<<< ตัวอย่างการเขียนกฏหมาย แบบไม่เห็นหัวประชาชนเจ้าของประ เทศ >>>
Maha Arai ขนาดพวก รอยัลลิสต์ ออกมาคัดค้านทั้งพวก ปชป. ทั้งนักวิชาการที่เขาสุมหัวกันมาตรวจร่างแก้ไขรัฐธรรมน ูญของรัฐบาลคัดค้าน แต่สุดท้ายก็ผ่านออกมาคล้าย ๆ แบบนี้
Maha Arai นายสุทัศน์ยังขอแปรญัตติตัดข้อความ “ให้นำบทบัญญัติมาตรา 150 และ 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”ออกด้ วย เพราะหากไปดูมาตรา 150 ระบุว่ากรณีที่พระราชบัญญัต ิ (พ.ร.บ.) ที่สภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพร ะปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุ เบกษาแล้วให้ใช้บังคับเป็นก ฎหมายได้ ส่วนมาตรา 151 ระบุว่า พ.ร.บ.ใดที่พระมหากษัตริย์ท ี่ไม่ได้ให้ความเห็นชอบ และพระราชทานคืนลงมายังรัฐส ภา หากรัฐสภามีมติยืนยันตามเดิ ม ให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระม หาษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมา ภิไธยพระราชทานคืนมาภายใน 30 วัน ให้นายกฯ นำ พ.ร.บ.นั้นประกาศในราชกิจจา นุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมาย ได้เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษั ตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว
“ทั้ง 2 มาตราเป็นเรื่องเกี่ยวกับ พ.ร.บ.จึงไม่น่าจะเหมาะสมในการนำมาใช้กับรัฐธรรรมนูญ เพราะศักดิ์ของกฎหมายไม่เท่ ากัน และ ในมาตรา 151 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่าหากพระมห ากษัตริย์ไม่เห็นชอบและไม่ท รงลงพระปรมาภิไธย แต่รัฐสภาสามารถลงมติประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้ ได้ เสมือนพระมหากษัตริย์ทรงลงพ ระปรมาภิไธยนั้น หากไม่ตัดข้อความดังกล่าวออ ก ก็เปรียบเหมือนให้นายกฯ สามารถโต้แย้งพระราชอำนาจได ้ การที่คงไว้เป็นการไปก้าวล่ วงของพระราชอำนาจ เรื่องนี้จึงอยากถามว่าเป็น การเหมาะสมหรือไม่ที่จะให้ค งไว้ตามร่างของ กมธ.เสียงข้างมาก” นายสุทัศน์กล่าว
นายสามารถ แก้วมีชัย ประธาน กมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยืนยันให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงล งพระปรมาภิไธย และให้นำมาตรา 150 มาใช้บังคับ และให้ประธานรัฐสภารับสนองพ ระบรมราชโองการ แต่กรณีมาตรา 151 หากพระมหากษัตริย์ไม่ทรงลงพ ระปรมาภิไธย หรือไม่พระราชทานคืนลงมายัง รัฐสภาภายใน 90 วัน เราก็ให้รัฐสภาเป็นผู้ที่จะ นำมาพิจารณาอีกรอบหนึ่ง ซึ่งจะทรงมีพระราชวินิจฉัยว ่าที่ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยเ พราะเหตุใด หากรัฐสภายืนยันด้วยเสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภาที่มี ก็ให้ประธานรัฐสภานำประกาศร าชกิจจานุเบกษาประกาศใช้ต่อ ไป ซึ่งการที่สมาชิกเห็นว่าทำไ มไม่ให้นายกฯ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมร าชโองการนั้น ที่ผ่านมาหากเป็นการแก้ไขรั ฐธรรมนูญเพียงบางมาตรา นายกฯ ก็จะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระ บรมราชโองการ ซึ่งหากร่างรัฐธรรมนูญ
ฉบับนี้ผ่านวาระ 3 ผู้ลงนามก็จะเป็นนายกฯ แต่หากเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโอ งการจะเป็นประธานรัฐสภา ซึ่งถือเป็นประเพณีปฏิบัติท ี่ทำกันมาอย่างต่อเนื่อง เช่น รัฐธรรมนูญปี 40 และปี 50 ดังนั้น เราจึงขอยืนยันตามร่างของ กมธ.เสียงข้างมาก
จากนั้นที่ประชุมได้มีการลงมติในมาตรา 291/14 เห็นชอบตามร่างของ กมธ.เสียงข้างมากด้วยคะแนน 338 ต่อ 96 เสียง งดออกเสียง 9 และไม่ลงคะแนน 2 เสียง
Maha Arai ข่าวบนนำมาจากลิงค์นี้
http://www.bangkokbiznews.com/ home/detail/politics/ politics/20120205/434239/ เปิดพิมพ์เขียวรื้อม.291ตั้ง สสร.-ปูทางรัฐธรรมนูญ55.htm l
ข่าวล่างนำมาจากลิงค์นี้
http://www.manager.co.th/Politics/ ViewNews.aspx?NewsID=955000 0058151
Maha Arai การทำประชามติถามประชาชนเจ้าของประเทศทั้งประเทศ ถ้ามีมติว่าไม่เห็นชอบให้ตก ไป ถือเป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผ ลประการทั้งปวง แต่การให้ตกไปเพราะกรณีอื่น ใดหลังประชาชนเจ้าของประเทศ เห็นชอบแล้ว ไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิ ปไตยแน่นอน และไม่เห็นหัวประชาชน ไม่สนใจเสียงประชาชน ถึงได้เปิดช่องให้มีช่องทาง ถูกตีตกไปหลังผ่านการเห็นชอ บแล้วตามนี้
Maha Arai หากคะแนนออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบกับร่างรธน.ให้ร่าง รธน.นั้นเป็นอันตกไป
และในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างรั ฐธรรมนูญและ พระราชทานคืนมา
หรือเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน แล้วมิได้พระราชทานคืนมา ให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป
Maha Arai แม้จะมีเขียนไว้ในม.291/14 ให้สภาวีโต้ได้ก็ตามถามว่าเขียนเปิดช่องไว้ทำไม การเขียนลักษณะนี้เลิกหวังอ ะไรกับการแก้ไขว่าจะช่วยทำอ ะไรให้ดีกว่า รธน. ฉบับปัจจุบ ัน เพราะมีกลไกการต่อรองกันต่อ จากการลงประชามติเห็นชอบจาก ประชาชนคนทั้งประเทศแล้ว
Maha Arai ที่สำคัญเขียนกฏหมายลักษณะนี้ ไม่วางยาก็ไม่ฉลาดนักที่เปิ ดช่องให้ตีความคำว่าตกไป ในเมื่อระบุว่า
"หากคะแนนออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบกับร่างรธน.ให้ร่า งรธน.นั้นเป็นอันตกไป"
และการตกไปในอีก 2 กรณีก็คือ
"และในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างร ัฐธรรมนูญและ พระราชทานคืนมา"
หรือตกไปกรณีนี้
"หรือเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน แล้วมิได้พระราชทานคืนมา ให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป"
Maha Arai ถามว่าใช้คำว่าตกไปเหมือนกัน ทั้ง 3 กรณี ไปเปิดพจนานุกรมคำว่าตกไป ถ้าตีความได้ว่าหมายถึงการย กเลิกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม ่ก็ต้องมีความหมายเหมือนกัน ทั้ง 3 กรณี แล้วถ้ามีผลเหมือนกัน แล้ว ม. 291/ 14 จะได้ใช้ได้ยังไง ยังงี้มันก็เท่ากับว่า สิ่งที่ตกไป รัฐสภายังสามารถหยิบมายืนยันได้อ ีก ถ้าเช่นนั้นมันต่างอะไรกับก ารที่ถ้าแพ้โหวตประชาชนทั้ง ประเทศโหวตไม่เห็นด้วยไม่เอ าถือว่าตกไป ก็เขียนกฏหมายเปิดช่องให้ รัฐสภานำกลับมายืนยันได้อีกเ ป็นความชอบธรรมน่ะซิ แล้วจะเสียเวลาทำประชามติปาหี่ไปทำไมกัน ซึ่งมันไม่ถูกทั้งปวง และมันไม่ถูกตั้งแต่เปิดช่อ งให้มีกลไกใดๆ มาวีโต้เสียงประชาชนแล้ว ถ้ามองเผินๆ อาจมองได้ว่าพวก พท. ไม่ฉลาดเขียนกฏหมายลักษณ ะนี้ ทั้งๆ ที่มีพวกรอยัลลิสต์ออกมาต่อ ต้านแล้วให้ตัดทิ้งเสียด้วย ยังดันทุรังคงไว้เปิดช่องล้ มและไม่เห็นหัวประชาชนเหมือ นเดิม ผมว่าถ้ามองกันอย่างลึกซึ้ง บางทีนี่อาจเป็นปาหี่อีกเรื ่องก็ได้
