บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


23 มิถุนายน 2554

<<< เทคนิคการหาเสียงผ่านคดีความ >>>

“สนธิ” ร้อง กกต.ยุบเพื่อไทย ปล่อย “นช.แม้ว”ครอบงำ -เล็งเชือดพรรคอื่นต่อ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 มิถุนายน 2554 18:08 น.

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น


นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(ภาพจากแฟ้ม)





“สนธิ” ลงนามมอบหมายโฆษกพันธมิตรฯ-เลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน ยื่นคำร้อง กกต.ออกคำสั่งยุบพรรคเพื่อไทย เหตุปล่อยให้ “นช.ทักษิณ” ซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองครอบงำพรรค ชี้ขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 4, มาตรา 94(1) (2) (3) และมาตรา 66 อย่างชัดเจน เผย จะทยอยยุบพรรคที่เข้าข่ายกระทำผิดเพิ่มในภายหลังด้าน “ปานเทพ” ชี้ ภาค ปชช.เชื่อจัดการเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สุจริตเที่ยงธรรม และมีการใช้อิทธิพลทุกรูปแบบ ขัดต่อครรลองของระบอบประชาธิปไตย ซึ่ง กกต.ต้องรับผิดชอบ และหากทำไม่ได้ก็ให้ลาออกไป

วันนี้ (21 มิ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง อาคารศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน ได้เดินทางเข้ายื่นคำร้องขอให้ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมือง ออกคำสั่งยุบพรรคเพื่อไทย จากกรณีที่มีพฤติกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง และอยู่ในฐานะนักโทษหลบหนีคดีอาญา มีอำนาจสั่งการเหนือพรรคเพื่อไทย โดยได้แนบเอกสารหลักฐานจำนวน 13 รายการประกอบการพิจารณา โดยมี นายอำนวย น้อยโสภา ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการสนับสนุน กกต.เป็นผู้รับเรื่อง

นายปานเทพ กล่าวว่า วันนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ลงนามในเอกสารเพื่อร่วมร้องเรียนพร้อมกับตน และพรรคเพื่อฟ้าดิน โดยเรือตรี แซมดิน เพื่อมาร้องต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย โดยนำเอกสารทั้งหมด 13 ชิ้น เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นอยู่ในฐานะที่ถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง ตามคำพิพากษาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และอยู่ในฐานะผู้ที่เป็นนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน แต่กลับเป็นผู้บงการ มีคำสั่งชี้นำให้กับพรรคเพื่อไทยในการกำหนดนโยบาย

โดยมีคำปรากฏหลายประการ เช่น ป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย เขียนว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หรือแม้กระทั่งกรณีคำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ตัวแทนผู้สมัครเหล่านั้นเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นหลักฐานเพียงบางส่วนจากจำนวนทั้งหมด 13 รายการ นอกจากนี้ ยังมีแผ่นวีซีดี เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและการโฟนอินทั้งหมด คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง รวมถึงผู้สมัครที่กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ หลายกรณี ทำให้เชื่อมโยงได้อย่างชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ นายสนธิ และตน จึงได้ลงนามในหนังสือ พร้อมด้วยพรรคเพื่อฟ้าดิน เพื่อขอให้ กกต.พิจารณายุบพรรคเพื่อไทย จากพฤติกรรมที่ถือว่าเป็นการกระทำความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 4, มาตรา 94(1) (2) (3) และมาตรา 66 นอกจากนี้ ยังปรากฏที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ได้ร่วมกันรับบริจาคเงินชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ ต่อมาบุคคลทั้งสองกับพวกถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย ดังนั้น การที่พรรคเพื่อไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำการข้างต้น จึงต้องถูกยุบพรรคตามมาตรา 94(1) (2) (3) และ (5) นอกจากนั้น หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค ซึ่งยินยอมให้มีการกระทำดังกล่าวจึงต้องรับโทษตามมาตรา 166 ด้วย นั่นหมายความว่า ต้องรับโทษในการยุบพรรค ถูกพิจารณายุบพรรค และถูกดำเนินคดีอาญาต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการยื่นฟ้องยุบพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ หลักฐานใดที่ชัดเจนที่สุด นายปานเทพ กล่าวว่า หลักฐานที่ชัดที่สุด คือ ป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ระบุว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” บวกกับคำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้สมัครเหล่านี้เป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น เรียกว่า นายห้างตราดูไบห่อ เพื่อเป็นการประทับตรานายห้างดูไบของตัวเอง ซึ่งเป็นคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอง

นอกจากนี้ ยังพูดอย่างชัดเจนในการชุมนุมของคนเสื้อแดง ว่า หากพรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล หนี้สินของประชาชนจะหมดในไม่ช้า หรือที่กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สมัครก็เหมือนตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคำสัมภาษณ์ในการกล่าวโฟนอิน วิดีโอ ลิงก์ ยังไม่นับอีกมากมายที่สมาชิกพรรคเพื่อไทย และผู้สมัครพรรคเพื่อไทยประกาศในทางสาธารณะว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แม้กระทั่งเป็นผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งเป็นที่ชัดเจนและเปิดเผยในทางสาธารณะ รวมทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ยังได้พูดบ่อยครั้งว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้องนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปหาเสียง

เมื่อถามต่อว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีคนยื่นคำร้องในลักษณะเช่นนี้ต่อ กกต.และเคยวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวไม่มีความผิด นายปานเทพกล่าวว่า ต้องถือเป็นคนละกรณี เพราะตอนนั้นยังไม่เข้าสู่ช่วงเวลาที่มีความชัดเจนมากขึ้น แต่หลักฐานที่เปลี่ยนไปและเวลาผ่านไปมันชัดเจนมากขึ้น และเราก็คิดว่าในช่วงหลังนี้เป็นการเปิดตัวชัดเจน เราไม่เห็นว่าการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งที่ถูกพิพากษาไปนั้น จะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของคำพิพากษาแต่ประการใด แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งที่ไม่สามารถเกี่ยวข้องทาง การเมืองได้แล้ว กลับเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นผู้บงการได้โดยตรง เป็นผู้ประกาศโดยตรงว่า ผู้สมัครเหล่านั้นเป็นตัวแทนของตนเอง โดยที่ผู้สมัครก็ยินดีพร้อมใจกันหาเสียงในทำนองแบบนี้เช่นเดียวกัน มีทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายสนอง ตอบรับกันทั้งสองฝั่ง ก็น่าจะเป็นหลักฐานที่เพิ่มเติมมากกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา

ต่อข้อถามว่า จะมียื่นในส่วนของพรรคการเมืองอื่นด้วยหรือไม่ เพราะหลายพรรคก็มีบุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง นายปานเทพ กล่าวว่า จะมีการดำเนินการในลำดับถัดไป โดยได้คุยกับพรรคเพื่อฟ้าดิน และทางทีมทนาย ว่า ในอีกไม่นานคงอาจจะต้องมีมาตรการในการยุบอีกหลายพรรคการเมือง ซึ่งทางพรรคเพื่อฟ้าดินและพันธมิตรฯ จะยื่นคำร้องต่อ กกต. เช่น การใช้นโยบายสัญญาว่าจะให้อย่างชัดเจน ที่วัดเป็นผลประโยชน์ได้ เป็นเม็ดเงินได้ มีหลายพรรคการเมืองเป็นแบบนั้น ทั้งๆ ที่บางอย่างเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ก็ยังประกาศกัน ถือว่าเป็นการจูงใจ สัญญาว่าจะให้ หรือจะให้ถ้าได้รับการเลือกตั้ง

สิ่งเหล่านี้ กกต.เมื่อปี 2544 ก็เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันมาแล้ว ซึ่งเราเห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว กกต.อาจจะไม่มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้ ก็ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นฝ่ายวินิจฉัย เพราะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะนับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ทำให้นโยบายหาเสียงที่เรียกว่าประชานิยม ใช้กับทุกพรรคการเมือง ใช้กับนโยบายพรรคการเมืองแบบบ้าระห่ำ ใช้เงินนับล้านๆ บาท ทั้งที่หลายกรณีและหลายนโยบายเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ก็ยังมีการใช้นโยบายเช่นนี้ดำเนินการต่อไป เราเห็นว่าขั้นตอนต่อไปจะมีมาตรการยื่นคำร้องต่อ กกต.ให้ยุบพรรคการเมืองเหล่านี้ด้วยซ้ำ เพราะถือว่าเป็นการซื้อเสียงโดยนโยบาย ซึ่งอาจจะมีอีกหลายพรรค ยกเว้นพรรคเพื่อฟ้าดินที่ไม่มีนโยบายหาเสียงที่ใช้ประชานิยมหรือสัญญาว่าจะ ให้ ถ้าได้รับการเลือกตั้ง เรื่องนี้คงต้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่วินิจฉัยโดย กกต.ซึ่งคาดว่าในสัปดาห์หน้าจะยุบพรรคเพิ่มเติมต่อไป

เมื่อถามว่า ป้ายหาเสียง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ถือว่าเข้าข่ายทางกฎหมายหรือไม่ เพราะถือว่าเป็นกลยุทธ์ในการหาเสียง นายปานเทพกล่าวว่า กลยุทธ์อย่างไร คำว่าทักษิณก็เป็นที่รู้กันว่าหมายถึงใคร ประชาชนย่อมเข้าใจตรงกัน การที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดบนเวที ใช้ทวิตเตอร์ โฟนอิน วีดีโอ ลิงก์ ผนวกกับพรรคเพื่อไทยนำความคิดเช่นนี้ไปประกาศทางสาธารณะ ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจมากในทางเปิดเผย จึงเห็นว่ากรณีแบบนี้ไม่ใช่เป็นการหลบซ่อนหรือเลี่ยงแล้ว แต่เป็นการเปิดเผยตัวเองอย่างชัดเจน ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เอง เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลอื่นที่ กกต.จะปล่อยผ่านไว้โดยไม่มีการยุบพรรคการเมืองพรรคนี้

เมื่อถามว่า เป็นเจตนาหรือไม่ที่ยื่นฟ้องยุบพรรคการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือก ตั้ง นายปานเทพกล่าวว่า ถ้าทำเอกสารทันเราก็ทำให้ทันและเร็วที่สุด ซึ่งมีหลายเรื่องที่ต้องทำ แม้กระทั่งวันนี้สิ่งที่ภาคประชาชนยอมรับว่าเป็นห่วงที่สุด ก็คือ การเลือกตั้งไม่มีความสุจริตเที่ยงธรรม การทุจริตการเลือกตั้ง ซื้อสิทธิขายเสียงเกิดระบาดมากตั้งแต่หัวละ 1,000-3,000 บาทต่อหัว มีการใช้อาวุธยิงหัวคะแนน จนต้องมีทั้งเสื้อเกราะและตำรวจคุ้มกัน ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 400 คน มีการทุบรื้อทำลายป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองจำนวนมาก อันนี้ไม่ใช่วิถีทางการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นการเลือกตั้งแบบบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่ใช้เงินและอาวุธเป็นตัวนำ ใช้อิทธิพลและการข่มขู่อันธพาลเป็นตัวนำ ย่อมไม่ถือว่าเป็นครรลองของระบอบประชาธิปไตย กกต.ต้องรับผิดชอบ ถ้าทำไม่ได้ก็คงต้องลาออก

เมื่อถามว่า นอกจากหนังสือที่ยื่นต่อ กกต.แล้วยังมีหลักฐานอื่นๆ หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า มีซีดี มีทั้งภาพข่าว วิดีโอลิงก์ โฟนอิน หลายหลักฐาน ซึ่งอันที่จริงเรารวบรวมมานานแล้ว แต่ก็รอจังหวะเวลาให้หลักฐานชัดกระทั่งมีป้ายคำว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ชัดเจนที่สุด

สำหรับรายละเอียดหนังสือที่ นายสนธิ ยื่นคำร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ เรื่อง ขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย มีใจความดังนี้
วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๔

เรื่อง ขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย

เรียน นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง

สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑.ข่าว กกต.เกี่ยวกับพลังประชาชนผิดคดีนอมินี
๒.ข่าวเกี่ยวกับแกนนำพรรคเพื่อไทยบินไปพบพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
๓.ข่าวนโยบายหาเสียงทักษิณคิด เพื่อไทยทำ
๔.ข่าวทีมเศรษฐกิจทักษิณเปิดนโยบายหาเสียง
๕.ข่าวเกี่ยวกับทักษิณวีโอลิงก์เปิดนโยบายพรรคเพื่อไทย
๖.ข่าวคำต่อคำทักษิณเปิดนโยบาย
๗.ข่าวทักษิณมั่นใจเพื่อไทยเป็นรัฐบาล
๘.ข่าวเพื่อไทยเปิดตัว ส.ส.ชูสโลแกน ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ
๙.ภาพป้ายทักษิณคิด เพื่อไทยทำ
๑๐.คำพูดของทักษิณที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง
๑๑.ข่าวเกี่ยวกับทักษิณโฟนอินจังหวัดต่างๆ
๑๒.คำถอดเทปคลิปเสียงโฟนอินของทักษิณ
๑๓.แผ่นวีซีดีทักษิณเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการโฟนอิน

ตามที่พรรคเพื่อไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๖ ได้รับการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองจากนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งหลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ แล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกพรรคเกือบทั้วหมดได้ย้ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อ ไทย โดยในการยุบพรรคการเมืองครั้งนี้ส่งผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปด้วย

ผู้ร้องขอเรียนว่า พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เป็นบุคคลที่มีอำนาจสั่งการในพรรคเพื่อไทยและอยู่เบื้องหลังทางการเมืองใน ประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังต่อไปนี้

๑.พรรคพลังประชาชนนั้น เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาโดยพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร รายละเอียดปรากฏตามข่าวของ กกต.สิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑ ซึ่งหลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบตามคำวินิจฉัยที่ ๓-๕/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ นั้น วินิจฉัยว่า “ผู้ร้องที่ ๑ มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติ เพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้า ดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือไปจากครรลองที่กำหนดในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอด จนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จนยากที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้อง พฤติการณ์ของผู้ร้องที่ ๑ ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องที่ ๑ ไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการ เมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป กรณีจึงมีเหตุอันสมควรยุบพรรคผู้ถูกร้องที่ ๑ ...อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คณะตุลาการรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๖๗ ประกอบมาตรา ๖๖(๑) และ (๓) กับให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองผู้ถูกร้องที่ ๑ จำนวน ๑๑๑ คน ...มีกำหนด ๕ ปีนับแต่วันที่มีคำสั่งยุบพรรคการเมือง” ดังนั้นพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร จึงถูกตัดสิทธิทางการเมือง

๒.เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๑ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อม.๑/๒๕๕๐ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๐ ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ - พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ที่ ๑, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่ ๒ จำเลย ในฐานความผิด เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ว่า “เมื่อพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดดังที่ได้วินิจฉัยมาดังกล่าวข้างต้น ซึ่งขณะที่เกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมายไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชน แต่จำเลยที่ ๑ กลับฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ทั้งที่จำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้ารัฐบาลต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมือง ให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจในตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่งนี้ จึงไม่สมควรรอการลงโทษ พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๐(๑) วรรคสามและมาตรา ๑๒๒ วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุก ๒ ปี

๓.วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ ๒๐/๒๕๕๑ ว่า “ให้ยุบพรรคพลังประชาชน ผู้ถูกร้อง เนื่องจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งมีผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ประกอบมาตรา ๒๓๗ วรรคสอง และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคพลังประชาชนและกรรมการบริหารพรรค พลังประชาชน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะที่กระทำความผิด เป็นระยะเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๓๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๖๘ วรรคสี่”

๔.วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ อม.๑๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๓ ว่า “ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การดำเนินการทั้ง ๕ กรณีดังกล่าวเป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรีของผู้ถูกกล่าวหา องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่า ผู้ถูกกล่าวหาใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัท ชินคอร์ป ตามคำร้อง ...พิพากษาว่า ให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน ๔๖,๓๗๓,๖๘๗,๔๕๔.๗๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝาก นับแต่วันฝากเงินจนถึงวันที่ธนาคารนำส่งเงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน”

จากข้อเท็จจริงข้อ ๑ ถึงข้อ ๔ จะเห็นได้ว่าพันตำรวจโททักษิณฯ เป็นผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ถูกศาลพิพากษาจำคุก ๒ ปี โดยไม่รอการลงโทษ และถูกศาลพิพากษายึดทรัพย์เนื่องจากการปฏิบัติหรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ นอกจากนี้ พรรคพลังประชาชนยังเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยก็ยังถูกศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยยุบพรรค อันเนื่องมากจากการกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่ง มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การที่พันตำรวจโททักษิณ ซึ่งเป็นบุคคลดังกล่าวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารพรรคเพื่อไทย ในการกำหนดนโยบายและหาเสียงเพื่อให้ประชาชนสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ให้ประชาชนพาตัวเองกลับประเทศหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ปรากฏรายละเอียดดังต่อไปนี้

๕.แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางไปพบพันตำรวจโททักษิณ ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ดูไบ) ซึ่งประกอบด้วย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง, นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพันตำรวจโททักษิณ ปัจจุบันเป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่ออันดับ ๑ ของพรรคเพื่อไทย, นางเยาวภา-นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ส.ส.เชียงใหม่ รวมทั้งแกนนำพรรคไทยรักไทย ได้แก่ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล และอดีตแกนนำพรรคพลังประชาชน คือ นายยงยุทธ ติยะไพรัช เพื่อหารือถึงการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และหารือถึงแนวทางนโยบายที่พรรคเพื่อไทยจะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งด้วย รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๒

๖.ได้มีข่าวจากพรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยถึงนโยบายที่จะเปิดตัวในวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๔ ว่า พันตำรวจโททักษิณ จะวิดีโอลิงก์เพื่อคิกออฟเปิดตัวนโยบายด้วยตนเอง โดยใช้สโลแกนว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย อันดับ ๓ และ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังเดินทางไปพบพันตำรวจโททักษิณ ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องทั่วไป รวมทั้งการเปิดนโยบายหาเสียงของพรรคในวันที่ ๒๓ เมษายน ที่ท่านจะวิดีโอลิงก์เข้ามาแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเรื่องการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ ที่ศูนย์ประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๔

๗.ซึ่งต่อมาวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๔ พันตำรวจโททักษิณ ได้วิดีโอลิงก์เข้ามาเมื่อเวลา ๑๐.๓๐ น.โดยใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง ว่า “...วันนี้นโยบายที่จะพูดเป็นการแนะนำที่มาจากพี่น้องประชาชน เพราะมีเบอร์โทรศัพท์ที่ประชาชนโทร.หาผมได้ องค์การส่วนท้องถิ่น ส.ส.ที่โทร.มาต่างบ่นความทุกข์ยากให้ฟัง และคณะกรรมการนโยบายจองพรรคก็มาช่วยกันคิด...ที่รวบรวมนโยบายเหล่านี้ เพื่อมาประทับตรานายห้างดูไบของตน... วันนี้จะเอากระดาษมาทำเป็นเงินให้ประชาชน และได้กล่าวถึงนโยบายของพรรคเพื่อไทย รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๕ ถึง ๗

