งวดนี้ไปม๊อบปิดรับฏีกา
มีสมาชิกแถวบ้านร่วมเดินทางไป 1 คันรถสองแถว
และที่ขับรถกันไปเองอีกบางส่วน
แต่รวมแล้วมากกว่างวดก่อน
มีพี่บางคนอาจกังวลกับข่าวปล่อยมาก
เลยอาจไม่กล้ามา
ทั้งๆ ที่เมื่อวานยังรู้สึกอยากจะมา
บางคนอาจกังวลเรื่องการใส่เสื้อ
เราก็บอกไปว่าเราใส่เสื้อดำไป
ใครจะใส่เสื้อสีอะไรก็ได้
แต่อยากให้ไปให้ได้
ยิ่งมีข่าวต่อต้านเยอะๆ แบบนี้ยิ่งต้องไป
งวดนี้ดีใจชวนพี่ 2 คนไปได้
ซึ่งก็รู้สึกว่า จะไปม็อบเสื้อแดงครั้งแรกด้วย
ตอนแรกบางคนก็ยังกังวลนั่นนี่ไม่กล้ามา
บางคนกลัวกลับมาไม่ทันขายของ
บางคนอาจไม่ค่อยถูกกับคนในกลุ่ม
ที่ไปเป็นประจำอยู่แล้ว
แต่สรุปแล้วช่วงระหว่างรอคนมาสมทบ
เพื่อไปรถคันเดียวกัน
ก็สามารถพูดโน้มน้าวให้เขาไปได้ทั้งคู่
โดยเฉพาะลุงแก่ๆ คนหนึ่ง
เขากว่าจะไปได้ข้อแม้เยอะ
เช่นบอกว่า
เสื้อเขาโดนเมียกระชากขาดจะไปได้หรือ
ซึ่งที่ใส่มาก็ขาดจริงๆ
หรือไม่ก็ไม่่มีเสื้อแดงเลยอะไรประมาณนั้น
เราเลยตัดบทไปทำนองว่า
ถ้าวันนี้ไปอยากได้เสื้อแดงแบบไหน สไตล์ไหน
ชี้มาได้เลยเดี๋ยวผมซื้อให้
ปรากฏว่ายอมไปแต่โดยดี
ด้วยความอยากให้ลองไปสักครั้ง
เลยงานนี้ขอเป็นพ่อบุญทุ่ม
อยากรู้ผลจะเป็นยังไง
เมื่อเขาได้ลองไปสักครั้ง
ลุงคนนั้นคือลุงคนที่ชูป้ายเต้นอย่างสนุกสนานในรูป
ซึ่งเราพาไปซื้อเสื้อให้ทันที
เดี๋ยวเราลืมไม่ใช่อะไร
เพราะว่าไปม็อบทีไรไม่เคยนั่งอยู่กะที่
งวดนี้ไปถึงเที่ยงกว่าๆ
ร้อนมากๆ และทุกคนยังไม่ได้กินข้าวกัน
งานนี้พ่อบุญทุ่ม หลังจากซื้อเสื้อให้แล้ว
ก็ไปซื้อข้าวไข่เจียวมา 10 กล่อง
กินเอง 1 กล่องเพื่อพิสูจน์ว่าสะอาดใช้ได้
เพราะท้องเราจะเสียภายในเวลาไม่นาน
ถ้าได้รับประทานอาหารที่ไหนไม่สะอาดไม่ดี
ท้องจะเสียทันที
ซึ่งก็แปลกบางทีร้านอาหารแพงๆ ที่เคยไปกิน
อาจมีอาการท้องเสียได้มากกว่าร้านตามข้างถนนเสียอีก
อาหารดีไม่ดีวัดกันที่ราคาไม่ได้จริงๆ
หลังจากหาข้าวไปให้พวกพี่ๆ
ซึ่งหลายคนเขาก็ซื้อกินเองหรือพกมาด้วยก็มี
แต่แบบว่าอยากซื้ออยากบริการว่างั้นเถอะ
บางทีบางคนก็เกรงใจ
แต่เราคิดว่าทำบุญมากกว่านี้
บริจาคที่ต่างๆ มากกว่านี้ยังเคยทำมาแล้ว
แล้วนี้ทำแล้วเห็นๆ ว่าให้คนจริงๆ
ทำแล้วสุขใจเป็นใช้ได้
บางคนก็ช่วยออกค่ารถอะไรแบบนี้
ลักษณะใครช่วยอะไรได้ก็ช่วยๆ กัน
สักพักเราก็ขอตัวไปตะเวนถ่ายรูป
โดยเดินรอบๆ สนามหลวงไปเรื่อยๆ
ช่วงเที่ยงๆ แดดร้อนมากๆ ยังไม่ค่อยมีคน แบบนี้
มีขบวนกองยาวนำฎีกามาส่งเรื่อยๆ แบบนี้
และก็แบบนี้
กลุ่มเสื้อแดงจากราชบุรีก็มา
ขอถ่ายรูปสาวๆ หรือน้าแล้วก็ไม่รู้ อิอิ