http://www.facebook.com/maha.arai
----------------------------------------------------
คนที่หวังว่า การแก้ไข รธน. ฉบับใหม่ จะทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นจ ะทำให้อำนาจฝ่ายตรงข้ามลดลง นั่นนี่ผมมองว่าถ้าไม่ใช่พวกไม่ เคยอ่านร่างแก้ไขรธน. ม.291 ก็แกล้งโง่หลอกประชาชน
- Maha Arai ว่างๆ ลองหาอ่านตั้งแต่ ม.291/
1 ไปเลยอย่าเอาแต่ฟังเขาว่าอย่างเดีย วแล้วมาตั้งความหวังเสียเลิ ศหรูว่าจะได้รัฐธรรมนูญที่ด ี ลดอำนาจฝ่ายตรงข้าม หรืออะไรที่คิดว่าดีๆ ลองไปหาอ่านแล้วจะรู้ว่าไม่ ใช่อย่างที่คิดกันหรอก - Maha Arai ใครมาบอกมาพูดมาหลอกให้ได้ย
ินว่าการแก้ไขรธน.ครั้งนี้จ ะทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนั่นนี่ผมจะสวนทันทีเพราะ ผมไม่ใช่ควายอ่านภาษาไทยออก - Maha Arai เพราะไม่ว่าประชาชนจะคัดสรร
สสร. สุดยอดมีอุดมการณ์ประชา ธิปไตยทุกคนและร่าง รธน. ออกม าดีที่สุดในโลกยังไงก็ตาม นี่ต่อให้ด้วยน่ะ เพราะความจริงไม่ได้อย่างที่ผมสมมุติหรอก แต่ รธน. ฉบับนั้นจะไม่ได้นำออกมาใช้ หรอกต่อให้ลงมติชนะ - Maha Arai เพราะ รัฐบาลนี้เขาเขียนเปิดช่องใ
ห้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ง่ ายๆ หลังลงประชามติเห็นชอบจากประชาชน ทั้งประเทศแล้วนั่นเอง อยากรู้มีอะไรบ้างลองไปหาดู ซิจะบางอ้อ พอดีน้ำท่วมปากพอดีเลยพิมพ์ อะไรไม่ออกเกี่ยวกันไหมเนี้ ยะ - Maha Arai ม.291/
13 มาตราเดียวก็พอนอกนั้นน้ำๆ ลองไปดูว่าเขาเขียนไว้อย่างไรแล้วจินตนาการกันต่อได้เองแหล่ะ ใช้ลางสังหรณ์ง่ายๆ ก็เข้าใจแล้วหล่ะไม่ต้องให้ อธิบายมาก ตายไปแล้วก็พูดไม่ได้ ฮา - Maha Arai แถมอีกนิด บางคนอาจถามว่าปชป. ค้านและถ่วงเวลา เพราะอะไรก็คงบางมาตราของพว
กที่หนุน ปชป.คือ 309 แต่ไม่ใช่มาตราเกี่ยวกับองค มนตรีหรือการจะสำเร็จราชการแทนพระองค์อะไ รหรอก เพราะเรื่องนี้มันอยู่ในหมว ดกษัตริย์ เมื่อร่างแก้ไขของรัฐบาลระบ ุห้ามแตะ แตะหมวดนี้ถือว่าร่ าง รธน. ที่ร่างใหม่ตกไปเลยไม่ต ้องเอาไปลงประชามติอะไรด้วย ซ้ำ และสุดท้ายก็แก้ไม่ได้หรอกม าตราที่เขาไม่ให้แก้รวมไปถึ ง ม.309 อะไร ถ้าเขาไม่มีพรบ.นิรโทษกรรม ม .นี้ก็แตะไม่ได้ ขนาดรัฐบาลมีมวลชนมหาศาลมีคนเสียงเกินขึ้นยังไม่กล้าแตะ แล ้วคิดว่า สสร. ที่ไม่มีพาวเว่ อร์จะกล้าแตะ และต่อให้กล้าก็โดนสกัดอีกด่านจนถึงด่านสุดท้ าย ม.291/ 13 อยู่ดี สรุปหมดหวังตั้งแต่โดนล็อคห้ ามแก้นั่นนี่แล้วเสียเวลาลงประ ชามติจนชนะก็ยังโดนยกเลิกได ้อีกอย่างง่ายดายดังนั้นไม่ ต้องมาหลอกมาให้ความหวังผมย กเว้นพวกไม่ได้คิดอยากจะอ่า นเองเอาแต่เขาว่าแล้วเชื่อต ามอย่างเดียวเท่านั้นเอง
http://www.facebook.com/maha.arai
การเมือง
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2555 19:56
เปิด"พิมพ์เขียว"รื้อม.291ตั้งสสร. ปูทางรัฐธรรมนูญ55
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เว็บไซต์ไทยเสรีรายงานความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย ที่เดินหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง เมื่อประธานวิปรัฐบาล "อุดมเดช รัตนเสถียร" เปิดเผยว่าในวันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ จะประชุมวิปรัฐบาลเพื่อหารือการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 291 หากได้ข้อสรุปตรงกัน ก็จะยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในระหว่างวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ต่อไป
โดยรายละเอียดในการแก้ไขมาตรา 291 หรือที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ. ..." นั้น มีเนื้อหารวม 5 มาตรา หัวใจสำคัญอยู่ในมาตรา 4 ซึ่งให้เพิ่มหมวด 16 ว่าด้วยเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มาตรา 291/1 ถึงมาตรา 291/16 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
มาตรา 291/1 ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยให้มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนจังหวัดละ1คน และให้มีสมาชิกซึ่งมาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมของรัฐสภาจำนวน 22 คน ตามสัดส่วนที่เหมาะจาก ผู้เชี่ยวชาญสาขากฎหมายมหาชน ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ และผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดินหรือการร่างรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภากำหนด
มาตรา 291/2 กำหนดถึงคุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสสร. คือ ต้องมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปีในวันเลือกตั้ง สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปีนับถึงวันรับสมัคร หรือเป็นบุคคลที่เกิด หรือศึกษา หรือเคยรับราชการ หรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่รับสมัครเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 5 ปี
มาตรา 291/5 กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการเลือกตั้งสสร.ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ โดยให้กำหนดวันเลือกตั้งเป็นพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดให้เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร เมื่อมีการเลือกตั้งสสร.เสร็จแล้ว ให้กกต.ประกาศรับรอลผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จใน 30 วัน นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง
มาตรา 291/6 กำหนดให้สภาของสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งคัดเลือกบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสสร.ในประเภทต่างๆ ประเภทละไม่เกิน 3 คน และส่งให้ประธานรัฐสภาภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันพ้นกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้งสสร. นอกจากนี้ยังให้ประธานรัฐสภาแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 15 คน ซึ่งมาจากส.ส.จำนวน 9 คน และส.ว.จำนวน 6 คน เพื่อดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นสสร.ให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน แล้วส่งผลให้ประธานสภารับทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาภายใน 15 วัน เพื่อให้รัฐสภาลงมติคัดเลือกผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นสสร.
