บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


04 สิงหาคม 2554

<<< ความรู้เกี่ยวกับเงินเฟ้อ >>>

ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation)

เงินเฟ้อ

ความหมายง่าย ๆ ของเงินเฟ้อคือ ภาวะที่ข้าวของเครื่องใช้โดยทั่วไปมีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง การสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าของเงินลดลง เช่น ปีที่ผ่านเราซื้อเสื้อผ้าด้วยเงินจำนวน 100 บาทต่อชิ้นมาปีนี้เราต้องซื่อเสือผ้าตัวเดิมด้วยเงิน 103 บาท แสดงว่า มูลค่าของเงินลดลง 3 % ปีต่อไปราคาสินค้าชิ้นนี้ก็เพิ่มขึ้นอีกไปเรื่อย ๆ

แต่การเพิ่มราคาของสินค้าจะหมายถึง สินค้าทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ แต่ถ้าขึ้นเพียงอย่างเดียวหรือเพียงสองสามอย่างจะไม่ถือ ว่าเป็นเงินเฟ้อ หรือ ภาวการณ์ที่ระดับราคาสินค้าและบริการ โดยทั่วไปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่เพียงเล็กน้อยเป็นปกติก็จะสร้างสิ่งจูงใจแก่ผู้ ประกอบการ แต่หากเพิ่มขึ้นมากและผันผวนก็จะสร้างความไม่แน่นอนและก่อให้เกิดปัญหาต่อ ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการครองชีพของประชาชน และการขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ในประเทศไทยเงินเฟ้อวัดจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งเป็นดัชนีที่จัดทำโดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของราคาสินค้าและบริการต่างๆ ที่ผู้บริโภคซื้อหาเป็นประจำ โดยน้ำหนักของสินค้าและบริการแต่ละรายการกำหนดจาก รูปแบบการใช้จ่ายของครัวเรือนซึ่งได้จากการสำรวจ


สาเหตุที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ

ประการแรก ต้นทุนสินค้าเพิ่ม ทำให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าขึ้น สาเหตุที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น อาทิ การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน การเกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ การเพิ่มกำไรของผู้ประกอบการ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านำเข้า ซึ่งอาจเพิ่มไปตามภาวะ ตลาดโลก หรือผลของอัตราแลกเปลี่ยน

*ต้นทุนการผลิตคือสิ่งที่ใช้พิจารณา นโยบายกำหนดราคาสินค้าและบริการ ถ้าต้นทุนเพิ่มขึ้นไม่ว่าจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น หรือราคา วัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าต้องเพิ่มขึ้นด้วย ราคาสินค้าสูงขึ้นผู้บริโภคต้องใช้เงินมากกว่าเดิมทำให้ปริมาณเงินที่ไหล เข้าสู่ตลาดมากขึ้น

ประการที่สอง ความต้องการสินค้าเพิ่ม (ปริมาณที่ต้องการซื้อมากขึ้นทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น) หรือที่เรียกว่า แรงดึงทางด้านอุปสงค์ เกิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจมีความต้องการปริมาณสินค้าและบริการมากกว่าที่มี อยู่ในขณะนั้นๆจึงดึงให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าและบริการอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงิน การดำเนินนโยบายการคลังของภาครัฐบาล การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในต่างประเทศ เช่นเมื่อพนักงานได้รับค่าแรงเพิ่มทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการบริโภคมากขึ้นทำ ให้ความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นสาเหตุผลัก ดันให้เกิดเงินเฟ้อ ภาคการผลิตเมื่อสินค้าราคาดีขึ้นก็จะมีคนเร่งผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายทำให้ ต้องจ่ายค่าแรงในรูปของค่าล่วงเวลา ก็จะทำให้รายได้ ของพนักงานเพิ่มขึ้นอีก ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะหมุนเป็นวัฏจักรผลักดันทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจแบบฟองสบู่ ในที่สุด เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเรื่อย ๆ ราคาสินค้าก็สูงขึ้นจนทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพง


การแบ่งชนิดของอัตราเงินเฟ้อ

ตามหลักวิชาการจะแบ่งอัตราเงินเฟ้อเป็น 3 ประเภทคือ

1. เงินเฟ้ออย่างอ่อน คือ อัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นไม่เกินร้อยละ 5 (ทำให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุน) มักจะเกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นภาวะปกติและไม่มีผลเสียหายต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่กลับจะส่งผลดีคือ ทำให้มีการกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจทางด้านการลงทุน การผลิต การจ้างงาน และรายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น

2. เงินเฟ้อปานกลาง คือ อัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเกินร้อยละ 5 แต่ไม่เกิน ร้อยละ 20 (สินค้าโดยทั่วไปราคาแพง)ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการผลิต เพราะต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าก็จะสูงตามขึ้นไป ประชาชนจะประสบปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้นโดยได้รับความเดือดร้อนเรื่องราคา สินค้าแพง ดังนั้นรัฐบาลจะยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไขโดยใช้มาตรการทางการเงินและการคลัง

3. เงินเฟ้ออย่างรุนแรง คือ การที่ระดับราคาสินค้าสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นไปอย่างกว้างขวาง โดยระดับราคาจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 20% ต่อปี ทำให้อำนาจการซื้อของเงินลดลงอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งมักเกิดขึ้นในขณะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ สงคราม หรือ รัฐบาลทำการพิมพ์ธนบัตรออกมาหมุนเวียนมากเกินไป อย่างเช่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเยอรมนี จีนและประเทศไทย ได้พิมพ์ธนบัตรออกใช้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด จึงเกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรงจนทำให้ธนบัตรแทบจะไม่สามารถทำหน้าที่ชำระหนี้ ตามกฎหมายได้

ผลกระทบของเงินเฟ้อ

ผลต่อความต้องการถือเงิน

ภาวะเงินเฟ้อจะทำให้ค่าของเงินลดลง เพราะเมื่อราคาสินค้าแพขึ้น เงินเท่าเดิมจะซื้อของได้น้อยลงความต้องการถือเงินจะขึ้นอยู่กับการคาดคะเน ราคาสินค้าหรือค่าของเงินด้วย ค่าของเงินยิ่งต่ำ คนจะยิ่งพยายามถือเงินให้น้อยลง โดยจะมีการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น

ผลกระทบต่อรัฐบาล

รัฐบาลมักจะได้รับประโยชน์จากภาวะ เงินเฟ้อ นั้นคือ ภาวะเงินเฟ้อจะทำให้ประชาชนมีรายได้ที่เป็นตัวเงินเพิ่มสูงขึ้น ถ้ารัฐเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า ก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น มีรายได้มากขึ้น ส่วนทางด้านรายจ่ายของรัฐนั้นถ้าเป็นจำนวนที่คงที่ เช่น เงินเดือน, บำนาญ, เงินสงเคราะห์ต่าง ๆ รัฐก็จะได้ประโยชน์เพราะเงินนั้นมีค่าน้อยลง นอกจากนี้ถ้ารัฐมีการกู้ยืมมากรัฐจะได้ประโยชน์ฐานะลูกหนี้ เพราะจำนวนเงินที่จ่ายในแต่ละส่วนจะมีค่าน้อยลง และเนื่องจากรัฐมีรายได้มากขึ้น การชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจึงทำได้โดยไม่ลำบากในการเก็บรักษามูลค่า และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้เลย

ผลที่มีต่อการกระจายรายได้

เมื่อเกิดเงินเฟ้อจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในการกระจายรายได้ของบุคคล เช่น

1) ผู้มีรายได้เป็นจำนวนเงินคงที่ตายตัวหรือรายได้ประจำจะเสียเปรียบ เพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะสูงขึ้นเนื่องจากสินค้าแพงขึ้น แต่รายได้ที่เป็นตัวเงินยังคงเดิม
หรือเพิ่มขึ้นน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ เช่นข้าราชการ , ผุ้มีรายได้จากบำนาญ ในขณะที่ผู้มีรายได้จากกำไร หรือมีรายได้เป็นตัวเงินที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
เช่น พ่อค้า, นักธุรกิจ มักจะได้ประโยชน์เพราะสามารถขึ้นราคาสินค้าให้สูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตหรือ อาจจะขึ้นราคาไปมากกว่าต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้ได้กำไรมากขึ้น