เสื้อที่เธอใส่เป็นสไตล์ที่เรากำลังอยากใส่
ที่อยากใส่ใช่ว่าเห่อตามการรณรงค์เสื้อหลากสีอะไร
แต่เคยซื้อมาตัวหนึ่งเมื่อม็อบคราวที่แล้ว
และใส่ไปงานฉลองวันเกิด 60 ปี ทักษิณ
ที่ภัตตาคารมังกรหลวง
แล้วถ่ายรูปมาดูแปลกตาดี
ราคาไม่แพงแถมเสื้อแบบนี้ห้าตัว
สามารถพับแล้วกำได้หมดในมือเดียว
มันบางมากแต่ไม่โป๊
และราคาแค่ร้อยกว่าบาท
วันนี้ก็เลยซื้อมาอีก 5 ตัวจาก 2 ร้าน
ระหว่างลองเสื้อก็ใช้วิธีถ่ายรูปตัวเองแล้วเอามาดู
เสื้อพวกนี้ใส่แล้วจ๊าบดีจริงๆ
ตอนแรกเรานึกว่าผลิตมาจากภาคใต้
ที่จริงมาจากอินโดนีเซีย
นี่ถ้างวดหน้าเราไปเที่ยวบาหลี
คงใช้กระเป๋าใบเล็กจิ๋วแน่ๆ
และไม่ต้องซื้อเสื้อใหม่ด้วย
ฝนขาประจำเริ่มตั้งเค้ามาอีกแล้ว
สงสัยตกหนักแน่ๆ
แต่สุดท้ายก็ไม่ตก
แต่เราไม่สนเดินช็อปปิ้งไปรอบๆ สนามหลวงต่อไป
เจอสินค้าใหม่ๆ แปลกๆ เลยซื้อมาเยอะแยะแบบนี้
สินค้าใหม่ๆ ที่เราพึ่งเห็นแต่อาจมีมานานแล้วก็ได้
เริ่มจากนี่กระปุกออมสิน
อะไรๆ ก็ทักษิณไม่ต้องแปลกใจ
ก็คนรักเยอะ ก็เลยมีคนทำของมาขายคนรักทักษิณเยอะ
นี่เซรามิคจากลำปาง
ผ้าปิดปาก
ซึ่งมีหลายแบบให้เลือก
เราตั้งใจมากๆ ที่จะซื้อแบบนี้
ไปฝากเทพไท โฆษกอภิสิทธิ์
ใครมีที่อยู่ต้องการด่วน
ส่วนนี่ไม่ใช่ของแปลก
แต่เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือพิมพ์ของคนเสื้อแดง
ที่มีหลายยี่ห้อมากๆ จนเริ่มจะจำไม่ค่อยได้
แต่ให้ระวัง เรื่องการทำธุรกิจให้ดี
บางทีเคยได้ยินเป็นแฟนกันร่วมทำธุรกิจด้วยกัน
หรือค้าขายแข่งกัน
สุดท้ายเลิกกันมาหลายคู่แล้ว
เรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เข้าใครออกใคร
ไม่ว่าจะญาติพี่น้องเพื่อนฝูงหรือคนเสื้อแดงด้วยกัน
ตอนแรกคิดว่าวันนี้จะไม่มีหน่วย FARED มาบริการอย่างเคย
เห็นเอาเสบียงมาทำอาหารแจกชาวบ้านหมด
และบางคนจะกลับหลังจากแจกหมด
แต่จากคนในเอาภาพมาให้ดู
เรื่องการ์ดเสื้อแดงบางคน
แสดงกิริยาไม่ดีกับพวกอาสาสมัครพยาบาล
เลยทำให้รู้ภายหลังว่า
มีบางส่วนไปอาศัยเต้นท์กลุ่มอื่น
เพื่อเปิดรักษาพยาบาลจนเลิกงาน
พอดีเป็นคนนอกไม่ค่อยรู้เรื่องนัก
รู้แต่ว่าเห็นหน่วยพยาบาลความจริงวันนี้หลังเวที
ไม่รู้เกี่ยวกันไหม กับกรณีปัญหาเรื่องที่กางเต้นท์
เรื่องนี้คงต้องไปถามดูกันเอาเองแล้วหล่ะ
ภาพที่เห็นข้างล่างเป็นช่วงตอนเที่ยงๆ
ที่คน FARED ไปอาศัยเต้นท์คนอื่น
เอาเสบียงที่เตรียมไว้เพื่อจะอยู่ทั้งคืน
มาทำอาหารแจกคนแถวนั้น
พูดถึงเรื่องฏีกา มีการใช้วิชามาร
ทำเลียนแบบปลอมปนเข้ามา
เลยต้องมีการคัดออก
ของจริงเขาบอกว่า
ต้องมีโลโก้ความจริงวันนี้