มาตรา 291/7 ในกรณีที่รัฐสภาจะต้องดำเนินการระหว่างปิดสมัยประชุมสภา ให้ประธานรัฐสภาทำเรื่องขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ
มาตรา 291/11 สสร.จะต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา 180 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศรายชื่อสมาชิกสสร.ในราชกิจจานุเบกษา โดยในการจัดทำร่างรธน.นั้น สสร.อาจนำรธน.ฉบับใดฉบับหนึ่งที่เห็นว่ามีความเป็นประชาธิปไตยสูงมาเป็นต้นแบบในการยกร่างได้ และการที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือมีการยุบสภา ไม่เป็นเหตุกระทบกระเทือนการทำงานของสสร. ทั้งนี้ร่างรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจะกระทำมิได้ และในกรณีที่รัฐสภาวินิจฉัยว่าร่างรธน.มีลักษณะดังกล่าวให้ร่างรธน.เป็นอันตกไป
มาตรา 291/13 เมื่อสสร.ทำร่างรธน.เสร็จสิ้นแล้วให้นำเสนอต่อรัฐสภา และให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรธน.ดังกล่าวไปยังกกต.ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่รัฐสภาได้รับร่างรธน. เพื่อให้กกต.ดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงลงประชามติของประชาชนว่าจะเห็นชอบกับร่างรธน.นั้นหรือไม่ ทั้งนี้ให้กกต.กำหนดวันออกเสียงประชามติภายในไม่เกิน 60 วัน แต่ไม่น้อยว่า 45 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับร่างรธน.จากรัฐสภา และให้กกต.ประกาศรับรองผลการออกเสียงประชามติให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันออกเสียงประชามติ หากคะแนนออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบกับร่างรธน.ให้ร่างรธน.นั้นเป็นอันตกไป และในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญและพระราชทานคืนมา หรือเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน แล้วมิได้พระราชทานคืนมา ให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป
มาตรา 291/14 เมื่อมีประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรธน.ให้ประธานรัฐสภานำร่างรธน.ขึ้นทูลเกล้าฯถวาย และให้นำบทบัญญัติมาตรา 150 มาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
มาตรา 291/15 สสร.สิ้นสุดลงเมื่อมีสมาชิกเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง หรือเมื่อสสร.จัดทำร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่กำหนด หรือเมื่อร่างรธน.ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้บังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือเมื่อร่างรธน.ตกไปตามมาตรา 291/11 มาตรา 291/13 ทั้งนี้หากสสร.สิ้นสุดลงในกรณีที่จัดทำร่างรธน.ไม่เสร็จตามกำหนดเวลา ให้ดำเนินการจัดให้มีสสร.ขึ้นใหม่ตามหวดนี้ ภายใน 90 วัน โดยบุคคลที่เคยเป็นสสร.เดิมจะเป็นสสร.อีกไม่ได้
มาตรา 291/16 ถ้าร่างรธน.ที่จัดทำขึ้นตามหมวดนี้ตกไป ครม.หรือส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือส.ว.และส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา มีสิทธิเสนอญัตติต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภามีมติให้มีการจัดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามความในหมวดนี้อีกได้ การออกเสียงลงคะนนให้ความเห็นชอบของรัฐสภาให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20120205/434239/เปิดพิมพ์เขียวรื้อม.291ตั้งสสร.-ปูทางรัฐธรรมนูญ55.html
-------------------------------------------------
การเมือง
วันที่ 13 เมษายน 2555 12:27
เปิดคำแปรญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.291
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ประชุมร่วมรัฐสภาเคาะสเป็ก ส.ส.ร. ปชป.-ส.ว. เสนอเพิ่มจำนวน ห้ามยุ่งการเมือง ไม่เเตะหมวดสถาบัน
การประชุมร่วมกันของสมาชิสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)และสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.... ในวาระ 2 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.) ที่มีนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกรรมาธิการ(ปธ.กมธ.)พิจารณาเสร็จแล้ว
โดยในการพิจารณาของกมธ.เรียงลำดับ ตามมาตราทั้ง 5 มาตรา และที่ประชุมออกเสียงลงคะแนนให้ยึดเสียงข้างมาก ซึ่งกมธ.เสียงข้างน้อยได้สงวนความเห็น โดยมีผู้แปรญัตติสงวนคำแปรญัตติจำนวน 178 คน มานำเสนอในที่ประชุมร่วม วาระ 2 ในวันที่ 10-11 เมษายน 2555 ซึ่งผู้แปรญัตติส่วนใหญ่เป็นกรรมธิการเสียงข้างน้อยของพรรคประชาธิปัตย์และส.ว. ส่วนเนื้อหาในมาตรา 291/1 ที่มาและคุณสมบัติของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) ตามร่างคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ คณะกมธ.เห็นชอบ มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
1.สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนจังหวัดละหนึ่งคน
2. สมาชิกซึ่งมาจากการคัดเลือกกันเองตามมาตรา 291/6จำนวนยี่สิบสองคน ดังต่อไปนี้ (ก) ผู้เชี่ยวชาญสาขากฎหมายมหาชนจำนวน 6 คน(ข) ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์จำนวน 6 คน(ค) ผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดินเศรษฐกิจ สังคมกฎหมายหรือการร่างรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภาประกาศกำหนดจำนวน10คน
สำหรับการประชุมร่วมรัฐสภาผู้แปรญัตติอภิปรายโดยมีสาระสำคัญดังนี้
นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาในฐานะประธานวิปวุฒิสภามาตรา 291/1 ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามหมวดนี้ ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน จำนวน 200 คน ในกรณีตำแหน่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญว่างลงไม่ว่าด้วยเหตุใดๆให้สภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่
ส่วน ส.ว.สรรหา อาทิ นายวันชัย สอนศิริ, นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย,รศ.นรีวรรณ จินตกานต์,นางกีระณา สุมาวงศ์, รศ.พรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์ ส.ว.สรรหา เสนอให้ มาตรา 291/1 มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามหมวดนี้ประกอบด้วยสมาชิก จำนวน 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนโดยใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง การคำนวณจำนวนสมาชิกของแต่ละจังหวัดให้คำนวณตามสัดส่วนของจำนวนประชาชนทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิก200คนจำนวนสมาชิกที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีให้นำจำนวนประชาชนในจังหวัดนั้นมาคำนวณเฉลี่ยตามวรรคสองจังหวัดใดมีประชาชนไม่ถึงเกณฑ์ต่อสมาชิก1คน ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกได้1คนจังหวัดใดมีประชาชนเกินเกณฑ์สมาชิก1คนให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนทุกจำนวนประชาชนที่ถึงเกณฑ์จำนวนประชาชนต่อสมาชิก1คน
นายกรณ์จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เสนอ มาตรา 291/1ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามหมวดนี้ประกอบด้วยสมาชิก ดังต่อไปนี้ 1.สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตามให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งและให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญในเขตจังหวัดนั้นๆได้1คนให้แต่ละจังหวัดมีจำนวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญในสัดส่วนราษฎร 300,000 คนต่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ1คน เมื่อได้ที่จำนวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่พึงมีในแต่ละจังหวัดตามวรรคสามแล้วหากจังหวัดใดมีเศษของจำนวนราษฎรที่เหลือจากการคำนวณมากกว่า 150,000 คน ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง 2.สมาชิกซึ่งมาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมของรัฐสภาจำนวน 22 คน ดังต่อไปนี้ (ก) ผู้เชี่ยวชาญสาขากฎหมายมหาชนจำนวน 6 คน (ข) ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์จำนวน 6 คน(ค) ผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดินเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย หรือการร่างรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภาประกาศกำหนด จำนวน 10 คน
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. เสนอ มาตรา 291/1ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามหมวดนี้ประกอบด้วยสมาชิก ดังต่อไปนี้1.สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน จังหวัดละ 1 คน 2.สมาชิกซึ่งมาจากการคัดเลือกกันเองตามมาตรา 291/6 จำนวน 22 คน ดังต่อไปนี้ (ก) ผู้เชี่ยวชาญสาขากฎหมายมหาชน จำนวน 6 คน (ข)ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 6 คน (ค)ผู้มีประสบการณ์ด้านการเมืองการบริหารราชการแผ่นดิน เศรษฐกิจสังคมกฎหมายหรือการร่างรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภาประกาศกำหนดจำนวน 10 คน
โดยส่วนใหญ่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เสนอ มาตรา 291/1ให้มีสมาชิกร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่แก้ไขจัดทำร่างรัฐธรรมนูญตามหมวดนี้ประกอบด้วยสมาชิก ดังต่อไปนี้1.สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนโดยการคำนวณราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายโดยให้ใช้เกณฑ์ประชากรจำนวน 300,000 คน ต่อจำนวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 1 คน จังหวัดใดมีประชากรไม่ถึงจำนวนดังกล่าวให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ 1 คน จังหวัดใดที่มีเศษเหลือจากการคำนวณดังกล่าวหากมีจำนวนประชากรเกิน 100,000 คน ขึ้นไปก็ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้อีก 1 คน (2)สมาชิกซึ่งมาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตาม (1)จำนวน 25 คน ดังต่อไปนี้(ก) ผู้เชี่ยวชาญสาขากฎหมายมหาชนจำนวน 6 คน (ข) ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์จำนวน 6 คน (ข/1) ผู้เชี่ยวชาญสาขาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพและการศึกษาจำนวน 3 คน (ค) ผู้มีประสบการณ์ด้านการเมืองการบริหารราชการแผ่นดิน เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย หรือการร่างรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนด จำนวน 10 คน