๘.จากการเปิดตัวนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยพันตำรวจโททักษิณ ได้ชูสโลแกน ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ในป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยทั่วประเทศ ปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๘ ถึง ๙

๙.ในการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งบุคคลต่างๆ ได้พูดว่า ทักษิณ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง โดย พูดว่าสังคมทราบดีอยู่แล้วว่า พันตำรวจโททักษิณ คือเพื่อไทย และเพื่อไทย ก็คือ พันตำรวจโททักษิณ, เท่าที่ทราบคือ ให้พันตำรวจโททักษิณ คิดแล้วพรรคเพื่อไทยจะทำ, พันตำรวจโททักษิณ เห็นว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้แต่ละพรรคต้องสู้กันที่นโยบายให้ประชาชนพิจารณา โดยฝ่าย พันตำรวจโททักษิณ และพรรคเพื่อไทย จะเสนอให้มีการคืนสิทธิและคืนความเป็นธรรมและเยียวยาเหยื่อของความอยุติธรรม ที่เกิดขึ้นจากการยึดอำนาจ ฯลฯ รายละเอียดปรากฏตามข่าวที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑๐

๑๐.ในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พันตำรวจโททักษิณ ก็จะโฟนอินเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และได้ว่า “ ถ้าหากเลือกพรรคเพื่อไทยจนได้เป็นรัฐบาล หนี้สินของประชาชนจะหมดไปในไม่ช้า ข้าวเปลือกเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นอย่างต่ำ หนี้สินที่รัฐบาลทำไว้จะรีบใช้หมดอย่างรวดเร็ว นโยบายต่างประเทศต้องสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรู และยังฝากให้เลือกพรรคเพื่อไทย เมื่อได้เป็นรัฐบาล ตนจะกลับมาพัฒนาประเทศในสิ้นปีนี้”, “คนที่อยู่บนเวทีในขณะนี้เป็นตัวแทนของผม เพื่อมาช่วยแก้ไขปัญหา อยากให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งให้ได้ เพราะผมจะได้กลับมา และพี่น้องจะเป็นคนช่วยให้ผมกลับบ้าน อย่าเพิ่งลืมผม เดี๋ยวก็จะกลับไปแล้ว ผมฝากความหวังกับพี่น้องกับผม และเราไปถึงเป้าหมายเดียวกัน” และพูดโฟนอินที่จังหวัดอุดรธานีว่า “...ชาวอุดรเข้มแข็งที่สุด ผมอยากกลับบ้านแล้ว ตอนนี้ผมเก็บกระเป๋าแล้ว อภิสิทธิ์ บอกว่า เขาแพ้พรรคเพื่อไทย แต่ถ้าเขารวมพรรคเล็กพรรคน้อยได้เขาจะได้เป็นรัฐบาล แต่นโยบายของพรรคเพื่อไทย สามารถทำได้รวดเร็วทันใจ โดยจะปลดหนี้เพิ่มรายได้ก่อน และให้ลูกหลานได้เรียนฟรี มีคอมพิวเตอร์ใช้และถ้าผมกลับมาจะปราบยาเสพติดโดยอัตโนมัติเลยครับ มีรถไฟฟ้าความเร็วสูงทั่วประเทศ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ แก้ปัญหาน้ำท่วม ที่สำคัญจะทำให้พี่น้องมีน้ำใช้ตลอดปี” รายละเอียดปรากฏตามข่าวที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑๑

๑๑.นอกจากนี้ พันตำรวจโททักษิณ ยังได้โฟนอินไปตามสถานที่ต่างๆ เรียกร้องให้เลือกพรรคเพื่อไทย เพราะตนนี่แหละจะเป็นคนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยให้ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยจะได้นำตนเองกลับบ้าน” รายละเอียดปรากฏตามคำถอดเทปที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑๒ และแผ่นวีซีดีทักษิณเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการโฟนอินตามสิ่งที่ส่งมาด้วย อันดับ ๑๓

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นจึงเห็นได้ว่า พันตำรวจโททักษิณฯ ซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน และถูกตัดสิทธิทางการเมือง ๕ ปี เป็นผู้กำหนดนโยบายของพรรคเพื่อไทยและเป็นผู้คัดเลือกผู้สมัครบัญชีราย ชื่อ,สัดส่วนของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด อำนาจในการบริหารพรรคเพื่อไทยขึ้นอยู่กับพันตำรวจโททักษิณเพียงผู้เดียว และมีผู้ร่วมกระทำความผิดอีกด้วยกล่าวคือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่ออันดับ ๑ ของพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันกระทำความผิดกับพันตำรวจโททักษิณ ข้างต้นและได้ให้การสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอด ซึ่งการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงและแกนนำคนเสื้อแดงที่กระทำความผิดอาญา มีข้อหาผู้ก่อการร้าย และเผาบ้านเผาเมืองก็ได้รับเลือกจากพันตำรวจโททักษิณ ให้อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆ ของพรรคเพื่อไทย

การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘,๒๓๗ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา๕๓(๑), (๓), ๑๓๗, ๑๕๙, ซึ่งพันตำรวจโททักษิณ ต้องรับผิดตามมาตรา ๑๖๐ ด้วย

นอกจากนี้ยังเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา ๔,มาตรา ๙๔(๑),(๒), (๓), มาตรา ๖๖ เนื่องจากการที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ร่วมกันรับบริจาคเงินชุมนุมที่ราชประสงค์ และต่อมาบุคคลทั้งสองกับพวกถูกตั้งข้อหาผู้ก่อการร้าย, การที่พรรคเพื่อไทยโดยพันตำรวจโททักษิณกระทำการข้างต้นจึงต้องยุบพรรคตาม มาตรา๙๔(๑), (๒), (๓), (๕) หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคจึงต้องรับโทษตามมาตรา ๑๑๖

ซึ่งข้าพเจ้าผู้ร้องทั้งหมดใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๐, ๗๑ ซึ่งเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทย จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียการร้องคดีนี้

ดังนั้น จึงขอให้นายทะเบียนขอให้นายทะเบียนยุบพรรคเพื่อไทย และดำเนินคดีอาญากับพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร, นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์ และผู้ที่ร่วมกันกระทำความผิดต่อไปด้วย

จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินคดีโดยด่วน

ขอแสดงความนับถือ

พรรคเพื่อฟ้าดิน โดยเรือตรี แซมดิน เลิศบุศย์

นายสนธิ ลิ้มทองกุล

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ผู้ร้อง


http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000075834

-------------------------------------------------------

สื่อนอกฟันธง!!! ฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ปมซุกหุ้นจุดชนวนวุ่น