2) ลูกหนี้จะได้เปรียบในขณะที่เจ้าหนี้เสียเปรียบ เนื่องจากเงินที่นำไปชำระหนี้คืนนั้นมีอำนาจซื้อลดลง เนื่องจากค่าของเงินลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ เพราะราคาสินค้าสูงขึ้น

3) ผู้ถือทรัพย์สินที่เป็นตัวเงินแน่นอน เช่น เงินสด เงินฝากประจำ หุ้นกู้ จะเสียเปรียบ เพราะเงินลดค่าลงในขณะที่ผู้ถือทรัพย์สินที่มีราคาไม่แน่นอนมักจะได้เปรียบ
เพราะราคาของทรัพย์สินมักจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ที่ดิน อาคารบ้านเรือน เครื่องมือเครื่องจักร กักตุนสินค้า
จะ เห็นได้ว่าภาวะเงินเฟ้อจะทำให้การกระจายรายได้เป็นไปอย่างไม่ยุติธรรมมาก ขึ้น เพราะคนรวยจะยิ่งรวยขึ้น (เช่น พวกพ่อค้า ผู้ผลิต นักธุรกิจ นายทุน) ในขณะที่คนจนยิ่งจนมากขึ้น
(เช่น ลูกจ้าง, กรรมกร,ข้าราชการ) ซึ่งถ้าหากผุ้มีรายได้ประจำเหล่านี้ได้รับความเดือดร้อนเพราะค่าครองชีพสูง ก็อาจจะดิ้นรนเรียกร้องค่าแรงงาน, เงินเดือนให้สูงขึ้น ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จ

นายจ้างก็จะต้องจ่ายค่าแรงงานเพิ่ม ขึ้น ต้นทุนการผลิตก็จะสูงขึ้น ทำให้ต้องตั้งราคาสินค้าสูงขึ้นไปกว่าเดิม ภาวะเงินเฟ้อก็จะแรงยิ่งขึ้น และลูกจ้างเองก็จะไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงความเดือดร้อนจากภาวะเงินเฟ้อได้

ที่มา : http://www.student.chula.ac.th

http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=475263&Ntype=120

------------------------------------------------------

ดัชนีราคาผู้บริโภค

(CONSUMER PRICE INDEX)

1. แนวความคิดในการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค

ดัชนีราคาผู้บริโภคกำเนิดขึ้นจากความต้องการศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว และการวัดระดับการครองชีพของประชากร เพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

แนวความคิดพื้นฐานของดัชนีราคาผู้บริโภค พัฒนามาจากแนวความคิดของดัชนี ค่าครองชีพ (COST OF LIVING INDEX) ซึ่งต้องการวัดค่าใช้จ่ายในการบริโภคของผู้บริโภคในเดือนหนึ่ง ๆ โดยยังคงรักษามาตรฐานการครองชีพตามระดับที่กำหนดไว้ได้ ซึ่งเป็นไปได้ยาก
ในทางปฏิบัติ เนื่องจากมาตรฐานการครองชีพยังขึ้นกับปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ รายได้ จำนวนสมาชิกในครอบครัว ภาษี คุณภาพสินค้า เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปและราคาสินค้าที่เปลี่ยนแปลง

ดังนั้น ด้มีการนำดัชนีราคาผู้บริโภคให้มีปริมาณและลักษณะของสินค้าคงที่ แต่เปลี่ยนแปลงเฉพาะราคาสินค้าเท่านั้น แก้ปัญหานี้โดยการกำหนดให้กลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ประชาชนใช้บริโภคคงที่ แทนการกำหนดให้มาตรฐานการครองชีพคงที่และวัดค่าใช้จ่ายในการบริโภคของเดือนหนึ่ง ๆ เพื่อผู้บริโภคยังคงบริโภคสินค้าและบริการอย่างเดิม ถึงแม้ดัชนีราคาผู้บริโภคจะไม่สามารถแทนดัชนีค่าครองชีพได้อย่างสมบูรณ์ แต่อาจกล่าวได้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคเป็นตัวประมาณค่าดัชนีค่าครองชีพได้ดีในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการบริโภค

2. ประวัติการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคในประเทศไทย

การจัดทำดัชนีราคาในประเทศไทย ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.. 2486 โดยกรมการสนเทศ แต่เป็นการจัดทำเพื่อใช้ภายในหน่วยงานราชการ
เท่านั้น ต่อมาได้มีการปรับปรุงและพัฒนาเป็นลำดับจนได้เผยแพร่ครั้งแรก ปี พ.. 2491 โดยใช้ปี 2491 นี้เป็นฐาน

ในการพัฒนาปรับปรุงการจัดทำดัชนีราคา จนมาเป็นดัชนีราคาผู้บริโภคในปัจจุบันนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้น (ปี 2486 - 2504)

- ดัชนีค่าครองชีพ

ได้มีการจัดทำดัชนีราคา ที่เรียกว่า ดัชนีค่าครองชีพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายของคนงาน และข้าราชการที่มีรายได้น้อยในกรุงเทพฯ มีรายการสินค้าที่สำรวจเพียง 21 รายการเท่านั้น ดัชนีชุดนี้มีการคำนวณเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2491 และพัฒนามาเป็นดัชนีราคาผู้บริโภคในปัจจุบัน

- ดัชนีราคาขายปลีก

ได้มีการคำนวณดัชนีราคาอย่างง่าย ๆ โดยไม่มีการถ่วงน้ำหนัก เป็นราคาเฉลี่ยสัมพัทธ์

ของสินค้า 58 ชนิด ที่ซื้อขายในกรุงเทพฯ โดยดัชนีชุดนี้มีการจัดทำตั้งแต่ปี 2491 ถึงปี 2505

ระยะที่ 2 ระยะพัฒนา (ปี 2505 – 2519)

ในช่วงต้นของยุคนี้ได้มีการปฏิรูป การจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศไทย ครั้งใหญ่ ให้มีการจัดทำตามระบบสากลมากขึ้น การปฏิรูปครั้งนั้นประสบความสำเร็จเนื่องจากปัจจัย 2 ประการ คือ

1. สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้เริ่มสำรวจรายจ่ายของครอบครัวในเขตกรุงเทพ ฯ และ

ธนบุรีในปี 2505 ซึ่งกรมการสนเทศได้นำข้อมูลดังกล่าวมาคำนวณน้ำหนักในการทำดัชนีราคา ผู้บริโภค และได้อาศัยข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ มาใช้ในการจัดทำและปรับปรุงดัชนีราคาผู้บริโภคมาจนถึงปัจจุบัน

2. ในปี 2505 รัฐบาลไทยได้รับความช่วยเหลือจากประเทศสหรัฐอเมริกา ให้นาย

แอบเนอร์ เฮอร์วิซ (Mr.Abner Hurwitz) ผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติมาช่วยปรับปรุงงานสถิติให้แก่สำนักงานสถิติแห่งชาติ และในโอกาสนี้ก็ได้
มาช่วยให้คำแนะนำ และปรับปรุงการจัดทำดัชนีราคาของกรมการสนเทศด้วย โดยการนำผลการสำรวจค่าใช้จ่ายในปี 2505 มาใช้
และเพิ่มรายการสินค้า
เป็น 232 รายการ และเปลี่ยนชื่อจากดัชนีราคาค่าครองชีพ มาเป็นดัชนีราคาผู้บริโภคด้วย นอกจากนี้ได้ยกเลิก
การจัดทำดัชนีราคาขายปลีก และต่อมาในปี 2507 ได้ขยายขอบเขตการจัดทำดัชนีราคาให้ครอบคลุมไปสู่ภูมิภาคทั้ง 4 ภาค โดยเพิ่มจังหวัด
ที่มีการสืบราคาอีก 20 จังหวัด

ระยะที่ 3 ระยะสืบสานและก้าวหน้า (ปี 2519 – ปัจจุบัน)

ระยะนี้เป็นระยะที่มีการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคเข้าสู่ระบบสากลแล้ว มีการปรับปรุงน้ำหนัก และรายการสินค้าเป็นระยะ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป มีการปรับปรุงการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาตามวิทยาการที่
ก้าวหน้าขึ้น