ส่วนข้อความไม่รู้ต่างกันไหม
เห็นส่งกันมาเป็นปึกๆ แบบนี้
คนมาร่วมงานส่งมอบฏีกาวันสุดท้าย เยอะมากๆ
โดยเฉพาะช่วงที่ทักษิณโฟนอินเข้ามา
บล็อคแรก แถวหน้าๆ เวที
นั่งกันแน่นเอียด
ส่วนบล็อคสองท้ายๆ
มีรถมาจอดขวางไม่กี่คัน
ถ้านำคนที่ยืน โดยเฉพาะที่เบียดกันแถวหน้าๆ
มานั่งทั้งหมด วันนี้น่าจะเลยครึ่งสนามหลวง
งวดนี้ได้ยินการร้องเพลงฉันจะกลับมาอีกครั้ง
แต่เปรียบเทียบกับที่วัดแก้วฟ้า
ที่นั่นซึ้งจนน้ำตาไหล ไม่เว้นแม้แต่เรา
เพราะเราเ้ป็นพวกเซ็นส์ซิทีฟเหมือนกัน
ดูหนังเศร้าๆ น้ำตาก็ไหลได้เหมือนกัน
ไม่ใช่พวกฉันจะไม่แสดงอาการอะไรให้เห็น
ดังนั้นใช้ความรู้สึกเราวัดได้พอสมควร
กรณีที่วัดแก้วฟ้า
ทักษิณร้องคนเดียวแล้วทุกคนฟังเงียบๆ
ได้ยินเสียงสั่นเครือของทักษิณ
คนก็พลอยจะร้องไห้ตามไปด้วย
กรณีที่สนามหลวงวันนี้
ทักษิณร้องแล้วยังมีคนบนเวทีพยายามร้องตาม
แล้วไม่มีอารมณ์ร่วมจะทำเสียงสั่นเครือได้ยังไง
เพลงนี้ไม่ใช่เพลงที่มีทำนองหรือเนื้อร้อง
ที่ทำให้ฟังแล้วเศร้าได้มากมายอะไร
ถึงจะให้ใครร้องปกติไม่ใส่อารมณ์
แล้วจะทำให้คนฟังเศร้าน้ำตาซึมได้
แถมขณะร้องพี่ๆ ทั้งหลาย
กลัวไม่สนุกช่วยกันตบมือเป็นจังหวะ
คุณลองร้องเพลงเศร้าๆ
แล้วมีคนตบมือเป็นจังหวะดูซิ
มันจะสนุกแทนเศร้ามากกว่า
สรุปได้ยินเสียงตบมือดัง
กับเสียงใครต่อใครแทรกเข้ามา
เลยไม่ซึ้งอย่างที่เคยฟังที่วัดแก้วฟ้า
ถ้าหวังให้ออกมาสนุกก็โอเค
แต่ถ้าหวังจะให้ออกมาซึ้งเหมือนที่วัดแก้วฟ้าคงไม่เหมือน
ซึ่งเคยวิจารณ์เพลงนี้ไว้ที่เรื่อง
<<< ฉลองครบรอบ 60 ปี ทักษิณที่วัดแก้วฟ้า >>>
พูดถึงเรื่องการผลักมิตรเป็นศัตรู
หลังจากเดินช็อปปิ้ง
จนมาถึงกลางสนามหลวงฝั่งธรรมศาสตร์
ก็มาเจอม็อบเล็กๆ
เห็นมดชมพูกำลังสรรเสริญคนบ้านสี่เสาอยู่
อยู่ๆ ก็มีเจ๊ดารณี
โผล่มาบอกห้ามพูดคำหยาบอะไรนี่แหละ
จนเจ้ามดชมพูออกอาการเซ็ง
แล้วเจ๊แกก็มาพยายามอธิบายอะไร
ให้คนที่มุงฟัง
เราเลยเข้าไปถามเจ๊แกว่า
เกิดอะไรขึ้นทำนองนั้น
เจ๊ก็ตอบมาทำนองว่า
พวกนี้อาจรับงานมาก่อกวน
แล้วจะทำให้ม็อบเสื้อแดงเสียหาย
ผมก็เลยช่วยอธิบายไปว่า
คนที่พูดผมรู้จัก
แต่เจ๊แกบอกว่าไม่รู้จัก
แค่นั้นก็พอเข้าใจแล้ว
อันที่จริงพูดกันตรงๆ
ถ้าไม่รู้จักมดชมพู
(ชื่อล็อคอินที่ใช้ใน Pantip
ซึ่งโดนยึดไปตั้งนานแล้ว)
ผมว่าเจ๊ยังไม่รู้จักคนสนามหลวงดีพอ
เจ๊ควรร้องเพลงอยู่บนเวทีดีกว่า
เพราะเสียงเจ๊
ฟังแล้วเหมือนนักร้องต้นฉบับมาเองเหมือนกัน
ย้อนกลับไปช่วงหลังการทำรัฐประหาร
ก็มีคนเริ่มออกมาต่อต้านการทำรัฐประหารเรื่อยมา
แต่ผมไปร่วมขับไล่พวก คมช. ครั้งแรก