สื่อนอกชี้ กรณีร้องยิ่งลักษณ์ จุดชนวนวุ่น (ไอเอ็นเอ็น)

สื่อนอกรายงาน การเมืองไทยอาจถึงทางตันอีกรอบ หลังเริ่มมีการยื่นเรื่องตรวจสอบ "น.ส.ยิงลักษณ์ "ในทางกฎหมาย เบิกความเท็จกรณีซุกหุ้น ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ"

วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า จากสถานการณ์ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกยื่นฟ้องเบิกความเท็จ คดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพี่ชาย ว่า อาจทำให้ การเมืองไทยวุ่นวายอีกครั้ง เพราะในเวลานี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กำลังมีคะแนนนิยมดีกว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน

ทั้งนี้ รายงานของวอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทต่อ นายแก้วสรร อติโพธิ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายกลุ่มเสื้อหลากสี ที่ยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจ สอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีให้การเท็จในชั้นศาล คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ให้การว่า ซื้อหุ้นมูลค่า 20 ล้านบาท จากกิจการชินคอร์ป แต่ศาลไม่ได้พูดถึงคำให้การของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นพิเศษ หรือ กรณีการครอบครองหุ้นของเธอแต่อย่างใด

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นักวิเคราะห์ ระบุว่า การ ต่อสู้ทางกฎหมายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อกรณีฟ้องร้องดังกล่าว อาจเพิ่มความวิตกให้นักลงทุน ที่หวั่นเกรงว่า จะเกิดการชุมนุมประท้วงครั้งใหม่ หรือ เกิดการปฏิวัติอีกครั้ง หลังเลือกตั้ง

ขณะเดียวกัน นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ วิเคราะห์ว่า ประเทศไทยกำลังกลับไปสู่การต่อสู้แบบเดิมๆ ระหว่างกลุ่มต่อต้าน และกลุ่มสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ อีกครั้ง และความวุ่นวายก็จะตามมา


http://hilight.kapook.com/view/59708

-------------------------------------------------------

นี่เป็นตัวอย่างล่าสุด หลังโพลล์ทุกสำนักฟันธงหลายรอบว่า
พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งนี้แน่นอน
และยิ่งลักษณ์ก็มีโอกาสได้เป็นนายกหญิงคนแรกของไทย
ก็มีการสกัดกั้นทุกรูปแบบ นี่ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
ก่อนหน้ามีข่าวโพลล์ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะ
ก็ไม่มีใครสนใจอะไร พอมีข่าวก็เริ่มปฏิบัติการลงมือทันที
ผลก็คงได้รับผลกระทบโดนดิสเครดิตบ้าง
แต่ก็คงไม่สะเทือนผลการเลือกตั้งเท่าไหร่
แต่ที่จะสะเทือนคืออาจมีการเร่งรีบเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม
ดำเนินคดีเพื่อยุบพรรคหรือเล่นงานยิ่งลักษณ์ก่อนการเลือกตั้ง
หรือหลังรู้ผลเลือกตั้งว่าพรรคเพื่อไทยชนะเกินครึ่งแน่ๆ ก็ได้
ส่วนพรรคการเมืองคู่แข่ง อาจไม่ใช่พรรคเล็กๆ ที่มายื่นฟ้อง
อย่างพรรคเพื่อฟ้าดินอะไรของพรรคพวกจำลอง
ซึ่งเป็นพวกแกนนำม็อบพันธมิตรในปัจจุบันด้วย
แต่พวกที่ได้รับส้มหล่นก็คือ ปชป. และ ภท. มากกว่า
แต่ถ้าเกิดเพื่อไทยโดนเตะสกัดแบบนี้
จนไม่มีพรรคนี้ให้กองเชียร์ได้เลือก
หรือโดนยุบในภายหลัง
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วหล่ะประเทศนี้

ส่วนกรณีข้อกล่าวหายิ่งลักษณ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง กลต.
ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่าโดยมีสาระสำคัญสรุปทั้ง 2 ประเด็นดังต่อไปนี้

"ในประเด็นที่ว่านางสาวยิ่งลักษณ์ซึ่ง ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยว่าถือหุ้นแทน พ.ต.ท. ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน จะมีหน้าที่ประการใดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ หรือไม่นั้น เนื่องจากนางสาวยิ่งลักษณ์มีจำนวนหุ้นที่เกี่ยวข้องต่ำกว่าร้อยละ 5 จึงไม่มีหน้าที่ต้องยื่นรายงานใด ๆ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว"

"กรณีเกี่ยวกับการปกปิดโครงสร้างการถือ หุ้นในบริษัทเอสซี แอสเสทฯ ตามประเด็นที่ 2 ก.ล.ต. ได้รวบรวบข้อมูลหลักฐานทั้งในและต่างประเทศ และส่งเรื่องไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2550 โดยมีการประสานความร่วมมือต่อเนื่องมาจนกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นควร สั่งฟ้องบริษัทและนางบุษบา ดามาพงศ์ ในฐานะกรรมการบริษัทที่ร่วมลงนามในแบบดังกล่าวในความผิดฐานเปิดเผยข้อมูล เป็นเท็จในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ตามมาตรา 278 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ และเห็นควรสั่งฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ในความผิดเกี่ยวกับรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ และการไม่ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทเอสซี แอสเสทฯ ตามมาตรา 246 และ 247 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ในปัจจุบันคดีนี้ได้ยุติแล้วโดยพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องบุคคล ทุกรายดังกล่าว"

รายะเอียดเพิ่มเติมอ่านต่อได้ที่เรื่องนี้

<<< บันทึกฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยคำพิพากษาศาลฎีกา“ยิ่งลักษณ์”ไม่ผิด >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/06/blog-post_1604.html

เมื่อปรากฏว่าเอาผิดยิ่งลักษณ์ไม่ได้
บุคคลที่กล่าวหายิ่งลักษณ์เรื่องนี้
ก็ไปหาเรื่องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อ
เพื่อจี้ให้พยายามหาทางดำเนินคดีให้ได้

------------------------------------------------------

“ธีระชัย” ยันคดี “ยิ่งลักษณ์” ไม่กดดัน แต่ต้องระมัดระวังเพราะใกล้เลือกตั้ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มิถุนายน 2554 12:19 น.

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล

เลขาฯ ก.ล.ต.เผยเห็นหนังสือ คทน.จี้สอบ “ยิ่งลักษณ์” คดีซุกหุ้นแล้ว มอบฝ่าย กม.พิจารณาประเด็น คนท.ชี้ความผิด ไม่หวั่นถูกแรงกดดัน แต่จะดูเฉพาะที่เกี่ยวข้อง กม.หลักทรัพย์ และทำด้วยความระมัดระวัง เพราะใกล้เลือกตั้ง ส่วนปัญหาหุ้น TTA เตรียมตรวจสอบการสร้างราคา หลังได้ข้อมูลจาก ตลท.


นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอร์รัปชันทักษิณ (คนท.) เข้ายื่นหนังสือต่อ ก.ล.ต.เพื่อให้ตรวจสอบการให้ข้อมูลเท็จของนางสาว (น.ส.) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย (พ.ท.) กรณีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN และคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC หลังจากได้รับหนังสือจาก คนท.ซึ่งได้ชี้ประเด็นด้านกฎหมายที่ระบุว่าเป็นความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยล่าสุด ก.ล.ต.ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาประเด็นดังกล่าวแล้ว

นายธีระชัย กล่าวว่า ตนเองห็นหนังสือที่นายแพทย์ ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงาน คนท.ยื่นให้มีการตรวจสอบกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นทางกฎหมาย โดย ก.ล.ต.จะนำข้อมูลที่ได้ไปพิจารณา และขอปรึกษากับทีมงานว่า จะดำเนินการอย่างไร และขอยืนยันว่า ก.ล.ต.ไม่ได้รับแรงกดดันในการทำงานแม้จะมีหลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่การทำงานของ ก.ล.ต.จะยึดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

ทั้งนี้ ก.ล.ต.จะนำเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาหารือประกอบการพิจารณาด้วย โดยจะทำงานอย่างระมัดระวัง เพราะตระหนักดีว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง และจะพยายามจำกัดขอบเขตการพิจารณาในแง่ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามหน้าที่ โดยจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกฎหมายอาญา

“เราจะไม่พยายามแสดงความเห็นอะไรด้านกฎหมายที่ไม่เกี่ยวข้อง ก.ล.ต.จะพูดในแง่กฎหมายหลักทรัพย์ เพราะเข้าใจดีว่า ช่วงนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้าย แต่ผมก็ไม่หวั่นไหวในการทำหน้าที่ และจะทำอย่างระมัดระวังที่สุด”

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ เวลา 09.30 น.นายแพทย์ ตุลย์ จะเดินทางไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อยื่นหนังสือกล่าวโทษนางสาวยิ่งลักษณ์ ในข้อหาให้การอันเป็นเท็จในการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ตามมาตรา 302 และสมคบกันออกหนังสือชี้ชวนแจ้งโครงสร้างผู้ถือหุ้นอันเป็นเท็จ มาตรา 278 ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์

ส่วนความคืบหน้ากรณีปัญหาหุ้นบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA นายธีระชัย กล่าวว่า ขณะนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการตรวจสอบประเด็นการสร้างราคาหุ้น TTA หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ส่งข้อมูลการตรวจสอบเบื้องต้นมาให้ รวมถึงพิจารณาข้อมูลทุกด้านที่เกี่ยวข้อง

ส่วนการประชุมผู้ถือหุ้น TTA ที่อาจเกิดการถกเถียง หรือขัดแย้งระหว่างผู้ถือหุ้นและผู้บริหารถือเป็นเรื่องปกติของบริษัทจด ทะเบียน (บจ.) แต่หากจัดกรอบการถกเถียงเป็นการภายในจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น โดยรวม ซึ่งในต่างประเทศในกรณีดังกล่าวจะมีการจ้างสำนักงานผู้สอบบัญชีเพื่อมาควบ คุมกรอบการประชุมและตั้งกติกา ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบริษัท

http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000075042

------------------------------------------------------

ซึ่งผลการดำเนินคดีต่อได้ไม่ได้ไม่ใช่เรื่องสำคัญของคนกลุ่มนี้
เท่ากับการออกมาเคลื่อนไหวหวังดิสเครดิตยิ่งลักษณ์ไปวันๆ
จนกระทั่งถึงวันเลือกตั้ง โดยกลุ่มบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหว
ก็เป็นคนพวกพรรคฝ่ายตรงข้ามที่จะได้รับผลประโยชน์
จากการดิสเครดิตยิ่งลักษณ์ได้นั่นเอง

-------------------------------------------------------

“มารไม่มี บารมีไม่เกิด” สนธิซัด“แก้ว-ตุลย์-เจิม”ผลงานปชป.
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 6 มิถุนายน 2554 20:05 น.

ASTVผู้จัดการรายวัน-“มารไม่มี บารมีไม่เกิด” คนเผาไทย จวก “หมอตุลย์-แก้วสรร” รังแกผู้หญิง เชื่อประชาชนสงสารเทคะแนนให้ “ยงยุทธ”ไม่ห่วง ยันมีการเตรียมแผนสองไว้แล้ว ส่วน “เจ๊ปู” ยัน พร้อมให้ทุกฝ่ายตรวจสอบ แต่ต้องอยู่ภายใต้กติกา “เทือก”ปัดปชป.จับมือหมอตุลย์-แก้วสรร รุมปู ด้าน“สนธิ”ชี้“แก้วสรร-หมอตุลย์-เจิมศักดิ์” ผลงานปชป.

วานนี้(6 มิ.ย) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครสส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่1ของพรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังจากลงพื้นที่หาเสียงที่ตลาดโพธิ์ชัย อ.เมือง จังหวัดหนองคาย โดยกล่าวถึงกรณีที่แก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส.เตรียมยื่นสอบเรื่องการซุกหุ้นนั้น ว่าตนมั่นใจว่าพร้อมให้ทุกฝ่ายตรวจสอบโดยอยู่ภายใต้กฎกติกา ส่วนกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงยุทธศาสตร์บันได 4 ขั้นที่นำไปสู่การนิรโทษกรรม ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจะเหยียบประชาชนเพื่อก้าวข้ามบันไดแต่ละขั้นนั้น โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ เชื่อว่าประชาชนจะไม่ยอมเป็นบันไดให้พตท.ทักษิณก้าวข้ามผ่านไปอย่างแน่นอน

ซึ่งขณะนี้ตนก็ไม่ต้องการให้พุ่งเป้าไปที่การนิรโทษกรรมและยืนยันว่า การนิรโทษไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของตนเองและพี่ชาย ซึ่งการจะเดินหน้าเรื่องนิรโทษกรรมเมื่อถึงเวลาจะต้องมากำหนดแนวทางร่วมกัน และจะต้องมาฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย

ทั้งนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ ยังระบุว่าตนไม่ทราบถึงเหตุที่ถูกพุ่งเป้าทางการเมืองแต่ยืนยันจะใช้ความอด ทนทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและเดินหน้านำนโยบายเสนอประชาชนในทุกพื้นที่พร้อม ทั้งมั่นใจตนเองมีความสามารถในการผลักดันให้ความปรองดองเกิดขึ้นในประเทศได้ นอกจากนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ยังได้ขอโอกาสกองทัพในการเข้าพบ เพราะตนเองมีความตั้งใจเพื่อจะทำให้ความปรองดองเกิดขึ้นในทุกภาคส่วน

** “มารไม่มี บารมีไม่เกิด”

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า “มารไม่มี บารมีไม่เกิด” เรื่องดังกล่าวไม่มีอะไรที่น่าวิตก พรรคได้เตรียมตัวและทราบมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเป็นขบวนการจ้องทำลายพรรคตลอด เวลา

“เราต้องพยายามทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังในการก้าวเดินแต่ละก้าว เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจ ไม่ส่งผลกระทบทำให้พรรคได้รับคะแนนความนิยมลดลง ในทางกลับกันจะเพิ่มขึ้น ดูได้จากมวลชนที่เพิ่มขยายตัวอย่างรวดเร็วตั้งปปี 2547 เป็นต้นมา เพราะประชานส่วนใหญ่เข้าใจว่ากลุ่มคนที่เคลื่อนไหวมีเป้าหมายและมีจุดยื่น ที่อยู่ฝั่งตรงข้างพรรคเพื่อไทย โดยพยายามข้องทำลายในทุกอย่าง”นายยงยุทธกล่าว

ด้าน นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยให้กำลังใจ นส.ยิ่งลักษณ์ ให้รักษาความเป็นสุภาพสตรีเอาไว้ ไม่ให้นพ.ตุลย์ และ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งร่วมงานกันเป็นกระบวนการเกี่ยวโยงกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จึงขอร้อง ปชป. อย่าใช้วิธีนี้ ควรมาแข่งขันกันเรื่องนโยบายดีกว่า และเชื่อว่า นส.ยิ่งลักษณ์จะได้คะแนนสงสารจากประชาชนเนื่องจากถูกรังแก

** พร้อมฉะ เชื่อ ปชช.รู้ดีว่าเป็นพวกของใคร

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าเมื่อใกล้วันลงคะแนนเสียง ก็จะมีกลุ่มคนที่พยายามลดคะแนน และสกัดกั้นคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทย ตนคิดว่าประชาชนรู้ดีว่านพ.ตุลย์ และนายแก้วสรร สนิทกับพรรคการเมืองใด และมีแนวคิดทางการเมืองเช่นใด อีกทั้งการกระทำเช่นนี้ไม่มีความเป็นธรรม และไม่มีน้ำใจนักกีฬา นางแก้วสรรเคยเป็นถึงอาจารย์มาแล้ว น่าจะรู้ตัวว่าควรทำอะไร เนื่องจากอายุก็ไม่น้อยแล้ว ซึ่งตนมั่นใจว่านางสาวยิ่งลักษณ์จะเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้และยินดีที่จะให้ ตรวจสอบอย่างเป็นธรรม ตรงไปตรงมา และมีความเป็นสุภาพบุรุษ นอกจากนี้ตนยังเห็นว่าเรื่องคดีความดังกล่าวล่วงเลยมากว่า 2 ปี แต่ก็ไม่มีการตรวจสอบ แต่เพิ่งจะมีการเข้าตรวจสอบในช่วงเวลาที่ใกล้การเลือกตั้ง และก็เป็นการตรวจสอบเพราะหวังผลการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจดี

**ปัดปชป.จับมือหมอตุลย์-แก้วสรร รุมปู

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีเครือข่าย สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ถ้ามีอะไรก็ว่ากันตรง ๆ คนอื่น

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนอย่างไรกับสิ่งที่นพ.ตุลย์ออกมาดำเนินการเรื่องนี้ นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ ขอไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ และให้ความคิดเห็น เพราะถ้าให้ความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบก็จะมีคนมาหาเรื่อง เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระบวนการประชาชน ใครจะมีการเคลื่อนไหวหรือคิดอ่านอย่างไรก็เป็นสิทธิของประชาน ขอให้ว่ากันตามกฎเกณฑ์กติกา ไม่เอามาผูกพันเกี่ยวข้องกับการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนต้องไปถามเรื่องนี้กับนพ.ตุลย์เพราะเขาแสดงตัวตนชัดเจน ตนคงให้ความเห็นไม่ได้

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าการที่มิตรเก่าของพรรคประชาธิปัตย์อย่างนพ.ตุลย์ และนายแก้วสรรออกมาเคลื่อนไหวอย่างนี้จะยิ่งทำให้คะแนนสงสารเทไปให้พรรค เพื่อไทย นายสุเทพ กล่าวว่า การถามอย่างนี้ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียหาย คงต้องให้ความเป็นธรรมกับตนด้วย มีคนหลายกลุ่มที่เคลื่อนไหวในบ้านเมือง บางครั้งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ บางครั้งคนละทิศคนละทาง

นายสุเทพ กล่าวว่า อย่างกรณีที่ผ่านมาสื่อมวลชนพยายยัดเยียดว่ากลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชานเพื่อประชาธิปไตย เป็นพวกเดียวกับตน แต่เวลานายสนธิด่าตน สื่อไม่เคยบอกเลยว่าอยู่คนละพวกกัน ต้องให้ความเป็นธรรมกับตนบ้าง

**“สนธิ”ชี้“แก้วสรร” ต้านนิรโทษแม้ว ผลงานปชป.

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กล่าวภายหลังเดินทางไปที่กองปราบปราม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา คดีร่วมกันก่อการร้าย ว่าไม่เห็นด้วยหากพรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลจะออกกฏหมายนิรโทษกรรม และไม่แปลกใจที่กรณีนายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการ และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.ตั้งเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะ “นายแก้วสรร นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ และนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ล้วนเป็นผลงานของพรรคประชาธิปัตย์”

**“ร่วมกล่าวโทษปู..หยุดกฎหมู่ชินวัตร”

รายงานข่าวแจ้งว่า วันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการและอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้เผยแพร่เอกสารคำชี้แจงในหัวข้อ “ร่วมกล่าวโทษปู..หยุดกฎหมู่ชินวัตร” ผ่านทางหน้าแฟนเพจที่ชื่อ “กล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร” ในเว็บไซต์เฟซบุ๊ค

