บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


11 กุมภาพันธ์ 2554

<<< ต้องปฏิวัติตนเอง ก่อนปฏิวัติผู้อื่น >>>

อาจเริ่มจากการ กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง
นีเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการปฏิวัติตนเอง
ตามที่ผมเขียนเอาไว้นานแล้วเรื่องนี้ ที่นี่
<<< กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/09/blog-post_03.html

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการรับแรงบันดาลใจ
จากการจุดประกายของผู้รู้ ผู้ทำแล้วสำเร็จ
เช่นกรณีนี้
<<< อัมเบดการ์ ผู้นำในการต่อต้านอวตาร >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/01/blog-post_17.html

หรือหลายๆ เหตุการณ์ที่เป็นแรงบันดาลใจในการลุกขึ้นสู้
เช่น กรณีการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคของสตรี
<<< ย้อนอดีตวันสตรีสากล ความหมายคำว่าคนเหมือนกัน ไม่ว่าฉันหรือเธอ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/03/blog-post_803.html

การปฏิวัติก็มีหลายรูปแบบ และหลายเรื่อง
เช่น ปฏิวัติด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม
หรือปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ วงการกีฬา หรือวงการศึกษา
ไม่ว่าคิดจะปฏิวัตเรื่องไหนก็ตาม
มันก็คือการคิดที่จะไปปฏิวัติผู้อื่นให้ทำตามแนวคิดเรา
ดังนั้นทางที่ดีควรคิดเริ่มปฏิวัติตนเองให้ได้ก่อน

หากคุณยังไม่กล้าที่จะคิดเอง ไม่กล้าลงมือทำด้วย แถมไม่กล้านำตนเอง
แล้วจะเรียกร้องให้ปฏิวัติเรื่องอะไรก็แล้วแต่
ผมว่าปฏิวัติเสร็จก็ได้แค่ว่าได้ปฏิวัติ แต่สภาพความเป็นจริง
คือ คุณยังเป็นผู้ทำตามคำสั่งเหมือนเคย
ไม่ว่าจะเรียกรูปแบบใหม่ว่ายังไงมีลักษณะยังไงก็ตาม
แต่คุณก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตนเองเลย
ยังเป็นคนที่พร้อมทำตามสั่งของผู้นำทุกอย่างเหมือนเดิม
คุณไปร่วมมือปฏิวัติเรื่องอะไรโดยที่คุณไม่ได้เห็นคุณค่าสิ่งนั้นจริงๆ
แค่ทำตามกระแสตามๆ กันไปแค่นั้นเอง
ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่การปฏิวัติที่ดีแน่ๆ
น่าจะเป็นแค่การเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง
โดยที่คุณก็ยังเหมือนเดิมคือทำตามสั่งผู้นำ
แค่เปลี่ยนจากคำสั่งของอีกพวกหนึ่ง
มาเป็นคำสั่งของอีกพวกหนึ่งเท่านั้นเอง
ไม่มีอะไรดีขึ้นมา

ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ อีกที
สมมุติว่าคุณต้องการปฏิวัติเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ซึ่งก็มีหลายๆ รูปแบบแล้วแต่จะอ้างกัน
แต่ถ้าพฤติกรรมคุณไม่เปลี่ยนเลย
ผู้นำว่ายังไงก็เฮตาม แถมยังทำตัวเป็นการ์ดรุมพวกมาตำหนิผู้นำ
ต่อให้ผู้นำและคุณทำการเปลี่ยนแปลงได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ในความคิดของคุณแล้ว แต่จริงๆ แล้ว
มันใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือเปล่า
รูปแบบที่คุณทำๆ กันอยู่ คนที่อยู่วงนอกจะมองเห็น