ก็ปาเข้าไปช่วงวันรัฐธรรมนูญ ในปี 49
ปีเดียวกันกับที่มีการทำรัฐประหาร
ผมก็เจอคนพวกนี้แล้ว
ที่เห็นบนเวทีเสื้อแดงวันนี้
มีเพียง วิภูแถลง คนเดียว
ที่ผมเห็นออกมาต่อต้าน คมช. ช่วงนั้น
แสดงว่าคนพวกนี้ออกมาเคลื่อนไหว
ก่อนใครๆ บนเวทีเสื้อแดงวันนี้เกือบหมด
กรณี มดชมพู แรกๆ เขาเป็นดาวบนเวทีมีแม่ยกเยอะมาก
เรียกว่าปี 49 กับช่วงต้นๆ ปี 50
จะพูดได้ว่าเขาเป็นณัฐวุฒิ เวลานี้ก็ยังได้
ด้วยลีลาด่าคนบ้านสี่เสาได้ละเอียดที่สุดแล้ว
เรียกว่าหยาบจนละเอียดเลย
เรียกเสียงเฮได้มากมาย
ถึงมีบางพวกไม่ชอบสไตล์นี้
แต่ควรรู้ด้วยว่ามีบางพวกชอบและมีไม่น้อยด้วย
เผลอๆ แฟนพันธุ์แท้สามเกลอที่อยู่ด้านหน้าๆ เวที
จะเคยเป็นแม่ยกเก่าเจ้ามดชมพูมาแล้วก็ได้
ตอนหลังเขาคงด่าคนบ้านสี่เสามากไป
และใช้คำหยาบๆ คายๆ ด้วย
พรรคพวกเลยไม่อยากให้ขึ้นบนเวที
รวมไปถึงการแตกคอกัน
ภายในกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ
แล้วเหล่านักการเมืองก็เข้ามาภายหลังช่วงปี 50
ซึ่งก็มีกลุ่มสามเกลอและจักรภพอีกคนเข้ามา
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ค่อยได้ขึ้นเวทีใหญ่อีกเลย
แต่เขาก็ยังขึ้นเวทีเล็กๆ เท่าที่จะมีแทน
นี่ก็เป็นเวทีเล็กๆ ของพวกเขา
เขาไม่ได้ขึ้นเวทีใหญ่
ก็ไม่น่าจะไปทำให้เวทีใหญ่เสียหาย
และข้อกล่าวหาไม่ว่าทักษิณโดน
หรือคนเสื้อแดงทั้งหมดตอนนี้โดน
ไม่ว่าจะเรื่องคอมมิวนิสต์
เรื่องไม่จงรัก เรื่องนั่นนี่
มีเรื่องไหนที่หนักกว่านี้
และยังไม่เคยโดนบ้าง
โดนประจำในช่วงหลายปีมานี่
อยู่เฉยๆ ก็โดน แล้วจะไปกังวลอะไร
ขนาดช่วงนี้ก็ยังโดนพวกนั้น
ดาหน้าออกมากล่าวหา
เรื่องการล่ารายชื่อถวายฏีกาไม่เว้นแต่ละวัน
และแรงขนาดไหน
เทียบกับที่เขากำลังด่าคนบ้านสี่เสา
อะไรมันหนักกว่ากัน
และถ้ามดชมพู
คนที่กล้าด่าคนบ้านสี่เสาแบบนั้น
มาตลอดในช่วงม็อบ 3 ปีมานี้
ซึ่งถือว่ากล้าที่สุดคนเดียวในไทยแล้วขณะนี้
ยังไม่เคยเห็นใครกล้าด่าขนาดนี้มาก่อน
ไม่สามารถมาด่าได้เหมือนเคย
เพราะมีคนใหญ่คนโตที่คุมม็อบเสื้อแดงตอนนี้
ไม่ให้ด่า จะหมายความว่า
เวลานี้ ม็อบเสื้อแดง
สู้ตั้งแต่ต่ำกว่าคนบ้านสี่เสาลงมาทันที
ไม่ใช่ตั้งแต่คนบ้านสี่เสาลงมาอย่างที่พูดกัน
ซึ่งผมก็ไม่ได้มีเวลาไปชี้แจงเจ๊ดารณีแบบนี้หรอก
แค่ยืนยันว่าผมรู้จักคนพวกนี้
เขาเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ช่วง คมช. แล้ว
และมันเป็นสไตล์เขา
(ถ้ามดชมพูขึ้นไม่ด่าคนนั้นแสดงว่าตัวปลอม)
สุดท้ายเจ๊แกก็ขอโทษแล้วจากไป
ผมหาอะไรกินแถวนั้นสักพัก