มีการปรับปรุงน้ำหนักและรายการสินค้า ดังนี้

1. ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักและรายการสินค้า โดยใช้ข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่าย

ครัวเรือน ปี 2519 และเปลี่ยนปีฐานเป็นปี 2519 ลดรายการสินค้าที่ใช้คำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคจาก 232 รายการ เหลือ 214 รายการ และเพิ่มจังหวัดที่จัดเก็บราคาในภูมิภาคเป็น 24 จังหวัด

2. ในปี 2528 ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักที่ใช้ในการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคใหม่

โดยใช้ข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือนปี 2524 และเรียกดัชนีราคาผู้บริโภคเดิมว่า ดัชนีราคา ผู้บริโภคทั่วไป เพื่อให้แตกต่างจากดัชนีราคาผู้บริโภคที่จัดทำใหม่อีก 2 ชุด คือ ดัชนีราคาผู้บริโภค

รายได้น้อย และดัชนีราคาผู้บริโภคเขตชนบท เพิ่มจำนวนรายการสินค้าเป็น 216 รายการ ปีฐานยังคงใช้ ปี 2519

3. ปี 2533 ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักอีกครั้งหนึ่งโดยใช้ข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่าย

ครัวเรือน ปี 2529 ด้วย มีการเพิ่มรายการสินค้าเป็น 238 รายการ และขยายจังหวัดที่จัดเก็บราคาในส่วนภูมิภาคเป็น 37 จังหวัด

4. ปี 2538 ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักตามข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือนปี 2533

และเปลี่ยนปีฐานเป็นปี 2533 และมีการเปลี่ยนแปลงรายการสินค้า (เพิ่มและลดสินค้าบางรายการ) เป็น 248 รายการ

5. ในปี 2540 ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักตามข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือน

ปี 2537 และเปลี่ยนปีฐานเป็นปี 2537 และปรับเปลี่ยนรายการสินค้าเป็น 260 รายการ โดยเฉลี่ยของทั้งกรุงเทพและภูมิภาค 4 ภาค

6. ในปี 2545 ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักและรายการสินค้า โดยใช้ข้อมูลการสำรวจค่าใช้

จ่ายครัวเรือน ปี 2541 เป็นปีฐาน และมีการเปลี่ยนแปลงรายการสินค้า จาก 260 รายการ เป็น 326 รายการ ( มีรายการเพิ่มขึ้น 65 รายการ
และลดลง 15 รายการ โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 50 รายการ เมื่อเทียบกับ
ปี 2537 )

7. ในปี 2548 ปรับปรุงน้ำหนักค่าใช้จ่ายและรายการสินค้าใหม่ ตามการสำรวจค่าใช้จ่าย

ของครัวเรือนปี 2545 ซึ่งเริ่มเผยแพร่ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548 เป็นต้นไป มีการเปลี่ยนแปลง รายการสินค้าจาก 326 รายการ เป็น
373 รายการ (มีรายการเพิ่มขึ้น 47 รายการ โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 19 รายการ หมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม
เพิ่มขึ้น 28 รายการ)

สรุป นับตั้งแต่ได้มีการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค เมื่อปี 2505 ได้มีการปรับน้ำหนัก 7 ครั้ง ปรับปีฐาน 6 ครั้ง ดังนี้

ปี

ข้อมูลการสำรวจฯ ปี

ปีฐาน

รายการสินค้า

เริ่ม

2505 – 2518

2505

2505

232

ปรับครั้งที่ 1

2519 – 2523

2519

2519

214

ปรับครั้งที่ 2

2524 – 2528

2524

2519

216

ปรับครั้งที่ 3

2529 – 2533

2529

2529

238

ปรับครั้งที่ 4

2533 – 2537

2533

2533

248

ปรับครั้งที่ 5

2537 – 2544

2537

2537

260

ปรับครั้งที่ 6

2545 – 2547

2541

2541

326

ปรับครั้งที่ 7

2548 - ปัจจุบัน

2545

2545

373

หมายเหตุ ปีฐาน คือ ปีที่กำหนดให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเท่ากับ 100

3. ขั้นตอนการจัดทำ

3.1 ความหมายของดัชนีราคา

ดัชนีราคาผู้บริโภค เป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการ โดยเฉลี่ยที่ผู้บริโภคจ่ายไป สำหรับกลุ่มสินค้าและ
บริการที่กำหนด

กลุ่มสินค้าและบริการที่กำหนด มีคำเฉพาะเรียกว่า ตะกร้าสินค้า (Market Basket) คือ กลุ่มสินค้าและบริการที่กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายส่วนใหญ่ซื้อมาบริโภคเป็นประจำ การจัดตะกร้าสินค้านั้น ได้ข้อมูลมาจากการสำรวจค่าใช้จ่ายการบริโภคของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย

การวัดการเปลี่ยนแปลงในราคานั้น จะเปรียบเทียบราคาสินค้าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ กับราคาสินค้าอย่างเดียวกันในช่วงเวลาตั้งต้น ซึ่งมีคำเฉพาะเรียกว่าปีฐาน (Base Year) ในทางปฏิบัติ ปีฐานหมายถึงปีที่กำหนดให้ตัวเลขดัชนีมีค่าเท่ากับ 100

น้ำหนัก (Weight) เป็นคำที่ควรทราบในเรื่องดัชนีราคา หมายถึงการให้ความสำคัญของสินค้าแต่ละรายการในตะกร้าสินค้าแตกต่างกัน เพราะในการทำดัชนีราคาจะใช้ค่าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักของราคาสินค้าทุกรายการในตะกร้าสินค้า สินค้าที่ผู้บริโภคใช้จ่ายในการบริโภคมากจะ
มีความสำคัญมาก นั่นคือ มีน้ำหนักมาก การจัดทำน้ำหนักของสินค้าในตะกร้าสินค้าก็จะต้องอาศัยข้อมูลจากการสำรวจค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคเช่นกัน

3.2 กำหนดวัตถุประสงค์และลักษณะครัวเรือนดัชนีราคา

ในการจัดทำดัชนีราคา ขั้นแรกและสำคัญที่สุด คือ การกำหนดวัตถุประสงค์ ให้ชัดเจนว่าดัชนีราคาที่จัดทำมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร
ต้องการวัดหรือชี้อะไร สำหรับประเทศไทยปัจจุบัน
ได้กำหนดกรอบลักษณะของครัวเรือนตัวอย่างที่ใช้วัด เป็น 3 ชุด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ต่างกัน ดังนี้

1. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ประกอบด้วย

- ครัวเรือนที่ตั้ง อยู่ ในเขตเทศบาลเมือง 4 ภาค กรุงเทพ และปริมณฑล

- มีสมาชิกในครัวเรือน ตั้งแต่ 1 - 5 คน

- มีรายได้ ตั้งแต่ 3,000 – 60,000 บาท ต่อเดือนต่อครัวเรือน

2. ดัชนีราคาผู้บริโภครายได้น้อย ประกอบด้วย

- ครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมือง 4 ภาค กรุงเทพและปริมณฑล

- มีสมาชิกในครัวเรือนตั้งแต่ 1 - 5 คน

- มีรายได้ตั้งแต่ 3,000 – 15,000 บาท ต่อเดือนต่อครัวเรือน

3. ดัชนีราคาผู้บริโภคเขตชนบท ประกอบด้วย

- ครัวเรือนที่ตั้งอยู่นอกเขตเทศบาล ภูมิภาค 4 ภาค

- มีสมาชิกในครัวเรือนตั้งแต่ 2 - 6 คน

- มีรายได้ตั้งแต่ 2,000 – 25,000 บาท ต่อเดือนต่อครัวเรือน

3.3 การสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดัชนี

ในการสร้างดัชนีราคาผู้บริโภคจำเป็นต้องทำการสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดัชนีซึ่งได้กำหนดกรอบไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อต้องการทราบสินค้าและบริการที่ครัวเรือนต่าง ๆ ใช้จ่ายในการดำรงชีพเป็นอย่างไร เพื่อนำไปใช้เป็นน้ำหนักที่จะให้ความสำคัญมากน้อยแก่สินค้าและบริการที่ครัวเรือนใช้จ่ายไปตามลำดับ ซึ่งมีผลทำให้ทราบถึงลักษณะการดำรงชีพของประชากรในระดับต่าง ๆ เกี่ยวกับรายได้ รายจ่าย และการออมและเกี่ยวเนื่องถึงลักษณะการบริโภคและ ชี้วัดความเป็นอยู่ของพลเมืองส่วนใหญ่ว่ามีลักษณะการบริโภคและการดำรงชีพอย่างไร

ในการสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในประเทศไทยจะจัดทำโดยสำนักงานสถิติ
แห่งชาติ
และกระทรวงพาณิชย์จะนำผลการสำรวจมาใช้ในการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค

3.4 การจัดทำน้ำหนัก (Weight) และความสำคัญเปรียบเทียบ (Relative importance)

ของรายการสินค้า

ดัชนีราคาผู้บริโภคคำนวณจากค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงราคาของรายการ สินค้าต่าง ๆ ในพื้นที่ แต่เนื่องจากรายการสินค้าแต่ละรายการมีความสำคัญไม่เท่ากัน ขึ้นกับ ค่าใช้จ่ายที่ผู้บริโภคใช้จ่ายและจำนวนผู้บริโภคที่ใช้จ่ายในรายการนั้น ๆ รายการสินค้าที่มีการ ใช้จ่ายในการบริโภคมากจะมีความสำคัญมาก ในทางตรงกันข้ามราคาสินค้าที่มีการใช้จ่ายในการบริโภคน้อยก็มี
ความสำคัญน้อย

ค่าใช้จ่ายในการบริโภคของแต่ละรายการสินค้าที่ได้จากการสำรวจ จะนำมาคำนวณเปรียบเทียบสัดส่วนกัน เพื่อหาน้ำหนักของแต่ละ
รายการสินค้า รายการสินค้าที่มีค่าใช้จ่ายมากจะมีน้ำหนักมาก รายการสินค้าที่มีค่าใช้จ่ายน้อยจะมีน้ำหนักน้อย น้ำหนักของแต่ละรายการสินค้าในปีฐานจะคงที่ตลอดการคำนวณดัชนีราคาจนกว่าจะมีการจัดทำน้ำหนักใหม่จึงจะ
เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
หนึ่ง

ส่วนความสำคัญเปรียบเทียบนั้น เป็นการเปรียบเทียบสัดส่วนค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในรายการสินค้าต่าง ๆ ในเดือนหนึ่ง ๆ ที่เกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายนี้คำนวณจากปริมาณการบริโภคสินค้า (หรือน้ำหนักของรายการสินค้าซึ่งกำหนดให้คงที่) คูณกับราคาสินค้านั้น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปใน
แต่
ละเดือน ฉะนั้นความสำคัญเปรียบเทียบของแต่ละรายการสินค้าจะเปลี่ยนแปลงทุกเดือนด้วย ส่วนจะเปลี่ยนแปลงมากน้อยขึ้นกับอัตรา
การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านั้น ๆ ในแต่ละเดือน สินค้า ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาสูงกว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของราคาสินค้า
ทั้งหมดในตะกร้าสินค้า สินค้านั้นก็จะมีความสำคัญเปรียบเทียบเพิ่มขึ้น ในทางตรงข้ามสินค้าที่มีอัตราการ
เปลี่ยนแปลงราคาต่ำกว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของราคาสินค้าทั้งหมดในตะกร้าสินค้า สินค้านั้นจะมีความสำคัญเปรียบเทียบลดลง

การคำนวณความสำคัญเปรียบเทียบของรายการสินค้าในแต่ละเดือน จะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงราคาของรายการ
สินค้านั้น ๆ ต่อดัชนีราคาผู้บริโภคทั้งหมดในเดือนหนึ่ง ๆ

ขั้นตอนในการจัดทำน้ำหนัก มีดังนี้

1. ให้น้ำหนักขั้นต้นแก่รายการสินค้าที่ถูกคัดเลือกตามค่าใช้จ่ายที่ได้จากการสำรวจ

ผู้บริโภค

2. ให้น้ำหนักหรือค่าใช้จ่าย ของแต่ละรายการสินค้าที่ไม่ถูกคัดเลือกเข้าไปรวมกับ

น้ำหนักของรายการที่ถูกคัดเลือกตามวิธีการ ดังนี้

- การรวมน้ำหนักโดยตรง คือ การเอาน้ำหนักของรายการที่ไม่ถูกคัดเลือกไปรวมกับรายการที่ถูกคัดเลือกโดยตรง โดยมีข้อแม้ว่ารายการที่นำไปรวมด้วยนั้นจะต้องมีลักษณะ
ใกล้เคียงกัน เช่น น้ำมันพืชกับน้ำมันหมู และที่สำคัญ คือ ควรมีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงราคาไปในทางเดียวกัน

ในทางปฏิบัติบางทีจะมีการพิจารณาด้วยว่า เมื่อรวมน้ำหนักของรายการสินค้า

ที่ไม่ถูกคัดเลือกเข้าไป จะต้องไม่ทำให้รายการสินค้าที่ถูกเพิ่มน้ำหนักมีน้ำหนักมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้รายการสินค้านั้นมีความสำคัญมาก
เกินความเป็นจริง ส่งผลให้ความเคลื่อนไหวของราคาสิน
ค้านั้น ๆ กระทบต่อความเปลี่ยนแปลงของดัชนีมากเกินไป

- การรวมน้ำหนักโดยอ้อม คือการเฉลี่ยน้ำหนักของรายการสินค้าที่ไม่ถูกคัดเลือก

ไปให้รายการสินค้าทุกรายการที่ถูกคัดเลือกในหมวดเดียวกันตามสัดส่วนน้ำหนักเดิมของสินค้านั้น บางรายการสินค้าไม่เข้าหลักเกณฑ์การรรวมน้ำหนักโดยตรงก็จะใช้การเฉลี่ยน้ำหนักโดยวิธีนี้

3. คำนวณน้ำหนักขั้นสุดท้าย โดยแต่ละหมวดจะเหลือเฉพาะรายการสินค้าที่ถูก คัดเลือกและน้ำหนักสุดท้ายคือ น้ำหนักหรือค่าใช้จ่ายในรายการนั้นที่ได้จากการสำรวจ รวมกับน้ำหนักที่ได้เพิ่มมาจากข้อ 2 (ในกรณีที่มีการรวมน้ำหนักเกิดขึ้น) ผลรวมของน้ำหนักจากทุกรายการสินค้าในทุกหมวดจะต้องเท่ากับค่าใช้จ่ายรวมของผู้บริโภคที่ได้จากการสำรวจ

น้ำหนักที่คำนวณของแต่ละรายการสินค้าจะคงที่ และใช้ตลอดการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคนั้น จนกว่าจะมีการปรับปรุงรายการสินค้าและน้ำหนักจากการสำรวจค่าใช้จ่ายในการบริโภคครั้งใหม่

3.5 การจัดหมวดหมู่สินค้า

โดยทั่วไปสินค้าที่นำมาคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย จะแยกออกเป็นหมวดใหญ่ ๆ ได้ 7 หมวด คือ

1. หมวดอาหารและเครื่องดื่ม

2. หมวดเครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า

3. หมวดเคหสถาน

4. หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล

5. หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร

6. หมวดการบันเทิง การอ่าน และการศึกษา

7. หมวดยาสูบ และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์

ในแต่ละหมวดใหญ่เหล่านี้ ยังได้จำแนกออกเป็นหมวดย่อย ได้ดังนี้

1. หมวดอาหารและเครื่องดื่ม จำแนกเป็น

- ข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง

- เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ

- ไข่และผลิตภัณฑ์นม

- ผักและผลไม้

- เครื่องประกอบอาหาร

- เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์

- อาหารสำเร็จรูป

2. หมวดเครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า

3. หมวดเคหสถาน

- ค่าที่พักอาศัย

- ไฟฟ้า เชื้อเพลิง น้ำประปาและแสงสว่าง

- สิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน

- สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด

4. หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล

- ค่าตรวจรักษาและค่ายา

- ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล

5. หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร

- ค่าโดยสารสาธารณะ

- ยานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิง

- การสื่อสาร

6. หมวดการบันเทิง การอ่านและการศึกษา

- การบันเทิงและการอ่าน

- การศึกษา

7. หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์

3.6 การเลือกรายการสินค้า

จากข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดัชนี ทำให้ทราบรายการสินค้าและบริการที่ครัวเรือนดัชนีใช้จ่าย พร้อมมีความสำคัญของแต่ละรายการสินค้าและบริการ (โดยดูจากค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดัชนีในแต่ละรายการสินค้า) จำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการคำนวณแทนสินค้าและบริการทั้งหมด หลักเกณฑ์ในการเลือกรายการสินค้า ในทางปฏิบัติที่ไม่ใช่สินค้าและบริการ ทุกรายการที่ครัวเรือนดัชนีใช้จ่ายมาจัดทำดัชนี แต่จะเลือกรายการสินค้า โดยมีวิธีการดังนี้