สำหรับมาตรา 291/2 บุคคลผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ร. ตามมาตรา 291/1(1) ผู้ขอแปรญัตติในมาตรานี้ส่วนใหญ่เป็นกรรมาธิการและส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์จะเสนอให้เพิ่มเติมข้อความ โดยนายเทพไท เสนพงศ์ เสนอเพิ่มข้อความว่า ไม่เป็นส.ส. ส.ว.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน 5 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง, ไม่เป็นสมาชิกพรรคมาแล้ว 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง และไม่เป็นคู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือพี่น้องร่วมบิดามารดาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ขณะที่ ส.ว. อาทิ นายเจริญ ภักดีวานิช นายประเสริฐ ชิตพงษ์ นายนิคม ไวยรัชพานิช นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ นายวันชัย สอนศิริ นางทัศนา บุญทอง ขอแปรญัตติให้เพิ่มเติมในส่วนวุฒิการศึกษาว่าจะต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าชั้นปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
มาตรา 291/3 บุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ร.นั้น ส่วนใหญ่จะขอแปรญัตติให้เพิ่มเติมข้อความ อาทิ นายเจตน์ ศิรธรานนท์ (กมธ.) เสนอให้เพิ่มข้อความคุณสมบัติต้องห้ามคือ เป็นบุพการี คู่สมรสหรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งส.ส. ส.ว.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นสมาชิกพรรคหรือดำรงตำแหน่งอื่นในพรรคและพ้นจากตำแหน่งใดๆ ในพรรคมาแล้วยังไม่เกิน 3 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายธนา ชีรวินิจ นายนิพนธ์ บุญญามณี และนายวิรัช ร่มเย็น (กมธ.) เสนอให้ระบุเป็นสมาชิกพรรคหรือเคยเป็นสมาชิกพรรคแล้วยังไม่เกิน 5 ปี รวมทั้งเป็นบิดามารดา คู่สมรส พี่น้องและบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ส่วนนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ขอแปรญัตติโดยให้ตัดบุคคลซึ่งมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งส.ส.ตามมาตรา 102 (1) (2) (3) (4) (6) (7) (9) (12) (13) หรือ (14) มาเป็นเรื่องติดยาเสพติดให้โทษ, บุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต, ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายศาล, เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง, เคยถูกไล่ออกหรือปลดออกจากราชการหรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต, เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ นอกจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามมาตรา 263 และเคยถูกวุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง มาตรา 291/5 ให้กกต.จัดให้มีการเลือกตั้งส.ส.ร.ตามมาตรา 291/1(1) ให้เสร็จภายใน 75 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ และให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งท้องถิ่น รวมทั้งบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับโดยอนุโลม การวินิจฉัยขาดเกี่ยวกับการตัดสิทธิการเลือกตั้ง การเพิกถอนผลเลือกตั้งทั้งก่อนและหลังการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส.ร.ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์ได้รับคำร้อง
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เสนอให้กกต.จัดการเลือกตั้งส.ส.ร.เสร็จภายใน 90 วัน และเมื่อเลือกตั้งเสร็จให้กกต.ประกาศรับรองผลเลือกตั้งให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง โดยให้ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งแต่ละจังหวัดเป็นผู้ได้รับเลือกเป็นส.ส.ร.จังหวัดนั้น ส่วนมาตรา 291/11 สภาร่างรัฐธรรมนูญจะต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา 240 วัน นับแต่วันถัดจากวันประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก
ขณะเดียวกัน กมธ.จากพรรคปชป. ส่วนใหญ่จะเสนอให้ขยายเวลาการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เสร็จ ภายใน 300 วัน และให้ส.ส.ร.นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มาเป็นต้นแบบในการยกร่างและให้สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในทุกจังหวัดโดยทั่วถึงก่อน นายวิรัช ร่มเย็น เสนอให้เสร็จภายใน 360 วัน เช่นเดียวกับนายวิรัตน์ กัลยาศิริ เสนอให้เพิ่มข้อความด้วยว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่ยกเลิก ยุบ ปรับ เปลี่ยน องค์กรอิสระ ศาลทั้งหลายจะกระทำไม่ได้ ร่างรัฐธรรมนูญต้องไม่เป็นการแก้ไขจัดทำร่างรัฐธรรมนูญในลักษณะนิรโทษกรรมบุคคลหนึ่งบุคคลใด ซึ่งมีความผิดหรือต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลใดๆ และจะต้องไม่จัดทำในลักษณะให้มีผลย้อนหลังลบล้างความผิดใดๆ ซึ่งองค์กรตุลาการหรือองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 วินิจฉัยหรือลงมติว่าบุคคลนั้นมีความผิด ด้านนายอภิสิทธิ์ขอแปรญัตติว่าร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นใหม่ต้องให้อิสระกับองค์กรตุลาการและองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และต้องไม่มีผลให้ลบล้างอำนาจตุลาการที่ผ่านมา
มาตรา 291/13 เมื่อสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วให้นำเสนอต่อประธานรัฐสภา และให้กกต.กำหนดวันออกเสียงประชามติไม่เกิน 60 วัน แต่ไม่น้อยกว่า 45 วัน กมธ.เสียงข้างน้อย และส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้สงวนคำแปรญัตติ โดยเสนอว่ากรณีส.ส.หรือส.ว.จำนวน 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิก เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 291/11 วรรคห้า ให้เสนอร่างนั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยใน 7 วัน และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน หากร่างดังกล่าวมิได้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 291/11 วรรคห้า ก่อนส่งร่างให้กกต.จัดทำประชามติ ต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบก่อนทำประชามติ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขอแปรญัตติว่า การวินิจฉัยว่ารัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นใหม่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐหรือไม่ ควรให้เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ประธานรัฐสภา
มาตรา 291/14 เมื่อมีประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ให้ประธานรัฐสภานำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และให้นำบทบัญญัติมาตรา 150 และมาตรา 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ กมธ. อาทิ นายสุทัศน์ เงินหมื่น นายวรงค์ เดชกิจวิกรม ขอสงวนคำแปรญัตติโดยให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ ขณะที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ขอแปรญัตติ 60 คน ให้ตัดประธานรัฐสภาเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย โดยระบุว่าการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของส.ส.ร. ต้องไม่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของหมวด 1 และหมวด 2 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550
มาตรา 291/16 ระบุว่า หากร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นตกไป ให้ ครม. โดย ส.ส. มีสิทธิเสนอญัตติต่อรัฐสภามีมติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามความในหมวดนี้อีกได้ นายอภิสิทธิ์และส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ขอสงวนคำแปรญัตติโดยเสนอให้ตัดมาตรานี้ทิ้ง เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ไม่ใช่หลักที่ถูกต้องที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่บ่อยครั้ง
ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมพิจารณาได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศอินโดนีเซีย โดยทางวิป 3 ฝ่ายได้หารือกัน ให้ปิดการประชุมเพื่อให้ส.ส. ลงพื้นที่ดูแลประชาชน และจะมีการประชุมพิจารณาต่อในวันที่ 18-19 เม.ย.
โดยนายอุดมเดช รัตนเสถียร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนนทบุรี พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เปิดเผยว่า จะมีการลงมติวาระ 3 ใน วันที่ 8 พ.ค.นี้
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20120413/446715/เปิดคำแปรญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ-ม.291.html
-------------------------------------------------
การเมือง
วันที่ 23 เมษายน 2555 18:06
มติสภาโหวตแก้ไขรธน.ม.291
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ผลการลงมติของรัฐสภาในวาระ 2 การประชุมพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน ม.291/1,ม.291/2,ม.291/3,ม.291/4
มาตรา 291/1 ยืนตามร่างของกรรมาธิการฯเสียงข้างมากด้วยคะแนน 346 ต่อ 134 เสียง คือ ให้ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละคน รวม 77 คน และมาจากการคัดเลือกของรัฐสภาอีก 22 คน รวมทั้งหมดเป็น 99 คน
มาตรา 291/2 ยึดตามร่างกรรมาธิ?การฯ?เสียงข้างมากด้วยคะ?แนน 340 ต่อ 124 เสียง คือ คุณสมบัติของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)ยึดหลักคุณสมบัติ ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ 2550 แต่เพิ่มอายุเป็น 35 ปีบริบูรณ์ ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ขณะที่ภูมิลำเนา สสร. ยึดตาม พ.ร.บ.ทะเบียนราษฎร์เป็นหลัก อยู่ในพื้นที่ 5 ปีเป็นอย่างน้อย
มาตรา 291/3 ยืนตามร่างของกรรมาธิการฯเสียงข้างมากด้วยคะแนน 319 ต่อ 26 เสียง คือ กำหนดให้บุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ร. ตามมาตรา 291/1 (1) โดยกมธ.เสียงข้างมากได้แก้ไขโดยเพิ่มถ้อยคำ(5) ตามมาตรา 102 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งห้ามผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยพ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันกระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ มาลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ร.