แล้วเดินไปยังรถสุขา
พอเดินกลับมาก็เจอพวกการ์ด
พากันมานับสิบคน
แล้วบอกให้คนที่พูดบนรถคันนั้น
หยุดปราศรัยและเลิกทันที
รวมทั้งพยายามอุ้มกล่องบริจาคเงิน
ของพวกเขาไปด้วย
ผมอยู่ในที่เกิดเหตุ
เห็นแบบนั้นก็เลือดขึ้นหน้า
ยุค คมช. ที่พวกเราว่าเป็นเผด็จการ
จนต้องออกมาไล่กัน
ยังไม่กล้าทำขนาดนี้เลย
แล้วเงินนี่เป็นเงินที่ประชาชน
เขาตั้งใจบริจาคให้คนกลุ่มนี้
ซึ่งก็น้อยมากๆๆๆๆๆๆๆ
เมื่อเทียบกับที่เขาบริจาคให้กับเวทีใหญ่
แล้วจะมาเอาของเขาไปแบบนี้
มันเหมือนการปล้นกันชัดๆ
ผิดเจตนารมณ์คนให้ด้วย
ผมก็เข้าไปห้ามเสียงแข็ง
ว่าอย่าเอาเงินของเขาไป
การ์ดบางคนตอบกลับมาว่า
นายสั่งมา ก็ทำตามที่นายสั่ง
ผมก็ตอบไปทำนองว่าผมไม่สนใจ
อย่าเอาเงินของเขาไป
อะไรทำนองนั้นจำไม่ค่อยได้ทุกคำ
สุดท้ายพวกการ์ดยอมไม่เอาไป
แต่ให้เลิกและให้เอารถออกไป
บรรดาแฟนฮาร์ดคอร์แถวนั้นบางคนยัวะ
ก็เถียงกับการ์ด
เลยต้องไปช่วยแยกๆ
บอกให้จบๆ ไป
อย่าไปต่อความยาวสาวความยืด
แต่ได้ยินเสียงการ์ดคนหนึ่งพูดให้ได้ยินว่า
ไม่ต้องสนใจ พวกนี้มีนิดเดียวเอง
ฟังแล้วลมออกหูแทนลุงคนนั้น
ผมเห็นพวกนิดเดียวพวกนี้
ออกมาเป็นพวกแรกๆ ทุกครั้ง
ยกตัวอย่างให้ฟัง ครั้งก่อนปีใหม่
วันที่มีการประกาศยุบพรรคพลังประชาชน
ผมทนไม่ได้ขับรถไปสนามหลวง
ผมเจอหน้าคนพวกนี้
ผมไม่เคยเจอหน้าคนบนเวทีใหญ่ตอนนี้
หรือแม้แต่การ์ดพวกนี้สักคนเดียว
แต่พวกเขาทนไม่ได้
ที่พรรคที่พวกเขาเลือก
โดนกระทำแบบนี้
เขายังออกมาสู้ทันทีในวันแรกๆ
ในขณะที่ช่วงนั้น
สามเกลอยังไม่คิดทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
จนวันที่สองผมไปอีก
คราวนี้เจอแกล้ง
พระที่ให้ยืมเครื่องเสียง
เอาเครื่องเสียงไป
คนเป็นพันแต่เงียบเป็นเป่าสาก
เขาไปถอยรถกระบะเอาไม้พาด
แล้วใช้โทรโข่งปราศรัย
คนเป็นพันก็ยังปักหลักอยู่
ผมเห็นวิภูแถลงมา
แล้วถึงมีคนให้ยืมเวทีเล็ก
ที่คนวันเสาร์เคยใช้มา
ผมกลับมาเล่าบรรยากาศที่เว็บ Pantip เป็นวันที่ 2
ผมยังหยอดท้ายไว้ประโยคหนึ่งทำนองว่า
ถ้าสามเกลอพร้อมอยากจะมานำเมื่อไหร่ก็มาได้น่ะ
วันที่สามหรือสี่นี่แหละ
ผมถึงได้เห็นจตุพรมา
และหลังจากนั้นเวทีเล็ก
ก็โดนพวกชุดใหญ่มาแย่งไป
เมื่อมวลชนมาก้นหลายพันแล้ว
ถ้าพวกนี้เป็นแดงปลอม
เป็นพวกรับจ้างมาป่วน
ซึ่งผมก็ไม่อาจรับประกัน
ให้ทุกคนว่า ไม่ปลอม ไม่ป่วน
เพราะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว
แต่ผลของการกระทำของพวกเขา
ทำชาวบ้านหูตาสว่างมานักต่อนักแล้ว
ใครจะเห็นความสำคัญของนายทุน
มากกว่าพวกฮาร์ดคอร์
ที่ออกมาสู้ทันที