1. เลือกรายการสินค้าที่มีความสำคัญ ซึ่งข้อมูลที่คัดเลือกรายการได้มาจากการ

สำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยใช้หลักเกณฑ์การเลือกรายการสินค้าที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายของสินค้าแต่ละรายการต่อค่าใช้จ่ายรวมตั้งแต่
ร้อยละ 0.01 ของสินค้าทั้งหมด

2. ดูแนวโน้มของสัดส่วนค่าใช้จ่ายของสินค้านั้น ๆ เทียบกับการสำรวจที่ผ่านมา

ถ้ามีแนวโน้มมากขึ้นและคาดว่าจะมีการใช้จ่ายในสินค้ารายนี้มากขึ้น จะคัดเลือกไว้เป็นตัวแทน

3. สินค้าบางอย่างในขณะสำรวจอาจจะมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายน้อยแต่มีการคาดการณ์ว่า

จะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ก็จะมีการรวมรายการเหล่านั้นมาใช้ในการคำนวณดัชนีด้วย

4. สินค้าที่คัดเลือกสามารถกำหนดลักษณะจำเพาะได้ชัดเจน

5. เป็นสินค้าที่มีการซื้อขายกันอยู่ในท้องตลาดทั่วไปสามารถจัดเก็บราคาได้

6. ในปี 2545 รายการสินค้าในหมวดต่าง ๆ ได้ปรับปรุงตามโครงสร้างของ COICOP

การเลือกตัวอย่าง

ในการเลือกทำดัชนีราคาผู้บริโภค นอกจากความถูกต้องน่าเชื่อถือแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึง คือ ความรวดเร็วทันต่อเวลา
การจัดเก็บราคาสินค้าทุก ๆ ชนิด ในแต่ละรายการและทุก
ท้องที่ ทุกร้าน จะทำให้ล่าช้ามาก และเสียค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการคัดเลือกตัวอย่างในการจัดเก็บราคาสินค้า

3.7 การกำหนดลักษณะจำเพาะของสินค้า

จากผลการสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดัชนี และการคัดเลือกรายการสินค้า จะทำให้ทราบรายการสินค้าทุกรายการที่จะจัดเก็บราคา แต่ก่อนที่จะให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดเก็บราคานั้นจะต้องมีการกำหนดรายละเอียดลักษณะจำเพาะของสินค้าที่จะจัดเก็บราคาให้แน่ชัดเสียก่อนเนื่องจาก

(1) สินค้าแต่ละรายการมีมากมายหลายประเภท เช่น น้ำพืช อาจจะมีน้ำมันพืช

ประเภทต่าง ๆ เช่น น้ำมันรำ น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันผสม เป็นต้น

(2) สินค้าแต่ละประเภทมีหลายตรา เช่น น้ำมันปาล์ม มีหลายตรา เช่น ทิพ

มรกต คิงส์ โพลา เป็นต้น

(3) สินค้าแต่ละประเภท มีหลายขนาด (ปริมาณ , น้ำหนัก) แตกต่างกันไป

(4) สินค้าบางประเภทมีลักษณะจำเพาะเฉพาะแยกย่อยลงไปอีกมากมาย ขึ้นกับ

วัตถุดิบที่ใช้ สี กลิ่น คุณภาพ รุ่น หรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป

ตามวิธีการคำนวณดัชนีราคาแบบลาสแปร์ มีหลักเกณฑ์ว่า สินค้าที่จะเก็บราคาต้องเป็นสินค้าชนิด ขนาด ลักษณะและตราเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบราคา ฉะนั้นจึงต้องมีการกำหนดลักษณะจำเพาะของสินค้าแต่ละรายการให้แน่ชัดเสียก่อน และจะจัดเก็บราคา สินค้านั้นตลอดไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เช่น รายการสินค้านั้นไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป หรือสินค้านั้นขาดหายไปจากท้องตลาดหรือเลิกผลิต ก็จะมีการกำหนดลักษณะจำเพาะของรายการสินค้านั้น ๆ ใหม่

การเลือกหรือกำหนดลักษณะจำเพาะของสินค้า มีอยู่ 2 วิธี คือ

วิธีที่ 1 วิธีการกำหนดโดยการพิจารณา

เป็นการกำหนดลักษณะจำเพาะของสินค้า โดยเลือกสินค้าชนิด ขนาด ลักษณะและตราที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในท้องตลาด วิธีนี้เป็น
วิธีที่สะดวก ไม่ซับซ้อน สินค้าที่ถูกคัดเลือกโดยวิธีนี้
จะเหมือนกันทุกท้องที่

วิธีที่ 2 การกำหนดโดยการสุ่มทางสถิติวิธีนี้ใช้หลักสถิติในการเลือกสินค้า โดยมีหลักว่าสินค้าแต่ละชนิดในรายการสินค้านั้นๆมีโอกาสที่จะถูกเลือกเป็นตัวแทน แต่ด้วยความน่าจะเป็นที่ไม่เท่ากัน ขึ้นกับปริมาณยอดขายของสินค้าแต่ละชนิดในท้องตลาด วิธีการนี้มีความซับซ้อนกว่าแต่ไม่มีความเอนเอียง (Unbiasness) ในการเลือก ขณะนี้ ในสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้าใช้วิธีการนี้

การเลือกโดยวิธีนี้ลักษณะจำเพาะของสินค้าในรายการเดียวกันอาจจะไม่เหมือนกันในแต่ละท้องที่ ขึ้นกับผลการสุ่ม แต่มีข้อดี คือ

(1) ขจัดปัญหาสินค้าขาดหาย เพราะแน่ใจได้ว่า สินค้าที่ถูกเลือกมีจำหน่าย

ในท้องที่นั้นอย่างแน่นอน

(2) ทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภควัดระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปได้ดีขึ้น เพราะในกรณีที่กำหนดสินค้าโดยวิธีพิจารณา ถ้าสินค้านั้นมีการเคลื่อนไหวของราคาน้อย ก็จะทำให้ดัชนีราคาเคลื่อนไหวน้อย ในทางตรงกันข้าม ถ้าสินค้านั้นมีการเปลี่ยนแปลงราคามาก จะทำให้ดัชนีราคาเคลื่อนไหวมากตามไปด้วย แต่ในการเลือกโดยการสุ่มทางสถิติจะทำให้ได้สินค้าหลากหลาย ซึ่งจะสะท้อนความเป็นจริงในการเคลื่อนไหวของ
ราคาสินค้าในรายการนั้นได้ดีกว่า

(3) สามารถวัดประเมินผลความผิดพลาดในการจัดเก็บราคาสินค้าที่เกิดขึ้นได้

3.8 การกำหนดพื้นที่จัดเก็บราคาสินค้า

หลังจากกำหนดวัตถุประสงค์ในการจัดทำดัชนี และกำหนดลักษณะครัวเรือนดัชนีแล้วขั้นตอนต่อไปคือการคัดเลือกตัวอย่างจังหวัด
จากพื้นที่ทั้งหมด เพื่อเป็นตัวแทนในการจัดเก็บราคา

ในทางปฏิบัติสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ามีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกจังหวัดเพื่อเป็นตัวแทน ดังนี้