มาตรา 291/4 ยืนตามร่างของกรรมาธิการฯเสียงข้างมากด้วยคะแนน 324 ต่อ 15 เสียง คือ เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) ซึ่งที่ประชุมรัฐสภาเป็นผู้คัดเลือก จำนวน 22 คน ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 291/2 (1) และ (2) และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 291/3 (1) และ (3)
ส่วนในมาตรา 291/5 ที่กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดเลือกตั้ง ส.ส.ร. ภายใน 75 วัน ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) เสียงข้างมากแก้ไขให้นำกฎหมายเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น รวมทั้งบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้โดยอนุโลม รวมทั้งให้การวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับการคัดค้านตัดสิทธิการเลือกตั้ง การเพิกถอนผลการเลือกตั้งทั้งก่อนและหลังประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ร.ให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์พิพาษาภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง รัฐสภาจะพิจารณาต่อในวันพรุ่งนี้ (24 เม.ย.)
อย่างไรก็ตามทางวิป 4 ฝ่าย ประกอบด้วย วิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าย วิปวุฒฺสภาและตัวแทนจากกรรมาธิการฯ จะหารือ ร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในเวลา 09.00 น. ก่อนที่จะเข้าวาระการประชุม
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20120423/448180/มติสภาโหวตแก้ไขรธน.ม.291.html
-------------------------------------------------
การเมือง
วันที่ 11 พฤษภาคม 2555 08:11
สภาฯผ่านม.291/13ด้วยคะแนน320ต่อ53เสียง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สภาฯ ผ่านฉลุย มาตรา 291/13 ด้วยคะแนน 320 ต่อ 53 เสียง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายมาตรา 291/13 มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งเวลา 00.40 น.ที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 320 ต่อ 53 เห็นชอบตามร่างของคณะกรรมาธิการที่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ มาตรา 291/13 มีสาระสำคัญว่า เมื่อสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นแล้วให้นำเสนอต่อประธานรัฐสภา นอกจากนี้ หากประธานรัฐสภาได้รับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว หากเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญนั้นมิได้มีลักษณะตามมาตรา 291/11 วรรคห้าที่ต้องเสนอให้รัฐสภาวินิจฉัย ให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น
จากสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติของประชาชนว่าจะเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญนั้นหรือไม่ จากนั้นให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันออกเสียงประชามติภายในไม่เกิน 60 วันแต่ไม่น้อยกว่า 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญจากประธานรัฐสภา อีกทั้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรับรองผลการออกเสียงประชามติให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันออกเสียงประชามติ ซึ่งหากเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติเห็นชอบให้ดำเนินการตามมาตรา 291/14 ต่อไป แต่หากไม่เห็นชอบให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป โดยแจ้งผลการลงประชามติให้ประธานรัฐสภาทราบด้วย
จนกระทั่งเวลา 00.48 น.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ในฐานะประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานในการประชุมขณะนั้นได้สั่งพักการประชุม พร้อมทั้งนัดประชุมในวันที่ 11 พ.ค.เวลา 09.30 น.
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20120511/451222/สภาฯผ่านม.291-13ด้วยคะแนน320ต่อ53เสียง.html
--------------------------------------------------
รายงานพิเศษ : สรุปแก้ รธน.
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ใช้เวลายาวนานถึง 14 วัน ในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระที่ 2 ซึ่งสาระสำคัญเป็นอย่างไร ติดตามจากรายงาน.........เทป........
การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายครั้งที่ผ่านมา คงไม่มีครั้งไหนใช้เวลาพิจารณายาวนานเท่ากับครั้งนี้ ซึ่งใช้เวลาพิจารณาไปแล้วถึง 14 วัน ซึ่งแม้เนื้อหาในแต่ละมาตรามีไม่มาก แต่การอภิปรายกลับเป็นไปอย่างยืดเยื้อสลับกับการประท้วงกันไปมาเป็นระยะ โดยร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ... ฉบับนี้ มีทั้งสิ้น 5 มาตรา และอีก 23 อนุมาตรา ซึ่งสาระสำคัญว่าด้วยเรื่องของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทั้งที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. จำนวน ส.ส.ร. กรอบเวลาการจัดทำรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ
สำหรับมาตราที่สมาชิกสงวนคำแปรญัตติไว้จำนวนมาก ได้แก่ มาตรา 291/1 ว่าด้วยเรื่องที่มาของ ส.ส.ร มาตรา 291/5 เรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.ให้แล้วเสร็จภายใน 75 วัน มาตรา 291/11 สภาร่างรัฐธรรมนูญจะต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน ซึ่งมี 6 วรรค โดยในวรรค 5 ร่างรัฐธรรมนูญที่มีผลเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์จะกระทำมิได้
มาตรา 291/13 เมื่อสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วให้นำเสนอต่อประธานรัฐสภา และหากรัฐสภาวินิจฉัยแล้วให้ส่งไปยัง กกต.เพื่อทำประชามติภายในไม่เกิน 60 วัน แต่ไม่น้อยกว่า 45 วัน และมาตรา 291/16 ถ้าร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นตกไป ให้คณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของทั้งสองสภา มีสิทธิเสนอญัตติต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภามีมติให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
อย่างไรก็ตาม ในวันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคมนี้ ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาจะยังคงเป็นพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อ โดยจะเริ่มที่มาตรา 291/18 ดังนั้นจนถึงขณะนี้จึงไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการลงมติผ่านความเห็นชอบในวาระ 3 เมื่อใด เพราะหลังผ่านความเห็นชอบวาระ 2 แล้ว จากนั้นจะต้องเว้นไว้ 15 วัน ก่อนลงมติในวาระที่ 3 ต่อไป จากนั้นจึงเริ่มกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : วาสนา ตาระเกตุ / สวท. Rewriter : รัชฎา ตรงดี / สวท.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th
http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255505110177&tb=N255505&return=ok&news_headline=%22%C3%D2%C2%A7%D2%B9%BE%D4%E0%C8%C9%20:%20%CA%C3%D8%BB%E1%A1%E9%20%C3%B8%B9.%20%20%22
--------------------------------------------------
รัฐสภาผ่าน ม.291/14-15 เมิน ปชป.ติงนายกฯ ควรทูลเกล้าฯ ร่างฯ - ตัดใช้ ม.150 และ 151
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤษภาคม 2555 13:18 น.