โดยไม่ต้องรอแกนนำอะไรสั่ง
ถึงจะออกมาสู้ก็ตาม
แต่ผมเห็นตรงกันข้าม
และไม่ต้องการให้พวกฮาร์ดคอร์
โดนถีบออกไปหมด
จนเหลือแต่คนที่ไม่สามารถออกมา
เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินไำด้ทันที
ถ้าเป็นแบบนั้น
เปรียบได้กับพวกคุณไม่ใช่ปลาปิรันย่า
แต่กำลังเป็นปลาทองในตู้โชว์ดีๆ นี่เอง
และผมก็อาจตั้งข้อสังเกตุกลับไปบ้างว่า
ตอนนี้ถ้ามีใครมาด่าคนบ้านสี่เสา
แล้วลูกเขาที่เข้ามาแฝงตัวเป็นการ์ด
ทั้งสีกากีและสีเขียว
ไปบอกแกนนำให้จัดการไล่ออกไป
คุณจะไล่ออกไปตามคำแนะนำ
ของคนพวกนี้หมดเลยใช่ไหม
หรือคุณคิดว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ลูกๆ
ที่เข้ามาคอยจัดการพวกเสี้ยนหนาม
โดยยืมมือผ่านพวกแกนนำ
อีกอย่างการกระทำในครั้งนี้
ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์คิดตรงกันว่า
นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ออกมาเรียกร้องกันแล้ว
ส่วนผมคิดว่าการกระทำแบบนี้
เป็นเผด็จการรูปแบบใหม่
เพราะการเที่ยวไปฉกเงินบริจาคเขาแบบนี้
และยังไล่คนที่ตั้งเวที
ที่อยู่ห่างเวทีใหญ่มากๆ
แถมเวลานั้นที่เวทีใหญ่
ยังไม่มีการอภิปราย มีแต่ร้องเพลง
และแนะนำแกนนำกลุ่มต่างๆ อยู่
จะเป็นประชาธิปไตยไปได้ยังไง
ในเมื่อพวกเขาไม่มีแม้แต่ที่จะยืนพูด
มีแต่ที่ยืนฟังอย่างเดียวเท่านั้น
ทั้งๆ เป็นที่สาธารณะเหมือนกัน
และเครื่องเสียงก็ไม่ได้ดังไปป่วน
แถมเขาก็ไม่ได้มาป่วนด่าพวกเดียวกันซะเมื่อไหร่
อันที่จริงขนาดช่วงคมช.
เจอพวกเสื้อเหลืองมาแกล้ง
ตั้งเวทีใกล้ๆ หรือตั้งไกลแต่เสียงดังมาถึง
ยังทนได้ไม่หลงไปกับแรงยั่วยุเลย
แต่พวกเดียวกันเองเล่นกันแบบนี้เลย
อย่าลืมว่ายังมีคนกลุ่มหนึ่ง
ที่ออกมาต่อต้านเผด็จการ
เป็นคนรักประชาธิปไตย
ไม่ได้ต้องการเผด็จการที่ดีกว่า
และคนบางคนทำตัวเหมือนเป็นจิตแพทย์บางคน
ที่รักษาคนโรคจิตจนไม่รู้ว่า
ตัวเองก็เป็นโรคจิตเหมือนกัน
ประเภทต่อต้านเผด็จการ
แต่กำลังทำตัวเป็นเผด็จการ
หรือต่อต้านการแบ่งชนชั้น
แต่กับพยายามยกระดับชนชั้นตัวเอง
นี่เป็นกล่องเงินบริจาคของเวทีใหญ่วันนี้
เงินที่เห็นไม่รู้มีเท่าไหร่
แต่รับรองได้ว่ามากกว่าที่พวกนั้นเขาได้
ในเมื่อคุณก็ยังมีกล่องรับบริจาคได้
แล้วพวกเขาทำไมมีบ้างไม่ได้
เรื่องสุดท้าย
เป็นการรับรู้เรื่องราวไม่ดี ที่เกือบจะมีปัญหาใหญ่โต
หลังจากรมย์บ่จอยจากเหตุการณ์ที่ว่า
ก็เดินไปเดินมาถ่ายรูปไปและหาอะไรกินไปเรื่อยเปื่อย
ขณะเจ๊ดารณีกำลังออกมาร้องเพลงซึ้งๆ อยู่บนเวที
ตอนนั้นเราเดินอยู่บริเวณถนนกลางสนามหลวง