เหมือนคนเตะบอลกับผู้ชม
ต่อให้เล่นบอลไม่เป็นแต่ดูออกว่าคุณเล่นดีหรือไม่
ต่อให้คุณเถียงว่าวันนี้ฉันเล่นได้สุดยอดเลยก็ตาม
แต่ผู้ชมอาจไม่คิดยังงั้นเพราะเขามองเห็นทั้งสนาม
เขาไม่ได้เห็นเฉพาะจุดที่คุณยืนอยู่
การทำเกมร่วมกับทีมดีไม่ดีเขามองเห็น
ไม่ใช่เลี้ยงบอลเก่งหลบไปหลบมาไม่คิดส่งบอลให้เพื่อน
พาบอลไปเรื่อยเปื่อยแต่ไม่จบด้วยประตู
ยังงี้ดูยังไงก็ไม่มีทางเรียกว่าเล่นได้ดี

ถ้าคุณเปลี่ยนตัวเองได้
อย่างง่ายๆ แค่ 3 อย่างที่ผมว่า คือ
กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง
จะไปเพิ่มอะไรภายหลังก็ว่ากันไป
แค่ทำได้แค่ 3 อย่างในตอนนี้
โดยมีคนทำแบบนี้เป็นแสนๆ คน
นี่เป็นการปฏิวัติสังคม
โดยที่ไม่จำเป็นต้องปล่าวประกาศ
ว่าจะปฏิวัติอะไรด้วยซ้ำ
เพราะสังคมไทย คนส่วนใหญ่
อาจกล้าคิดแต่ไม่กล้าเสนอความคิด
อาจกล้าทำแต่กล้าทำแบบเงียบๆ คนเดียว
แต่ไม่มีความมั่นใจในการกล้านำตนเองเหมือนสังคมฝรั่ง
ต้องมีผู้นำ อยากเป็นผู้ตาม
หรือไม่กล้าขัดผู้นำก็เลยกลายสภาพ
เป็นผู้ยอมทำตามอย่างเดียวกันเสียส่วนใหญ่

ดังนั้นแนวทางปฏิวัติต้องเริ่มจากการลงมือทำด้วยตนเอง
หรือทำตนเองให้ได้ไม่ทั้งหมดก็ยังดีที่เริ่มคิดทำ
ไม่ใช่การรอคัมภีร์การปฏิวัติที่ใครเขียน แล้วนำมาอ้างอิงตามคัมภีร์
แต่ว่าไม่คิดจะปฏิบัติคล้ายๆ นำคัมภีร์ปฏิวัติอะไรมาอ้างไปยังงั้นเอง
เพื่อหวังผลการเปลี่ยนแปลงแค่ได้เปลี่ยนแปลงก็พอใจแล้ว
เมื่อชนะแล้วก็เลิกสนใจคัมภีร์ปฎิวัติที่นำมาอ้าง
แบบนี้สู้ปฏิวัติตนเองให้ได้
แม้จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไม่สำเร็จอย่างที่หวังในตอนนี้
แต่ก็สามารถบีบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ในไม่ช้า
ถ้ามีคนที่ทำการปฏิวัติตนเองได้มากๆ เป็นแสนๆ คน
ลองหลับตานึกสภาพคนไทย ที่มีแนวคิดเหมือนฝรั่ง
การทำรัฐประหารอะไรก็เกิดได้ยาก
การรักความเท่าเทียม รักความเสมอภาคอะไร จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ
เพราะมันถูกปลูกฝังไว้ในแต่ละคน เมื่อมีคนแบบนี้เยอะๆ ในสังคม
การรัฐประหารจะหมดไปคล้ายๆ สังคมฝรั่งตอนนี้
หรือการเคารพสิทธิเสรีภาพต่างๆ ก็เช่นกัน จะมีมากขึ้น
เพราะไม่มีผู้มีอำนาจที่ไหนกล้ายุ่ง
กับคนที่หวงสิทธิเสรีภาพของตนเองจำนวนมากๆ แบบนี้
พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ
ถ้าคิดจะเลียนแบบวิธีการปกครองของฝรั่ง
ก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเป็นแบบฝรั่งด้วย

โดย มาหาอะไร
FfF