มติที่ประชุมร่วมรัฐสภาแก้ รธน.วาระ 2 โหวตผ่าน ม.291/14 และ 15 แล้ว “สุทัศน์” ติงควรให้นายกฯ ทูลเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญ แทนประธานรัฐสภา แนะตัดใช้ ม.150,151 บังคับใช้โดยอนุโลมร่วม หวั่นล่วงพระราชอำนาจ ด้านประธาน กมธ.ยันเป็นไปตามประเพณีเดิม
วันนี้ (11 พ.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ... ในมาตรา 291/14 ที่บัญญัติว่า เมื่อมีประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ให้ประธานรัฐสภานำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และนำบทบัญญัติมาตรา 150 และมาตรา 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
ทั้งนี้ สมาชิกที่สงวนคำแปรญัตติส่วนใหญ่เห็นว่า ผู้ที่ควรนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ควรเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ประธานรัฐสภา ตามร่างที่ กมธ.เสียงข้างมากได้มีการระบุไว้ เนื่องจากที่ผ่านมานายกฯ จะเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวายและรับสนองพระบรมราชโองการรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด รวมทั้งการเสนอแปรญัตติให้ตัดการนำมาตรา 150 และมาตรา 151 มาบังคับใช้โดยอนุโลม เพราะเห็นว่าจะเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ หากมิได้เห็นชอบกฎหมายใดๆ และมิได้ลงพระปรมาภิไธย แต่นายกฯ สามารถประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้ได้ หากรัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมแล้ว
นายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ที่ผ่านมาเราได้ให้อำนาจประธานรัฐสภาไว้มากแล้ว ตนจึงเสนอให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และให้เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการด้วย เพราะเห็นว่าความสำคัญในการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งควรเป็นนายกฯ เพราะรัฐธรรมนูญหลายฉบับก็มีนายกฯ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ตรงนี้มีข้อสงสัยว่าเดิมนายกฯ เคยพูดเสมอว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา แต่สุดท้ายก็เสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามาในฐานะของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นภาระความรับผิดชอบของนายกฯ โดยตรง แต่นายกฯ คงอยากจะหลีกเลี่ยงทั้งที่เป็นผู้เสนอกฎหมายเอง จึงได้เขียนในร่างให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแทน แม้ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเคยให้ข้อสังเกตว่าการให้ประธานรัฐสภารับสนองพระบรมราชโองการน่าจะไม่เหมาะสม ควรให้เป็นหน้าที่ของนายกฯ มากกว่า
“หลักการของผู้ที่ต้องเป็นคนรับสนองพระบรมราชโองการ มี 3 เงื่อนไข คือ ผู้ลงนามต้องมีหน้าที่รับผิดชอบการนั้นๆ โดยตรง ผู้สนองพระบรมราชโองการต้องเป็นเจ้าของเรื่อง และสุดท้ายจะต้องไม่มีเรื่องหรืออาจพาดพิงเบื้องพระยุคลบาทได้ ด้วยเงื่อนไขทั้งหมดจึงน่าจะเป็นนายกฯ ที่ต้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เหมาะสมกว่าประธานรัฐสภา”
นายสุทัศน์ยังขอแปรญัตติตัดข้อความ “ให้นำบทบัญญัติมาตรา 150 และ 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”ออกด้วย เพราะหากไปดูมาตรา 150 ระบุว่ากรณีที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่สภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ ส่วนมาตรา 151 ระบุว่า พ.ร.บ.ใดที่พระมหากษัตริย์ที่ไม่ได้ให้ความเห็นชอบ และพระราชทานคืนลงมายังรัฐสภา หากรัฐสภามีมติยืนยันตามเดิม ให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระมหาษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมาภายใน 30 วัน ให้นายกฯ นำ พ.ร.บ.นั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว
“ทั้ง 2 มาตราเป็นเรื่องเกี่ยวกับ พ.ร.บ.จึงไม่น่าจะเหมาะสมในการนำมาใช้กับรัฐธรรรมนูญ เพราะศักดิ์ของกฎหมายไม่เท่ากัน และในมาตรา 151 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่าหากพระมหากษัตริย์ไม่เห็นชอบและไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย แต่รัฐสภาสามารถลงมติประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้ได้ เสมือนพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยนั้น หากไม่ตัดข้อความดังกล่าวออก ก็เปรียบเหมือนให้นายกฯ สามารถโต้แย้งพระราชอำนาจได้ การที่คงไว้เป็นการไปก้าวล่วงของพระราชอำนาจ เรื่องนี้จึงอยากถามว่าเป็นการเหมาะสมหรือไม่ที่จะให้คงไว้ตามร่างของ กมธ.เสียงข้างมาก” นายสุทัศน์กล่าว
นายสามารถ แก้วมีชัย ประธาน กมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยืนยันให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และให้นำมาตรา 150 มาใช้บังคับ และให้ประธานรัฐสภารับสนองพระบรมราชโองการ แต่กรณีมาตรา 151 หากพระมหากษัตริย์ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย หรือไม่พระราชทานคืนลงมายังรัฐสภาภายใน 90 วัน เราก็ให้รัฐสภาเป็นผู้ที่จะนำมาพิจารณาอีกรอบหนึ่ง ซึ่งจะทรงมีพระราชวินิจฉัยว่าที่ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยเพราะเหตุใด หากรัฐสภายืนยันด้วยเสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภาที่มี ก็ให้ประธานรัฐสภานำประกาศราชกิจจานุเบกษาประกาศใช้ต่อไป ซึ่งการที่สมาชิกเห็นว่าทำไมไม่ให้นายกฯ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการนั้น ที่ผ่านมาหากเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงบางมาตรา นายกฯ ก็จะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านวาระ 3 ผู้ลงนามก็จะเป็นนายกฯ แต่หากเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการจะเป็นประธานรัฐสภา ซึ่งถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่อง เช่น รัฐธรรมนูญปี 40 และปี 50 ดังนั้น เราจึงขอยืนยันตามร่างของ กมธ.เสียงข้างมาก
จากนั้นที่ประชุมได้มีการลงมติในมาตรา 291/14 เห็นชอบตามร่างของ กมธ.เสียงข้างมากด้วยคะแนน 338 ต่อ 96 เสียง งดออกเสียง 9 และไม่ลงคะแนน 2 เสียง
ต่อมาที่ประชุมได้พิจารณามาตรา 291/15 ที่บัญญัติว่า ส.ส.ร.สิ้นสุดลงในกรณีดังต่อไปนี้ (1) ส.ส.ร.มีจำนวนสมาชิกเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งตามมาตรา 291/8 วรรคสี่ ทั้งนี้ ภายใต้บังคับของมาตรา 291/8 วรรคสาม (2) ส.ส.ร.จัดทำร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 291/11 วรรคหนึ่ง (3) เมื่อร่างรัฐธรรมนูญได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ใช้บังคับเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ (4) เมื่อร่างรัฐธรรมนูญตกไปตามมาตรา 291/11 วรรคหก หรือมาตรา 291/13 วรรคสี่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในมาตรานี้ไม่มีผู้สงวนคำแปรญัตติ และนายสามารถ แก้วมีชัย ประธาน กมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ชี้แจงเพียงสั้นๆ ว่า มาตรานี้เป็นเพียงเงื่อนไขของการสิ้นสุดลงของ ส.ส.ร.ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 4 เงื่อนไข โดย กมธ.เสียงข้างมากไม่ได้มีการแก้ไข ดังนั้นจึงขอยืนยันตามร่างเดิม จากนั้นประธานได้ให้ที่ประชุมลงมติมาตรา 291/15 ผลปรากฏว่า ที่ประชุมเห็นชอบด้วยคะแนน 344 ต่อ 88 เสียง งดออกเสียง 10 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง ตามร่างของ กมธ.เสียงข้างมาก
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000058151
--------------------------------------------
การเมือง
วันที่ 11 พฤษภาคม 2555 16:33
สภาโหวตผ่านม.291/17ด้วยเสียง 354:72
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
รัฐสภา โหวตผ่านมาตรา 291/17 ด้วยเสียง 354 ต่อ 72 เสียง ก่อนปิดประชุม และนัดประชุมใหม่ วันที่ 14 พ.ค. ในมาตราสุดท้ายของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.... ในช่วงบ่าย เป็นการพิจารณาไปอย่างรวดเร็ว
โดยเมื่อเวลา 16.00 น. ที่ประชุมได้ลงมติโหวตผ่านมาตรา 291/17 ว่าด้วยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของสภาร่างรัฐธรรมนูญ รับผิดชอบงานธุรการ งานประชุม การศึกษาหาข้อมูล และกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยคะแนนเสียง 354 เสียง ไม่เห็นด้วย 72 เสียง ไม่ลงคะแนน 8 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง
จากนั้นพล.อ.ธีรเดช มีเพียร รองประธานรัฐสภา ได้สั่งปิดการประชุมไปเมื่อเวลา 16.06 น. และให้กลับมาพิจารณาในมาตรา 5 ซึ่งเป็นมาตรา สุดท้ายของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 14 พ.ค. เวลา 09.30 น.
