อาจเริ่มจากการ กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง
นีเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการปฏิวัติตนเอง
ตามที่ผมเขียนเอาไว้นานแล้วเรื่องนี้ ที่นี่
<<< กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/09/blog-post_03.html
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการรับแรงบันดาลใจ
จากการจุดประกายของผู้รู้ ผู้ทำแล้วสำเร็จ
เช่นกรณีนี้
<<< อัมเบดการ์ ผู้นำในการต่อต้านอวตาร >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/01/blog-post_17.html
หรือหลายๆ เหตุการณ์ที่เป็นแรงบันดาลใจในการลุกขึ้นสู้
เช่น กรณีการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคของสตรี
<<< ย้อนอดีตวันสตรีสากล ความหมายคำว่าคนเหมือนกัน ไม่ว่าฉันหรือเธอ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/03/blog-post_803.html
การปฏิวัติก็มีหลายรูปแบบ และหลายเรื่อง
เช่น ปฏิวัติด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม
หรือปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ วงการกีฬา หรือวงการศึกษา
ไม่ว่าคิดจะปฏิวัตเรื่องไหนก็ตาม
มันก็คือการคิดที่จะไปปฏิวัติผู้อื่นให้ทำตามแนวคิดเรา
ดังนั้นทางที่ดีควรคิดเริ่มปฏิวัติตนเองให้ได้ก่อน
หากคุณยังไม่กล้าที่จะคิดเอง ไม่กล้าลงมือทำด้วย แถมไม่กล้านำตนเอง
แล้วจะเรียกร้องให้ปฏิวัติเรื่องอะไรก็แล้วแต่
ผมว่าปฏิวัติเสร็จก็ได้แค่ว่าได้ปฏิวัติ แต่สภาพความเป็นจริง
คือ คุณยังเป็นผู้ทำตามคำสั่งเหมือนเคย
ไม่ว่าจะเรียกรูปแบบใหม่ว่ายังไงมีลักษณะยังไงก็ตาม
แต่คุณก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตนเองเลย
ยังเป็นคนที่พร้อมทำตามสั่งของผู้นำทุกอย่างเหมือนเดิม
คุณไปร่วมมือปฏิวัติเรื่องอะไรโดยที่คุณไม่ได้เห็นคุณค่าสิ่งนั้นจริงๆ
แค่ทำตามกระแสตามๆ กันไปแค่นั้นเอง
ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่การปฏิวัติที่ดีแน่ๆ
น่าจะเป็นแค่การเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง
โดยที่คุณก็ยังเหมือนเดิมคือทำตามสั่งผู้นำ
แค่เปลี่ยนจากคำสั่งของอีกพวกหนึ่ง
มาเป็นคำสั่งของอีกพวกหนึ่งเท่านั้นเอง
ไม่มีอะไรดีขึ้นมา
ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ อีกที
สมมุติว่าคุณต้องการปฏิวัติเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ซึ่งก็มีหลายๆ รูปแบบแล้วแต่จะอ้างกัน
แต่ถ้าพฤติกรรมคุณไม่เปลี่ยนเลย
ผู้นำว่ายังไงก็เฮตาม แถมยังทำตัวเป็นการ์ดรุมพวกมาตำหนิผู้นำ
ต่อให้ผู้นำและคุณทำการเปลี่ยนแปลงได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ในความคิดของคุณแล้ว แต่จริงๆ แล้ว
มันใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือเปล่า
รูปแบบที่คุณทำๆ กันอยู่ คนที่อยู่วงนอกจะมองเห็น
เหมือนคนเตะบอลกับผู้ชม
ต่อให้เล่นบอลไม่เป็นแต่ดูออกว่าคุณเล่นดีหรือไม่
ต่อให้คุณเถียงว่าวันนี้ฉันเล่นได้สุดยอดเลยก็ตาม
แต่ผู้ชมอาจไม่คิดยังงั้นเพราะเขามองเห็นทั้งสนาม
เขาไม่ได้เห็นเฉพาะจุดที่คุณยืนอยู่
การทำเกมร่วมกับทีมดีไม่ดีเขามองเห็น
ไม่ใช่เลี้ยงบอลเก่งหลบไปหลบมาไม่คิดส่งบอลให้เพื่อน
พาบอลไปเรื่อยเปื่อยแต่ไม่จบด้วยประตู
ยังงี้ดูยังไงก็ไม่มีทางเรียกว่าเล่นได้ดี
ถ้าคุณเปลี่ยนตัวเองได้
อย่างง่ายๆ แค่ 3 อย่างที่ผมว่า คือ
กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง
จะไปเพิ่มอะไรภายหลังก็ว่ากันไป
แค่ทำได้แค่ 3 อย่างในตอนนี้
โดยมีคนทำแบบนี้เป็นแสนๆ คน
นี่เป็นการปฏิวัติสังคม
โดยที่ไม่จำเป็นต้องปล่าวประกาศ
ว่าจะปฏิวัติอะไรด้วยซ้ำ
เพราะสังคมไทย คนส่วนใหญ่
อาจกล้าคิดแต่ไม่กล้าเสนอความคิด
อาจกล้าทำแต่กล้าทำแบบเงียบๆ คนเดียว
แต่ไม่มีความมั่นใจในการกล้านำตนเองเหมือนสังคมฝรั่ง
ต้องมีผู้นำ อยากเป็นผู้ตาม
หรือไม่กล้าขัดผู้นำก็เลยกลายสภาพ
เป็นผู้ยอมทำตามอย่างเดียวกันเสียส่วนใหญ่
ดังนั้นแนวทางปฏิวัติต้องเริ่มจากการลงมือทำด้วยตนเอง
หรือทำตนเองให้ได้ไม่ทั้งหมดก็ยังดีที่เริ่มคิดทำ
ไม่ใช่การรอคัมภีร์การปฏิวัติที่ใครเขียน แล้วนำมาอ้างอิงตามคัมภีร์
แต่ว่าไม่คิดจะปฏิบัติคล้ายๆ นำคัมภีร์ปฏิวัติอะไรมาอ้างไปยังงั้นเอง
เพื่อหวังผลการเปลี่ยนแปลงแค่ได้เปลี่ยนแปลงก็พอใจแล้ว
เมื่อชนะแล้วก็เลิกสนใจคัมภีร์ปฎิวัติที่นำมาอ้าง
แบบนี้สู้ปฏิวัติตนเองให้ได้
แม้จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไม่สำเร็จอย่างที่หวังในตอนนี้
แต่ก็สามารถบีบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ในไม่ช้า
ถ้ามีคนที่ทำการปฏิวัติตนเองได้มากๆ เป็นแสนๆ คน
ลองหลับตานึกสภาพคนไทย ที่มีแนวคิดเหมือนฝรั่ง
การทำรัฐประหารอะไรก็เกิดได้ยาก
การรักความเท่าเทียม รักความเสมอภาคอะไร จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ
เพราะมันถูกปลูกฝังไว้ในแต่ละคน เมื่อมีคนแบบนี้เยอะๆ ในสังคม
การรัฐประหารจะหมดไปคล้ายๆ สังคมฝรั่งตอนนี้
หรือการเคารพสิทธิเสรีภาพต่างๆ ก็เช่นกัน จะมีมากขึ้น
เพราะไม่มีผู้มีอำนาจที่ไหนกล้ายุ่ง
กับคนที่หวงสิทธิเสรีภาพของตนเองจำนวนมากๆ แบบนี้
พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ
ถ้าคิดจะเลียนแบบวิธีการปกครองของฝรั่ง
ก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเป็นแบบฝรั่งด้วย
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.