เห็นมีคนเดินมาฟ้องพวกการ์ด
ซึ่งก็เกือบเป็นชุดเดียวกัน
กับที่ไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ว่าเมื่อกี้
แล้วพวกการ์ดก็ทยอยกันเดินไปฝั่งวัดพระแก้ว
เราก็เลยรีบเดินตามไปห่างๆ คิดว่าคงมีเรื่องแน่ๆ
พวกการ์ดเขาถึงทยอยเดินตามกันไป
ไปเห็นควันพุ่งสูงๆ นึกว่ามีระเบิดควัน
ถามชาวบ้าน ชาวบ้านว่าไม่มีอะไร
ควันจากแม่ค้าขายของย่างแถวนั้น
พอเราหันไปที่พวกการ์ดอีกที
ก็เห็นอยู่กลางเวทีจัดงานวันแม่แล้ว
แต่ไม่รู้กำลังทำอะไร
เหมือนกำลังจับใครสักคน
ก็เลยรีบวิ่งไปดู
ด้วยความรีบเลยลืมปรับโหมดกล้อง
ให้เป็นถ่ายได้ดีและเร็ว
ในเหตุการณ์ที่ต้องใช้ความเร็ว
เลยถ่ายรูปออกมาเบลอๆ
และนานกว่าจะบันทึกเสร็จแต่ละรูป
ทำให้พลาดฉากสำคัญหลายๆ ฉาก
เล่าให้ฟังคร่าวๆ แล้วกัน
มีชายใส่ชุดสีน้ำเงิน
ถือโทรโข่งมาพูดอะไรไม่รู้แถวนั้น
พวกการ์ดนึกว่าเป็นตัวป่วนจากพวกเสื้อน้ำเงิน
เพราะมีคนไปแจ้งตามที่เล่าเมื่อกี้
ก็เลยตรงไปพยายามจับ
แต่ชายร่างใหญ่คนนั้นก็ดิ้นหนัก
อยู่ๆ มีเด็กหนุ่มเสื้อแดงมาจับขาชายคนนั้น
ทำให้เขาต้องอยู่ในท่ากำลังนอนแบบรูปข้างล่างนี้
ซึ่งทราบต่อมาว่าโดนตีที่หัวด้วย
แต่ไม่รู้ว่าโดนอะไรหรือใครทำ
มองไม่ทัน คนมุงเยอะ
และเรามัวแต่พยายามจับภาพให้ได้
เพราะคิดว่าเป็นตัวป่วนเหมือนกัน
เราพยายามร้องห้าม
อย่าไปทำร้ายเขา
เพราะเห็นมีบางคนวิ่งเข้ามาจะรุม
บอกให้พาไปสอบปากคำดีกว่า
ซึ่งตอนนั้นรู้สึกมีเราถ่ายรูปอยู่คนเดียว
เพราะเราเดินตามการ์ดมา
ไม่มีช่างภาพที่ไหนตามมาด้วย
ก็พยายามบันทึกเหตุการณ์ให้ได้มากที่สุด
และร้องห้ามไปในตัวว่า อย่าไปทำร้ายเขา
ชายคนนั้นก็พยายามตะโกนให้เพื่อนเข้ามาช่วย
แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครเข้ามา
ไม่รู้มากันกี่คนด้วย
สักพักการ์ดก็พาชายเสื้อน้ำเงิิน
ที่โดนล็อคจนดิ้นไม่หลุด
เดินเลยที่จอดรถสุขามาได้หน่อยหนึ่ง
พรรคพวกเขาก็วิ่งตามมาทัน
แล้วเอาบัตรอะไรมาให้ดู
ซึ่งจากรูปด้านล่างคือคนเสื้อขาว
(ส่วนชายที่ถูกจับคือคนเสื้อน้ำเงิน)
หลังจากการ์ดคนนั้นดูแล้ว
ก็ปล่อยตัวคนเสื้อน้ำเงินนั้นทันที
ซึ่งสอบถามภายหลังได้ความว่า
เป็นเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิ 5 ธันวา
มาดูแลสถานที่จัดงานวันแม่
เขาใช้คำว่าบริเวณที่เกิดเรื่อง
เป็นเขตพระราชฐาน
หรืออะไรจำไม่ค่อยได้ประมาณนั้น
เพราะกำลังจะจัดงาน
แล้วมีคนนอนอยู่แถวนั้นเต็มไปหมด
แล้วมีรถจอดล้ำเขตรั้วกั้นเข้าไป
เขาเลยโทรโข่งให้ออกจากพื้นที่
คือเขาจะเคลียร์พื้นที่
แต่ด้วยท่าทางและเสื้อที่ใส่สีน้ำเงิน