(1) เป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจการค้าของประเทศ หรือของภาคนั้น เช่น

เป็นจังหวัดท่องเที่ยว จังหวัดที่มีการค้าชายแดน จังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตการเกษตรบางอย่างที่สำคัญ จังหวัดที่เป็นแหล่ง
การค้าและธุรกิจ

(2) เลือกจังหวัดขนาดเล็กที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ข้อ 1 มาบางจังหวัดเพื่อเป็นจังหวัด

ตัวอย่างด้วย แต่ต้องเป็นจังหวัดที่มีแหล่งค้าขายซึ่งประชาชนมาจับจ่ายใช้สอย นอกเหนือจากการบริโภคสินค้าที่ผลิตเอง
ในครัวเรือนหรือท้องถิ่น

(3) คำนึงถึงการกระจายจังหวัดตัวอย่างทั่วภูมิภาค และประเทศ

(4) คำนึงถึงงบประมาณและกำลังคนที่มี

3.9 การกำหนดแหล่งจัดเก็บราคา

บางประเทศที่มีการพัฒนาการจัดทำดัชนีราคาอย่างมาก จะมีการสำรวจร้านค้าและแหล่งขายสินค้าที่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
นิยมไปจับจ่ายใช้สอย เพื่อเป็นข้อมูลการกำหนดแหล่ง จัดเก็บราคา พร้อมกันนี้อาจจะมีการหมุนเวียนแหล่งจัดเก็บราคาเป็นระยะ เพื่อให้การจัดเก็บราคาเป็นไปอย่างทั่วถึงและทันสมัยด้วย

หลักเกณฑ์ในการเลือกร้านค้าเพื่อจัดเก็บราคา มีดังนี้

(1) เป็นร้านค้าประจำ เพื่อสะดวกแก่การที่เจ้าหน้าที่จัดเก็บราคาจะสามารถจัดเก็บราคาได้ตลอดไป หรือถ้าเป็นแผงลอยต้องเป็นแผงที่ขายเป็นประจำ

(2) เป็นร้านค้าที่สินค้าจำหน่ายจำนวนมากและหลายชนิดที่ครอบครัวดัชนี

ใช้บริโภค

(3) เป็นร้านค้าที่อยู่ในย่านชุมชน เดินทางไป มาซื้อสินค้าได้สะดวก

(4) เป็นร้านค้าที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมมาซื้อสินค้า

(5) เป็นร้านค้าที่ให้ความร่วมมืออย่างดีแก่เจ้าหน้าที่ในการสอบถามข้อมูลและ

จัดเก็บราคา

(6) ในแต่ละพื้นที่ จะกำหนดให้เลือกร้านค้าเพื่อจัดเก็บราคาอย่างน้อย 3 ร้านค้า

รายชื่อตลาดที่จัดเก็บราคาอยู่ในภาคผนวก

3.10 การจัดเก็บราคา

ในการจัดเก็บราคาสินค้า เจ้าหน้าที่จะมีแบบฟอร์มที่กำหนดรายการสินค้าและลักษณะจำเพาะ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จดบันทึก
ข้อมูลราคา เจ้าหน้าที่ทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมและมีการ
ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ดูแลในเรื่องการจัดทำดัชนีราคาเป็นระยะ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลราคาที่นำมาทำดัชนีนั้นถูกต้อง และรวดเร็วทันเวลา

หลักเกณฑ์ในการจัดเก็บราคาสินค้า มีดังนี้

1. เป็นราคาที่ซื้อขายกันโดยปกติ ไม่ใช่ราคาที่ลดให้เป็นกรณีพิเศษ หรือการต่อรอง

เป็นพิเศษ หรือราคาขายเลหลังหรือราคาที่ขายลดเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวันเกิดหรือวันพิเศษของร้าน

2. เป็นราคาที่ซื้อขายในปริมาณที่พอสมควรกับการใช้บริโภคในครัวเรือน ไม่ใช่ราคาที่ซื้อขายกันในปริมาณมาก ๆ

3. เป็นราคาที่ซื้อขายกันจริง ๆ ซึ่งผู้บริโภคสามารถซื้อได้และผู้ขายก็สามารถจะขายได้ ถึงแม้ผู้ขายยังไม่ได้ขายแต่พร้อมที่จะขาย
ได้ตามราคานั้น ๆ ถ้ามีการซื้อขายกันจริง ๆ

4. เป็นราคาที่ซื้อขายกันด้วยเงินสด ไม่ใช่เงินเชื่อหรือเงินผ่อน

5. เป็นราคาขายสำหรับสินค้านั้นโดยเฉพาะ ไม่รวมส่วนประกอบอย่างอื่นที่แถมให้

เป็นพิเศษ รวมถึงค่าบริการ ค่าขนส่ง หรือบรรจุหีบห่อ

6. เป็นราคาที่ซื้อขายกันในเวลาปัจจุบัน ไม่ใช่ราคาย้อนหลังหรือราคาซื้อขายล่วงหน้า

7. เป็นราคาที่ซื้อขายกันในเวลาปัจจุบัน ไม่ใช่ราคาย้อนหลังหรือราคาซื้อขายล่วงหน้า

8. ไม่ใช่ราคาที่ลดให้เป็นพิเศษสำหรับสมาชิก

9. การเก็บราคาควรจัดเก็บตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น สินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลง

ราคามาก จะให้มีการจัดเก็บราคาเป็นรายสัปดาห์ ทุก ๆ สัปดาห์ ส่วนสินค้าทั่ว ๆ ไปก็จะจัดเก็บราคาเป็นรายเดือน

10. ช่วงเวลาที่จัดเก็บควรเป็นช่วงเดียวกัน มิฉะนั้นอาจจะมีผลต่อราคาได้ เช่น ราคา

ผักในช่วงเช้า จะแตกต่างจากราคาผักในช่วงเย็น เป็นต้น

11. ควรพิจารณาคุณภาพของสินค้าว่าตรงตามลักษณะจำเพาะที่ตั้งไว้หรือไม่ เพราะอาจจะมีผลอย่างมากต่อราคา เช่น สินค้าที่มีตำหนิจะมีราคาลดกว่าปกติ

3.11 ค่าเช่าบ้าน

ในการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค ราคาค่าเช่าบ้านที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญที่แสดงการเคลื่อนไหวของราคา เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าบริโภคอุปโภคอื่น ๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่มีความจำเป็นต้องการดำรงชีพน้ำหนักค่าใช้จ่าย
สำหรับค่าเช่าบ้านในปี 2545 ซึ่งเป็น ปีฐานในการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศในหมวดเคหสถานคิดเป็นร้อยละ 23.86 และมีน้ำหนักของค่าเช่าบ้านประมาณร้อยละ 16.25 ของน้ำหนักทั้งหมดในการคำนวณ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาปัจจัยที่กำหนดราคาในรายการดังกล่าวให้ชัดเจนและถูกต้อง นอกจากนี้ พฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยของ
ประชากรในเมืองใหญ่ ๆ มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากเดิม
ประชากรที่เคยเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัย ก็เปลี่ยนมาเป็นการเช่าห้องชุด ได้แก่
อพาร์ทเม้นส์ คอนโดมิเนียม
และแบบชั้นมากขึ้น ฉะนั้น ในการจัดทำค่าเช่าบ้านจะมีสำรวจและพัฒนาใหม่ประมาณ 4 – 5 ปี ต่อครั้ง

วิธีการจัดทำตัวอย่างบ้านเช่า

1. การกำหนดขอบเขตของพื้นที่บ้านเช่า

- กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เขตในกรุงเทพมีทั้งหมด 52 เขต ในการ

สำรวจจะเลือกตัวอย่างโดยวิธีพิจารณาเขตที่เหมาะสมให้มีการกระจายครอบคลุมทั้งที่กรุงเทพมหานคร แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม 16 เขต ดังนี้

ก. เขตชั้นนอก จำนวน 7 เขต คือ เขตบางกะปิ วังทองหลาง ลาดพร้าว
ดอนเมือง หลักสี่ พระโขนง และบางนา
ข. เขตชั้นใน จำนวน 5 เขต คือ เขตจตุจักร บางคอแหลม ยานนาวา ห้วยขวาง
และดุสิต
ค. เขตฝั่งธนบุรี จำนวน 4 เขต คือ เขตจอมทอง ภาษีเจริญ บางพลัด ธนบุรี

