้ต้องมีเกิดแก่เจ็บตายกันทุกคนไม่จีรัง
และไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงแน่นอน
แต่ถ้าไม่มีทางเลือก ก็ว่ากันไป

สรุปผมยังยืนเหมือนเดิมว่า
การแตกตัว 1 กลุ่ม 1 คน เหมาะที่สุดในระบอบประชาธิปไตย
ส่วนปลายทางแนวพยายามรวมกลุ่ม
ก็จะพัฒนากลายเป็นมุ้งเป็นพรรคการเมืองในที่สุด

ฝากคำคมสำหรับวันนี้

"คนที่ใช้กระบี่ไม่เป็น อย่าพึ่งมอบกระบี่ให้แก่เขา
คนที่ใช้อำนาจไม่เป็น อย่าพึ่งมอบอำนาจให้แก่เขา"

"คนที่มีอำนาจมากๆ
อาจบ้าอำนาจได้สักวัน
ถ้าไม่ช่วยกันท้วงติง
อย่าให้ชิงหลงลืมตัว"

"คนจะดีไม่ดีมีโอกาสเป็นผู้มีอำนาจ
ถ้าหากระบบตรวจสอบดีและเข้มแข็ง
ผู้มีอำนาจก็จะแหยงไม่กล้าทำไม่ดี"

โดย มาหาอะไร

FfF