คนเลยเข้าใจผิด
และเพื่อนอีกคนก็ใส่สีเหลืองอีกต่างหาก
ชาวบ้านเขาก็มีสิทธิ์ที่จะคิดว่า
เป็นพวกแก๊งส์ป่วนเลยไปแจ้งพวกการ์ด
การ์ดพวกนี้ก็ตามฟอร์ม
ไม่ได้สอบถามอะไรเลย
มาถึงกะลุยกันอย่างเดียว
แทนที่จะโยนเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ที่มีจำนวนมาก รอบสนามหลวง
กลับไปลงมือโดยไม่ทันได้ตรวจสอบ
ถึงเป็นเจตนากลุ่มคนมายั่วยุก็ตาม
แต่ก็อยู่ในเขตของเขา
ไม่ควรจะเข้าไปทำแบบนั้น
เราและการ์ดคนนั้น
เลยขอโทษแทนพวกการ์ดเหล่า่นั้นด้วย
แต่ไม่รู้ว่าคนที่โดนต่อยหรือโดนอะไรที่หัว
เห็นเขาบอกว่ามีอะไรโดนที่หัว
เขาจะเอาเรื่องหรือไม่
ซึ่งถ้าห้ามไว้ไม่ทัน
อาจมีข่าวพาดหน้าหนึ่งวันพรุ่งนี้ก็ได้ว่า
"คนเสื้อแดงรุมตีคนของมูลนิธิ 5 ธันวา
ที่จะจัดงานวันแม่ ปางตาย" ได้
แล้วคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ทำงานกันอย่างงี้
จะลุยกันท่าเดียว
ไม่คิดสอบถามอะไรก่อน
แถมไม่ใช่หน้าที่ด้วยที่จะลุย
ตำรวจมีเยอะแยะไม่ไปเรียก
ทำเหมือนเรื่องไม้จิ้มฟัน
ที่เราอธิบายให้คนที่นวดเท้าเรา้ฟัง
เมื่อเธอพยายามกดลงที่หน้าแข็งเรา
โดยเธอยกเท้าเราขึ้นหน่อยหนึ่ง
แล้วเราเกร็งไม่ให้เธอกดลงมา
และบอกว่าเธอจะทำให้ขาฉันหักได้
คนนวดเท้าคนนั้นยังเถียงกลับอีกน่ะว่า
ไม่หักหรอก แต่เราว่าหักได้
ถ้าไม่หักก็ต้องนอนราบ
แล้วกดได้ตามสบาย
แต่นั่งเก้าอี้แบบนี้
แถมจับขายกข้างหนึ่ง
แล้วมากดแรงๆ ระหว่างกลาง
ก็ไม่ต่างอะไรกับไม้จิ้มฟันเล็กๆ
ที่ว่างกับพื้นราบกดให้ตายก็ไม่หัก
แต่ถ้าจับปลายข้างหนึ่งยกสูงขึ้นหน่อยหนึ่ง
ปลายอีกข้างติดกับโต๊ะ
แล้วออกแรงกดตรงกลาง
มันจะหักทันที
นี่เป็นสิ่งที่บอกว่า
ทฤษฎีที่เรียนมา
มันต้องมาประยุกต์ใช้ด้วย
เพราะสถานการณ์มันอาจต่างกัน
ไม่ใช่ว่าจะใช้แบบเดิม
ไปได้ตลอดทุกสถานการณ์
อย่างกรณีการ์ดนี่ก็เหมือนกัน
มันต้องสอบถามก่อน
และควรรู้จักคนให้มากกว่านี้
รวมทั้งเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
เพื่อประกอบการตัดสินใจ
แล้วควรตัดสินใจได้เองด้วย
ไม่ใช่นายสั่งมาต้องทำตาม
สั่งให้ไปตายจะไปไหม
ถ้าคิดว่าต้องทำตามคำสั่งไปทุกเรื่อง
โดยไม่ไตร่ตรอง
แถมคนสั่งก็ไม่เห็นเหตุการณ์
คนลงมือทำก็อีกพวก
และทางที่ดีควรแบ่งแยกหน้าที่กันทำ
ตามระบบ Put the right man on the right job.
ไม่ใช่รับเหมาหมดทุกหน้าที่
หรือตั้งคนกันส่งเดชเล่นพรรคเล่นพวก
ซึ่งก็อาจทำให้มีบางเรื่อง
ทำกันจนเกิดความเสียหาย
เพราะว่าไม่รู้จริง
โดย มาหาอะไร
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.