สำหรับปริมณฑลทางประกอบด้วย 3 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ

2. ส่วนภูมิภาค แบ่งออกเป็น 4 ภาค รวม 33 จังหวัด โดยใช้ตัวอย่างจังหวัดที่เป็นแหล่งจัดเก็บราคาสินค้าสำหรับการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคเพื่อให้แบบแผนการค่าใช้จ่าย สอดคล้องกัน คือ

ก. ภาคกลาง 10 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ราชบุรี ระยอง จันทบุรี ปราจีนบุรี
สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สิงห์บุรี เพชรบุรี
ข. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ขอนแก่น

นครราชสีมา หนองคาย สุรินทร์ ศรีสะเกษ และมุกดาหาร

ค. ภาคเหนือ 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงราย

ตาก อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ และแพร่

. ภาคใต้ 8 จังหวัด ได้แก่ สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช

นราธิวาส ยะลา ตรัง กระบี่ และภูเก็ต

3.12 การคำนวณดัชนีราคา

การคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภค คือ การหาสัดส่วน ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า (ในตะกร้าสินค้าที่กำหนด) ตามราคาสินค้า
ของเดือนปัจจุบัน (เดือนที่คำนวณดัชนี) เทียบกับค่าใช้จ่าย
ในการซื้อสินค้า (ในตะกร้าสินค้านั้น) ปีฐาน

สูตรที่ใช้คำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคปัจจุบันใช้สูตรของ ลาสแปร์ (Laspeyres Formula) ซึ่งได้ดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสำหรับการคำนวณวัดความเคลื่อนไหวของราคาสินค้า เมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาที่กำหนดไว้ และสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อของราคา เนื่องจากการสับเปลี่ยนสินค้า เปลี่ยนลักษณะคุณภาพจำเพาะใหม่เพิ่มรายการคำนวณ
หรือตัดรายการคำนวณ สูตรนี้ได้แก่

S

Pt x Pt –1Q0

x 1 t-1

I t =

Pt –1


S Pt –1Q0

I t = ดัชนีราคา เวลา t (ปัจจุบัน)

I t-1 = ดัชนีราคา ณ เดือนที่ผ่านมา ( t-1)

Pt = ราคาสินค้า ณ เวลา t (ปัจจุบัน)

Pt-1 = ราคาสินค้า ณ เดือนที่ผ่านมา (t-1)

Pt –1Q0 = ค่าใช้จ่ายหรือน้ำหนักแต่ละรายการ ณ เวลาปัจจุบัน

Pt Q0 = ค่าใช้จ่ายหรือน้ำหนักแต่ละรายการ ณ ปีฐาน

4. การรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค

สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้าจะเผยแพร่ และรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทุก ๆ เดือน การรายงานการเคลื่อนไหวของดัชนีราคามักจะเปรียบเทียบในรูปของร้อยละมากกว่าที่จะเปรียบเทียบตัวเลขของดัชนีราคาโดยตรง

ตัวอย่าง : ดัชนีราคาผู้บริโภคของเดือนมกราคม 2548 เท่ากับ 105.4

ดัชนีราคาผู้บริโภคของเดือนธันวาคม 2547 เท่ากับ 105.3

การเปรียบเทียบตัวเลขโดยตรง เท่ากับ 105.4 – 105.3 = 0.1

หมายความว่า ดัชนีราคาของเดือนมกราคม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.1

การคำนวณการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาในรูปของร้อยละ จะมีการเปรียบเทียบอยู่ 4 ลักษณะ คือ

x 100 100

(1) การคำนวณอัตราเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาเดือนปัจจุบันเทียบกับเดือนที่ผ่านมา เช่น อัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาผู้บริโภค
ของเดือนมกราคม 2548 เทียบกับเดือนธันวาคม 2547 มีวิธีการคำนวณ ดังนี้

อัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนี = ดัชนีเดือน มค. 48

ดัชนีเดือน ธค. 47

x 100 100

= 105.4

105.3

= 0.1

หมายความว่า ราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยในเดือนมกราคม 2548 เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยใน

เดือนธันวาคม 2547 ร้อยละ 0.1

(2) การคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงจุดต่อจุดในรอบ 12 เดือน เช่นอัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาผู้บริโภค
ของเดือนมกราคม 2548 เทียบกับเดือนมกราคม 2547 ซึ่งมีค่าดัชนีราคาเท่ากับ 102.6 มีวิธีการคำนวณ ดังนี้

x 100 100

อัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนี = ดัชนีเดือน มค. 48

ดัชนีเดือน มค. 47

x 100 100

= 105.4

102.6

= 2.7

หมายความว่า ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม 2547 – มกราคม 2548) ราคาสินค้า

โดยเฉลี่ย หรือดัชนีราคาผู้บริโภคสูงขึ้นร้อยละ 2.7

(3) การคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยทั้งปี เช่น อัตราเงินเฟ้อปี 2547 เทียบกับปี 2546 มีวิธีการคำนวณ ดังนี้

คำนวณดัชนีราคาเฉลี่ยทั้งปี ของปี 2547

ดัชนีราคาเฉลี่ยปี 2547 = ดัชนีราคาปี 2547 ของเดือนมค. + กพ. + …+ธค.

12

คำนวณดัชนีราคาเฉลี่ยทั้งปี ของปี 2546

ดัชนีราคาเฉลี่ยปี 2546 = ดัชนีราคาปี 2546 ของเดือน มค.+กพ.+ … +ธค.

12

x 100 100

คำนวณอัตราเปลี่ยนแปลง

อัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาผู้บริโภค = ดัชนีเฉลี่ยปี 2547

ดัชนีเฉลี่ยปี 2546

x 100 100

= 104.6

101.8

= 2.7

หมายความว่า ช่วงเดือนมกราคม ธันวาคม 2547 ราคาสินค้า โดยเฉลี่ยสูงขึ้นจากช่วงเดือน

มกราคม ธันวาคม 2546 ร้อยละ 2.7 หรือ หมายความว่า ในปี 2547 ถ้าต้องการ

ซื้อสินค้าและบริการที่เคยบริโภคในปี 2546 ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก ร้อยละ 2.7

5. ประโยชน์ของดัชนีราคาผู้บริโภค

ประโยชน์ของดัชนีราคาผู้บริโภค มีดังนี้ คือ

1. ใช้วัดอัตราเงินเฟ้อของประเทศ

2. ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาในการวางนโยบาย แผน และประเมินผลกระทบ

ของนโยบาย และแผนต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ

3. ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาประกอบการปรับค่าจ้าง เงินเดือนของราชการและเอกชน

4. ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาในการกำหนดเงินบำนาญ และเงินช่วยเหลือหรือ

สวัสดิการในรูปต่าง ๆ

5. ใช้ในการประเมินรายรับที่ควรจะเป็นในการทำสัญญาระยะยาว เช่น สัญญาซื้อขาย

ในระยะยาว

6. ใช้เป็นแนวทางในการวิจัย พยากรณ์การตลาด และราคาสินค้าต่าง ๆ

7. ใช้ในการหาค่าของเงินหรือมูลค่าที่แท้จริง

8. ใช้ในการปรับราคาในการจัดทำ GDP

การคำนวณค่าของเงินที่แท้จริง

x ดัชนีในเวลาอ้างอิง

ค่าของเงินที่แท้จริงในเวลาใด ๆ = จำนวนเงินในเวลาใด ๆ

เทียบเท่ากับค่าของเงินในเวลาอ้างอิง ดัชนีในเวลาใด ๆ

ตัวอย่าง ดัชนีราคาผู้บริโภคของปี 2547 เท่ากับ 104.6 ดัชนีราคาของปี 2545
เท่ากับ 100 เงิน 100 บาท ในปี 2547 จะมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าใดเทียบค่าเงินในปี 2545

x 100

ค่าของเงินที่แท้จริงของเงิน 100 บาท ในปี 2547 = 100

เทียบเท่ากับค่าของเงินในปี 2545 104.6

= 95.60 บาท

6. ข้อจำกัดของดัชนีราคาผู้บริโภค

ถึงแม้ดัชนีราคาผู้บริโภคจะใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็มีข้อจำกัดในการนำมาใช้ และแปลผล คือ