บ้านเมืองที่เจริญแล้วต้องปกครองทั้งโดยการเมืองและโดยกฎหมาย พรรคไหนได้เสียงเลือกตั้งข้างมากก็พาประเทศไปทางหนึ่งตามคำมั่นสัญญาที่ให้ ไว้ ผิดพลาดไปเลือกตั้งคราวหน้าเสียงข้างน้อยอาจขึ้นมาเป็นเสียงข้างมากพาประเทศ ไปอีกทางก็ได้ การเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางอย่างนี้เป็นเรื่องการเมืองที่เราท่านทุกคนต่างก็ เสมอภาคกัน เลือกกันได้ต่างๆ นานาตามที่เห็นควร

“แต่ท่านที่เคารพ...เราจะเอาอำนาจที่ได้จากคะแนนเลือกตั้ง ได้จากความเสมอภาคทางการเมืองมาทำลายความเสมอภาคทางกฎหมายไม่ได้นะครับ ปัญหาทางคดีที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะซุกหุ้นธุรกิจชินคอร์ปจริงหรือไม่, พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ให้อนุมัติเงินกู้เพิ่มเติม 1 พันล้านบาท แก่รัฐบาลพม่า เพื่อให้พม่าซื้อสินค้าชินคอร์ปจริงหรือไม่ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจสั่งธนาคารกรุงไทยอนุมัติเงินกู้แก่บริษัทอสังหาริมทรัพย์เกินหลัก ทรัพย์ไปกว่า 2 พันล้าน แล้วมีเงินนับร้อยล้านไหลเข้าบัญชีบุตรชายกับคนสนิทจริงหรือไม่”

ทั้งนี้ คดีทั้งสามนี้ ศาลชี้ขาดยึดทรัพย์ไปแล้วหนึ่งคดี อยู่ในศาล 1 คดี อยู่ใน ปปช.1 คดี ทั้งหมดนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะถูกผิดอย่างไร ต้องตัดสินด้วยหลักฐานด้วยกระบวนการยุติธรรมที่ต่อสู้คดีกันในศาล ไม่ใช่ด้วยการให้ประชาชนลงคะแนนว่าทักษิณผิดหรือไม่ผิด หากยอมให้มีการใช้ประชามติอย่างนี้เมื่อใด ประชาธิปไตยจะล้ำแดนกฎหมายกลายเป็นกฎหมู่ ตระกูลชินวัตรจะเป็นตระกูลที่อยู่เหนือกฎหมายทำผิดไม่ได้ไปในทันที

“ต่อไปตระกูลไหนต้องคดีความก็ลงทุนตั้งพรรคการเมืองแก้กฎหมายนิรโทษ กรรมตนเองได้อย่างนี้อีก ส่วนใครที่ทุจริตแต่ไม่มีเงินก็ปล่อยให้ติดคุกต่อไปอีก เราจะยอมให้เขาทำได้อย่างนั้นหรือ เราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีใครยอมให้เป็นเช่นนี้ “เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ”หรือ คนท.จึงขอเชิญทุกท่านมาร่วมมือกันขัดขวางมิให้“กฎหมู่ชินวัตร”สำเร็จลุล่วง ไปได้

ไม่ว่าท่านจะสีอะไรหรือไม่มีสีก็ตาม ไม่ว่าท่านจะลงคะแนนเลือกตั้งเลือกใครหรือไม่เลือกใครก็ไม่สำคัญ เพราะนั่นเป็นเรื่องการเมือง แต่นี่คือเรื่องของกฎหมายที่เราทุกคนต้องช่วยกันรักษาไว้ เพื่อเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขไปชั่วลูกหลาน”

... เพื่อการนี้ เราจะใช้กฎหมายคุ้มครองกฎหมาย ไม่ว่าทางชินวัตรจะกลับคำอย่างไร บ่ายเบี่ยงไม่ขอพูดเรื่องนิรโทษกรรมอย่างไร เราจะไม่สนใจ เราจะยืนอยู่บนความจริงและความผิดที่เกิดขึ้นแล้วว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคพวกในตระกูล ได้ร่วมมือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ข้อมูลว่าตนและพวกได้ซื้อหุ้นชินคอร์ปจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว แต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กลับชี้ขาดไปแล้วว่าเป็นเท็จทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ความผิดฐานให้ข้อมูลเท็จ ทั้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่คือ คตส. และต่อศาลสถิตยุติธรรม จึงปรากฏเป็นจริงแล้ว คงรอแต่เพียงการกดปุ่มทางกฎหมายโดยการกล่าวโทษของอัยการสูงสุดหรือพวกเรา เท่านั้น

เราจะกล่าวโทษนางสาวยิ่งลักษณ์ และพวกต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ในการนี้เราจะไม่สนใจในความสวยใส ความน่ารักน่าคบของผู้ถูกกล่าวหา เพราะจำเลยสวยๆ น่ารักนั้นถ้าทำผิดก็ถูกศาลลงโทษติดคุกมามากแล้ว ส่วนจะขอลดโทษเพราะทำไปด้วยความรักพี่ชายและวงศ์ตระกูลนั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แล้วแต่ศาลท่านจะเมตตาหรือไม่

ในการนี้เราจะไม่สนใจเลยว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้นำพรรคการเมืองที่เราชอบหรือไม่? เราไม่สนใจเลยว่าเธอจะได้คะแนนเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากการกล่าวโทษของเรา?

และแม้เธอจะชนะเลือกตั้งเราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำกล่าวโทษของเรา จะทำให้เธอได้คิดและหยุดยั้งไม่ผลักดันแก้กฎหมายยุติคดีให้พี่ชายต่อไป และถ้าผู้ถูกกล่าวหายังดื้อดึงฝืนกระทำไป ก็จะกลายเป็นการปฏิบัติราชการโดยมิชอบ ใช้อำนาจเพื่อให้ตนเองได้พ้นคดีตามพี่ชายไปด้วย

ถ้ายังฝืนไปถึงชั้นศาลโอกาสพ้นโทษของเธอก็จะเป็นศูนย์ เพราะประเด็นกล่าวเท็จนี้เป็นที่ยุติแล้วในคดียึดทรัพย์ หากในที่สุดศาลอาญาท่านลงโทษถึงจำคุก 6 เดือนขึ้นไป ผู้ถูกกล่าวหาก็จะพ้นตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งไปในทันที

ทั้งหมดนี้คือการหยุดกฎหมู่ชินวัตร ด้วยมาตรการร่วมกันกล่าวโทษปู หากยังไม่ยอมหยุด ก็จะต้องตามมาด้วยมาตรการอื่นๆ ต่อไปอีก”

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000069134

-------------------------------------------------------

โดย มาหาอะไร

FfF