ทั้งนี้ในการประชุมในวันนี้ (11 พ.ค.) ที่ประชุมรัฐสภา ได้พิจารณาและลงมติผ่าน รวม 4อนุ ได้แก่ มาตรา 291/14, 291/15, 291/16 และ 291/17 รวมเวลาพิจารณา 6 ชั่วโมง
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20120511/451353/สภาโหวตผ่านม.291-17ด้วยเสียง-354:72.html
---------------------------------------------------
ใบตองแห้ง...ออนไลน์: พระมหากษัตริย์ยับยั้งประชามติไม่ได้
Tue, 2012-04-10 14:57
ผมเพิ่งเขียนเรื่อง “รัดทำมะนวยกะอรหัง” ลงในคมชัดลึก แต่มีประเด็นที่ควรนำมาขยาย เกี่ยวกับกรณีที่ “10 อรหันต์” ที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน ทักท้วงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่คณะกรรมาธิการจะนำกลับเข้ามาพิจารณาวาระ 2 ในรัฐสภาวันที่ 10-11 เม.ย.นี้
ก่อนอื่นเพื่อให้ความเป็นธรรมกับ 10 อรหันต์ ขอบอกว่า สื่อที่ตีข่าวนี้ ล้วนแต่มั่ว เพราะไม่เข้าใจประเด็นจริงๆ เช่น บางฉบับบอกว่า 10 อรหันต์ชี้ 3 ประเด็นขัดรัฐธรรมนูญ ไทยโพสต์บอกว่า 10 อรหันต์แฉ รธน.มิบังควร ขนาดศูนย์ข่าวอิศรายังบอกว่า ที่ปรึกษาผู้ตรวจการฟันธง 3 ร่างขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง
ประเด็นที่ 10 อรหันต์ชี้ว่าขัดรัฐธรรมนูญคือการกำหนดให้ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ประเด็นนี้ตกไปแล้ว เพราะคณะกรรมาธิการชี้แจงว่า เป็นแค่ร่างของคณะรัฐมนตรี ร่างของคณะกรรมาธิการแก้ไขให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามแล้ว
อันที่จริงประเด็นนี้ก็ถกเถียงกันได้เหมือนกัน เพราะ 10 อรหันต์ยกมาตรา 195 วรรคแรกมาอ้างว่า “บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญนี้ ดังนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมิได้บัญญัติให้ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม การที่ร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามร่างกำหนดให้ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการจึงไม่เป็นไปตามมาตรา ๑๙๕ วรรคแรก”
ถ้าตีความตามตัวบท ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ร่างแก้ไขมาตรา 211 สมัยบรรหาร ก็มีบรรหารลงนามฯ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญสมัยอภิสิทธิ์ ก็มีอภิสิทธิ์ลงนาม แต่ถ้าพูดกันตามหลักการจริงๆ ผมว่ารัฐธรรมนูญเขียนไว้ไม่ถูกต้อง นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารเป็นผู้ลงนามรับสนองฯ ในพระราชบัญญัติ เพื่อประกาศใช้ เพราะฝ่ายบริหารเป็นผู้กำกับดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญควรให้ประธานรัฐสภาลงนามฯ เพราะไม่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร รัฐธรรมนูญฉบับเต็มทุกฉบับก็มีประธานรัฐสภา (หรือประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) เป็นผู้ลงนาม แต่พอร่างแก้ไข กลับให้นายกฯ ลงนาม มันตลก
แต่ไม่เป็นไรเป็นแค่ประเด็นทางเทคนิค หยวนๆ ไปได้
ประเด็นใหญ่จริงๆ คือ 10 อรหันต์คัดค้านการให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้วินิจฉัยว่า รัฐธรรมนูญที่ สสร.ร่างออกมา ขัดต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ โดยเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย และให้เขียนเพิ่มเข้าไปในมาตรา 291/13
“ก่อนที่ประธานรัฐสภาจะส่งความเห็นไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งตามวรรคสาม (เพื่อลงประชามติ) ถ้านายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมด เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญที่สภาร่างรัฐธรรมนูญเห็นชอบแล้วนั้น มีลักษณะตามมาตรา ๒๙๑/๑๑ วรรคห้า ให้เสนอความเห็นต่อประธานรัฐสภา แล้วให้ประธานรัฐสภาส่งความเห็นดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างรัฐธรรมนูญมีลักษณะตามมาตรา ๒๙๑/๑๑ วรรคห้า ให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นตกไป”
โห ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญของ สสร.ตกไปเลยนะครับ
ประเด็นนี้ขอยืนยันว่ายอมไม่ได้ ด้วย 2 เหตุผลด้วยกัน คือหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ร่างรัฐธรรมนูญใหม่อาจจะยุบศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะกำหนดบทตรวจสอบศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะกำหนดที่มาของศาลรัฐธรรมนูญเสียใหม่ เช่นให้วุฒิสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดคัดเลือกจากบัญชีนักวิชาการ ผู้พิพากษา นักปกครอง ฯลฯ โดยมีบทเฉพาะกาลว่า หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ 6 เดือนหรือ 1 ปี ให้ตุลาการชุดนี้พ้นจากตำแหน่งแล้วเลือกใหม่ ฯลฯ
ไม่ว่าจะกำหนดอย่างไร ศาลรัฐธรรมนูญมีส่วนได้เสีย ฉะนั้นสมมติศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ร่างรัฐธรรมนูญตกไป โดยอ้างว่าขัดต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข-ด้วยความปรารถนาดีต่อตุลาการ ผมว่าท่านได้กินต้มซุปเปอร์หม้อใหญ่แน่ (จะสั่งไปให้จากสกายไฮ คริคริ)
เหตุผลข้อสอง อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล อธิบายว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจที่รับมอบมาจากรัฐธรรมนูญ แต่อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่อยู่สูงกว่า ฉะนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะไปตีความรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือรัฐธรรมนูญที่ร่างใหม่ทั้งฉบับไม่ได้
พูดภาษาชาวบ้านคือรัฐธรรมนูญเป็นแม่ผู้ให้อำนาจศาล ศาลมีอำนาจตีความว่าร่างพระราชบัญญัติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ มีอำนาจตีความคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่เวลาที่รัฐสภาจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ตัวแม่ที่ให้อำนาจตัวเอง ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะไปตีความใดๆ ทั้งสิ้น
ตอนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์แก้รัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยก็เคยส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่วินิจฉัยเพราะเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจศาล 10 อรหันต์ก็รู้ครับ จึงพยายามจะยัดเข้ามาอยู่ในมาตรา 291/13 ดังกล่าว
แต่ประเด็นที่ 3 ที่ 10 อรหันต์ทักท้วงผมเห็นว่าถูกต้อง และคณะกรรมาธิการต้องแก้ไขโดยด่วน นั่นคือประเด็นที่ทั้ง 3 ร่างของรัฐบาล พรรคเพื่อไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา กำหนดว่าหลังลงประชามติแล้วให้ประธานรัฐสภานำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยให้นำมาตรา 150 และ 151 มาบังคับใช้โดยอนุโลม ซึ่งหมายถึงให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจยับยั้งแล้วหากทรงยับยั้งก็ส่งกลับไปให้รัฐสภาลงมติยืนยันนั้น
“คณะกรรมการฯ เห็นว่าไม่ควรบัญญัติในลักษณะเช่นนี้ เพราะเมื่อประชาชนลงประชามติแล้ว การให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งแล้วกลับไปรัฐสภาเป็นผู้ลงมติยืนยันได้อีก ย่อมขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 3 ทั้งยังเป็นการมิบังควรอย่างยิ่งในทางการเมืองด้วย ทั้งนี้ ควรบัญญัติให้มีการลงประชามติแล้วให้ประธานรัฐสภานำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญ ดังที่เคยบัญญัติมาในอดีตก็จะเหมาะสมกว่า”