6.1 ดัชนีราคาผู้บริโภคไม่สามารถตอบคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับราคาของผู้บริโภคในทุก ๆ

กลุ่มได้ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปจะแสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าในกลุ่มที่ผู้บริโภครายได้ปานกลางใน
เขตเทศบาลใช้บริโภคเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงสินค้าฟุ่มเฟื่อย หรือสินค้าในกลุ่มที่ผู้
บริโภคที่รายได้สูงใช้บริโภค

6.2 การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคเป็นตัวเลขที่แสดงการเปลี่ยนแปลงราคา

สินค้าโดยเฉลี่ย อาจจะมีสินค้าในตะกร้าสินค้าบางตัวที่มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าหรือน้อยกว่าดัชนีราคาในแต่ละเดือนก็ได้

6.3 ดัชนีราคาผู้บริโภค ไม่สามารถใช้เปรียบเทียบค่าครองชีพ หรือราคาสินค้าระหว่าง

ท้องถิ่นได้ ยกตัวอย่าง เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภคภาคเหนือเท่ากับ 131.5 ขณะที่ดัชนีราคาภาคกลางเท่ากับ 135.4 เราไม่สามารถ
สรุปจากข้อมูลนี้ได้ว่า ราคาสินค้าของภาคเหนือถูกกว่า ภาคกลาง ทั้ง
นี้ดัชนีราคาผู้บริโภคแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงราคา
โดยเฉลี่ยของสินค้าต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ แต่เราไม่สามารถทราบได้จากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคว่า ราคาสินค้าในแต่ละพื้นที่
เี่ป็นเท่าใด ในทำนองเดียวกัน ถึงแม้ว่าในท้องถิ่นที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคามากกว่าอีกท้องที่หนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า ในท้องถิ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาสูงนั้นมีราคาสินค้าสูงกว่า

6.4 การจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค ใช้การเลือกตัวอย่างมาเพื่อประมาณค่าการเปลี่ยนแปลง

ราคาสินค้าที่เกิดขึ้นจริง ๆ ฉะนั้น อาจจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจากการเลือกตัวอย่าง หรือการจัดเก็บราคาได้ แต่ในทางปฏิบัติ
สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า ได้มีการตรวจสอบ และตรวจตรา พร้อมทั้งปรับปรุงวิธีการต่าง ๆ ตลอดเวลา เพื่อให้ดัชนีราคาผู้บริโภคประมาณค่าการเปลี่ยนแปลงราคา ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ได้ใกล้เคียงที่สุดนั้น

ผู้ที่ใช้ข้อมูลราคาดัชนีราคาผู้บริโภค ควรจะทราบและคำนึงถึงข้อจำกัดของดัชนีราคา ผู้บริโภคด้วย

7. ภาวะเงินเฟ้อ

ภาวะเงินเฟ้อเป็นภาวะทางเศรษฐกิจที่ค่าของเงินลดลงเนื่องจากราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้ใช้การเปลี่ยนแปลงราคาเฉลี่ยเป็นเครื่องชี้ความรุนแรงของภาวะเงินเฟ้อ หากราคาเฉลี่ยสูงขึ้นเพียงครั้งเดียวและไม่ต่อเนื่อง
ก็จะไม่เรียกว่าประเทศมีภาวะเงินเฟ้อ แต่ถ้าราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอัตราการเปลี่ยนสูงก็จะถือว่าภาวะเงินเฟ้อมีความรุนแรง

สาเหตุของภาวะเงินเฟ้อ

ในทางทฤษฎี เมื่อนักเศรษฐศาสตร์ กล่าวถึง ภาวะ เงินเฟ้อ ก็มักจะหมายถึงช่วงเวลาที่ค่อนข้างยาว เช่น 1 ปี หรือ 6 เดือน จึงมักจะกล่าวว่าสาเหตุสำคัญก็คือ เศรษฐกิจรวม มีปริมาณเงินมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เมื่อเงินหมุนเวียนในระบบ มีมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการ ก็จะฉุดให้ระดับราคาโดยทั่วไปสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะปริมาณสินค้าและบริการไม่สามารถขยายตัวได้เร็วเท่ากับการขยายตัวของปริมาณเงินที่ถือโดยสาธารณชน ดังนั้นในทางเศรษฐศาสตร์การเยียวยาแก้ไขภาวะเงินเฟ้อจึงเป็นเรื่องของ การใช้มาตรการทางการเงินและการคลังที่เหมาะสม

แต่ในทางปฏิบัติหรือในชีวิตประจำวันทั่วไปได้มีการติดตามภาวะเงินเฟ้อในระยะสั้น เช่น เดือนต่อเดือน ดังนั้น จึงมีการอธิบายสาเหตุของภาวะเงินเฟ้ออย่างง่าย ๆ ว่ามีสาเหตุ 3 ประการ

7.1 ความต้องการสินค้าและบริการสูง มากกว่าการขยายตัวของปริมาณสินค้าและการบริการที่มีอยู่

โดยปกติแล้ว เมื่อรายได้สูงขึ้นความต้องการสินค้าก็จะสูงขึ้น และราคาโดยทั่วไปก็จะสูงขึ้น ซึ่งจะฉุดให้การผลิตขยายตัว
เพื่อสนองความต้องการนั้น และในระบบเศรษฐกิจแบบเปิด หากการผลิตในประเทศขยายตัวไม่ทัน ก็จะมีการนำสินค้าชนิดเดียวกันเข้ามา
จากต่างประเทศเพื่อให้พอใช้ ก็จะเป็นการผ่อนปรนไม่ให้ภาวะเงินเฟ้อยาวนาน

ในทางตรงกันข้าม หากการผลิตขยายตัวช้า ภาษีศุลกากรสูง ต้นทุนการนำเข้าสูงภาวะเงินเฟ้อก็จะยาวนาน

ทั้งนี้ รายได้รวมของประเทศอาจสูงขึ้นจนความต้องการสูงขึ้นได้เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
การลงทุนมากขึ้น การส่งออกมากขึ้น การขึ้นเงินเดือนเป็นต้น

7.2 ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ถ้าต้นทุนสูง และอุตสาหกรรมอยู่ในภาวะที่แข่งขันกันจนกำไรที่ผู้ประกอบการได้รับ เป็นกำไรปกติ ผู้ผลิตต้องเพิ่มราคาจึงจะอยู่ได้ แม้ว่าการเพิ่มราคานี้โดยทั่วไปมักจะเป็นการเพิ่ม ครั้งเดียว แต่มักจะกระทบกับอุตสาหกรรมอื่น จนมีการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน ดังนั้นภาวะเงินเฟ้อเมื่อมองในระยะสั้นจึงค่อนข้างจะเห็นว่ามาจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ในระยะยาว โดยทั่วไปเป็นการที่ความต้องการสูงตามสาเหตุ
ในข้อ 2.1 มากกว่า

ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตอาจจะสูงขึ้น เนื่องจากราคาปัจจัยการผลิตสูงขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย คือ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้น การปรับค่าแรง ราคาวัตถุดิบจากต่างประเทศสูงขึ้น หรือภาษีศุลกากรสูงขึ้น ก็จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

7.3 ผลทางด้านจิตวิทยา

เมื่อมีข่าวว่าสินค้าจะขาดแคลน หรือจะเกิดภาวะเงินเฟ้อ ก็จะมีการกักตุน หรือเร่งขึ้นราคาก่อนหน้า ที่จะเกิดความจำเป็น เพราะพ่อค้าและผู้ผลิตคาดว่าอำนาจซื้อจะลดลงเนื่องจากภาวะ เงินเฟ้อ จึงต้องเพิ่มอำนาจซื้อ นอกจากนี้การดำเนินนโยบายที่รุนแรง ก็ทำให้สาธารณชนเกิดความตระหนกและก่อปฏิกิริยา ที่ทำให้ภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นไปกว่าที่ควร


http://www.price.moc.go.th/price/cpi/handbook/book_cpi_base_45.html

---------------------------------------------------------

FfF