ประเด็นนี้กรรมาธิการยังฟังไม่ได้ศัพท์อยู่เลยนะครับเพราะพีรพันธุ์ พาลุสุข รองประธานกรรมาธิการจากพรรคเพื่อไทย บอกว่ารู้สึกแปลกใจ “เขาไปยกมาได้อย่างไร กระทั่งกฎหมายธรรมดา ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงยับยั้งไว้ สภาฯก็มีสิทธิทบทวน เป็นมาตั้งแต่สมัยไหนๆ แล้ว เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย เราไม่ได้ไปลดพระราชอำนาจอะไรเลย เขาคงเข้าใจผิด”
พีรพันธุ์น่ะแหละเข้าใจผิด เพราะจริงๆ แล้ว 10 อรหันต์เสนอว่า “มิบังควรให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจยับยั้งประชามติ” ให้ประธานรัฐสภานำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วประกาศใช้เลย
นี่เป็นหลักการประชาธิปไตยอยู่แล้ว ที่จริงต้องพูดให้ชัดเลยว่า “พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจยับยั้งประชามติ” เพราะประชามติคือการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน เป็นอำนาจสูงสุด สูงกว่าอำนาจรัฐสภาเสียอีก
ฉะนั้นการกำหนดว่าให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจยับยั้ง แล้วให้รัฐสภาลงมติยืนยันจึงผิดเพี้ยน เพราะแม้แต่รัฐสภาก็ยังมีอำนาจต่ำกว่าประชามติของประชาชนทั้งประเทศ จะไปยืนยันได้ไง
อันที่จริงถ้า 10 อรหันต์พูดซะให้เคลียร์ แทนที่จะมัวอ้อมแอ้มไปใช้ศัพท์ “มิบังควร” ผู้คนก็คงเข้าใจชัดเจนกว่านี้ แต่อย่างว่า 10 อรหันต์ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการสำนัก “อ้างพระราชอำนาจ” ก็เลยอ้ำๆ อึ้งๆ หลบๆ เลี่ยงๆ
ยิ่งตอนที่กิตติศักดิ์ ปรกติ แถลงข่าวการประชุมครั้งก่อน 28 มี.ค.ยิ่งเพี้ยนไปใหญ่ (แต่ผมอ้างจากเดลินิวส์ ถ้าข่าวผิดก็ขออภัย)
"ที่ประชุมได้มีการถกเถียงกันในเชิงวิชาการโดยมีข้อยุติร่วมกันว่า เมื่อประชาชนลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญแล้วก็ให้ประธานรัฐสภานำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยได้เลย ไม่จำเป็นต้องให้รัฐสภา ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนมาพิจารณาอีก และในข้อเท็จจริงแม้พระมหากษัตริย์อาจใช้พระบรมราชวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ แต่ตามประวัติศาสตร์แล้วพระมหากษัตริย์ไม่เคยใช้พระราชอำนาจในเรื่องการยับยั้งร่างรัฐธรรมนูญที่มีการลงมติโดยประชาชนแล้ว
"กรรมการที่เสนอเห็นว่าหากให้มีการนำรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 150 และมาตรา 151 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการตรา พ.ร.บ.มาบังคับใช้ โดยอนุโลมกับร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมีขึ้น อาจทำให้เกิดปัญหาการขัดกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนได้ เช่นถ้าประชาชนลงประชามติแล้วมีการทูลเกล้าฯขึ้นไปและพระมหากษัตริย์ทรงไม่ถวายคืนกลับมา รัฐสภาก็ต้องมาพิจารณาดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแล้วก็จะเกิดปัญหาว่ารัฐสภาจะเห็นด้วยกับพระมหากษัตริย์หรือประชาชน ซึ่งที่ประชุมมองว่าถ้ามีการบัญญัติให้นำมาตรา 150 และมาตรา 151 มาใช้กับร่างรับธรรมนูญฉบับใหม่โดยอนุโลมก็อาจทำให้เกิดข้อโต้แย้งโดยไม่จำเป็น จึงควรมีการบัญญัติเพียงว่าประชาชนหากประชาชนมีประชามติรับร่างประชาชนแล้ว ก็ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯพระมหากษัตริย์แล้วจบเลย"
คำอธิบายนี้พยายามจะบอกว่าทรงมีพระราชอำนาจอยู่แต่ไม่เคยใช้ ผิดครับ พระมหากษัตริย์ไม่มีพระราชอำนาจยับยั้งประชามติ ไม่สามารถใช้พระบรมราชวินิจฉัยเป็นอย่างอื่น เพราะประชามติอยู่เหนือพระราชอำนาจ
สาเหตุที่ไม่มีพระราชอำนาจ ถ้าอธิบายอย่างนุ่มนวลก็อธิบายตามย่อหน้าที่สองนั่นแหละ คุณจะไปบัญญัติให้พระมหากษัตริย์มีความเห็นขัดกับประชาชนเสียงข้างมากได้ไง
ฟังแล้วอย่างง คือผมเห็นด้วยกับ 10 อรหันต์ในข้อสรุป แต่เหตุผลต่างกัน อธิบายเรื่องพระราชอำนาจต่างกัน เพราะ 10 อรหันต์พยายามอธิบายว่ายังอาจใช้พระบรมราชวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ แต่ผมว่าไม่ได้
ต้องเข้าใจกันก่อนว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ต้องการให้พระมหากษัตริย์พ้นไปจากความขัดแย้ง เป็นที่เคารพ เป็นศูนย์รวมจิตใจ จึงไม่ต้องการให้พระมหากษัตริย์แสดงความเห็น ซึ่งย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยไม่เห็นด้วย
การลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกา ในฐานะองค์ประมุข ไม่ได้หมายความว่าพระมหากษัตริย์เห็นชอบ ผู้รับผิดชอบคือผู้รับสนองพระบรมราชโองการนั้น
มีแต่ร่างพระราชบัญญัติที่รัฐธรรมนูญให้พระมหากษัตริย์ใช้สิทธิ Veto ได้ แต่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญน่าจะเผื่อไว้ว่า ถ้าร่าง พ.ร.บ.นั้นมีผู้คัดค้านมาก ก่อให้เกิดความขัดแย้ง องค์ประมุขก็เป็นที่พึ่งสุดท้าย สมมติเช่นมีผู้ถวายฎีกาขอให้ยับยั้ง จึงทรงยับยั้ง ไม่ใช่เป็นความเห็นของพระองค์แต่อย่างใด
ซึ่งที่ผ่านมาในรัชกาลนี้ ในหลวงก็ไม่เคยยับยั้งด้วยความเห็นส่วนพระองค์ เคยมีแต่ในรัฐบาลไทยรักไทยที่ทรงยับยั้งร่าง พ.ร.บ.ราชภัฏ เพราะมีปัญหาที่วุฒิสภาตีกลับแล้วสภาผู้แทนยืนร่างเดิม แล้วเป็นร่างที่ทำไม่เรียบร้อย มั่ว เลอะเทอะ ประกาศใช้เป็นกฎหมายไม่ได้
ในแง่นี้ ที่จริงก็ยังเป็นการใช้ “พระราชอำนาจ” ในแง่ของการกลั่นกรองตรวจสอบกระบวนการ คล้ายๆ กับกรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่ในหลวงไม่ลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ ผู้ว่า สตง.คนใหม่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่สะเด็ดน้ำว่าคุณหญิงพ้นตำแหน่งหรือไม่แล้ววุฒิสภาไปตั้งคนใหม่
การใช้พระราชอำนาจกลั่นกรองกระบวนการไม่ใช่ความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ในแง่นี้แม้รัฐธรรมนูญไม่ให้อำนาจ Veto พระมหากษัตริย์ก็ยับยั้งได้ สมมติเช่น รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกา แล้วมีรัฐมนตรีออกมาโวยว่าองค์ประชุมไม่ครบ ก็สามารถยับยั้งไว้ก่อนจนกว่าจะมีการยืนยัน
แต่แม้รัฐธรรมนูญจะเปิดช่องให้พระมหากษัตริย์แสดง “ความเห็น” ได้ในการ Veto พระราชบัญญัติตามมาตรา 151 “พระราชอำนาจ” นั้นก็ยังมีอำนาจน้อยกว่ามติของรัฐสภาอยู่ดี ฉะนั้นถ้าถามว่า ประชามติของประชาชนทั้งประเทศกับมติของ ส.ส. ส.ว. 650 คน อำนาจไหนใหญ่กว่า ก็ ซตพ.ครับ พระมหากษัตริย์ยับยั้งประชามติไม่ได้
คณะกรรมาธิการควรลบมาตรานี้ทิ้งเสีย เพราะจริงๆ แล้วทั้ง 3 ร่างก๊อปมาจากมาตรา 291(7) ปัจจุบัน ก๊อปโดยไม่ใช้สมอง ว่านั่นมันเป็นการแก้ไขโดยรัฐสภา นี่เป็นการแก้ไขโดยประชามติ
แต่ก็ควรขอบคุณ 10 อรหันต์งามๆ เพราะถ้ากรรมาธิการตัดออกโดยลำพัง แมลงสาบและสลิ่มคงปั้นข้อหา “ล้มล้างพระราชอำนาจ” โยนใส่กันวุ่นวาย นี่ยังดี มี 10 อรหันต์อย่าง อ.สุรพล นิติไกรพจน์ อ.จรัส สุวรรณมาลา อ.นรนิติ เศรษฐบุตร อ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ เป็นเกราะอยู่แล้ว
ใบตองแห้ง
10 เม.ย.55
http://prachatai.com/journal/2012/04/40027
----------------------------------------------------
FfF
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
...มาตรา 291/
มาตรา 291/