เป็นกฏหมายที่ออกในสมัยรัฐบาลชวน 2 ช่วงอยู่ใน IMF
ที่ถูกโจมตีอย่างกว้างขวางว่าเป็นกฏหมายขายชาติ 11 ฉบับ
ซึ่งประกอบด้วยกฏหมายดังต่อไปนี้
1. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาล้มละลาย พ.ศ.2542
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_27.html
2. พระราชบัญญัติล้มละลาย(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2541
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_1720.html
3. พระราชบัญญัติล้มละลาย(ฉบับที่ 5) พ.ศ.2542
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_3502.html
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_5919.html
4. พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 18) พ.ศ.2542
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_9985.html
5. พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 19) พ.ศ.2543
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_8223.html
6. พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_6380.html
7. พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน(ฉบับที่ 8) พ.ศ.2542
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_9007.html
8. พระราชบัญญัติอาคารชุด(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_3464.html
9. พระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ.2542
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_3103.html
10. พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_1035.html
11. พระราชบัญญัติประกันสังคม(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_24.html
ต่อมาในสมัยทักษิณได้ตั้งคณะกรรมการ
ปรับปรุงกฎหมายเพื่อการพัฒนาประเทศ
โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานได้ข้อสรุปคล้ายๆ กับทางพรรค ทรท.
ที่จะไม่ล้มกฏหมายทั้ง 11 ฉบับ
แค่มีข้อเสนอให้ปรับปรุงบางส่วนเท่านั้น
---------------------------------------------
เปิดจ.ม.'มีชัย'ถึง'ทักษิณ' ชี้ช่องโหว่'กม.11ฉบับ'
รายงาน มติชนรายวัน วันที่ 28 พฤศจิกายน 2545
หมายเหตุ - สาระของจดหมายที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการ ปรับปรุงกฎหมายเพื่อการพัฒนาประเทศ จัดทำเสนอแนะ เรื่องการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ ยื่นเสนอต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
โดยที่ปัจจุบันได้มีการเรียกร้อง ให้ยกเลิกกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ จำนวน 11 ฉบับ เนื่องจากเห็นว่า กฎหมายดังกล่าวเอื้อประโยชน์ให้แก่ กลุ่มทุนต่างชาติ โดยมิได้เอื้อประโยชน์แก่ประชาชนและส่งผลกระทบในทางลบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังความทราบอยู่แล้วนั้น
คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อการพัฒนาประเทศได้พิจารณากฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มีการเรียกร้องให้มีการยกเลิกในภาพรวมแล้ว ขอกราบเรียนเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1 การตรากฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นการปฏิบัติตามพันธกรณี (Letter of Intent) ที่ประเทศไทยทำไว้ ต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) ในการขอรับความช่วยเหลือทางการเงิน อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ.2540 โดยกฎหมายดังกล่าวจำแนกออกได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่หนึ่ง กลุ่มกฎหมายล้มละลาย การพิจารณาคดี และการบังคับคดี จำนวน 5 ฉบับ ประกอบด้วย
ก.พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาล้มละลาย พ.ศ.2542 (เพื่อจัดตั้งศาลล้มละลาย เป็นศาลชำนัญพิเศษ เพื่อพิจารณาคดีล้มละลายขึ้นโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นคดีที่มีลักษณะพิเศษ)
ข.กฎหมายล้มละลาย ประกอบด้วย
(1) พระราชบัญญัติล้มละลาย(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2541 (เพิ่มหมวด 6/1 กระบวนการพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินชั่วคราว มีโอกาสฟื้นฟูกิจการได้ อันจะช่วยให้เจ้าหนี้มีโอกาสได้รับชำระหนี้อย่างเป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากมาตรา 94(2) ที่บัญญัติว่าเจ้าหนี้ที่ยอมให้ลูกหนี้ก่อหนี้ขึ้น โดยรู้อยู่แล้วว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ซึ่งทำให้ไม่มีเจ้าหน้าที่รายใด ยอมให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินชั่วคราว ทำให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายทั้งที่กิจการของลูกหนี้อยู่ในสภาพที่สามารถดำเนินกิจการต่อหรือฟื้นฟูได้)
(2) พระราชบัญญัติล้มละลาย(ฉบับที่ 5) พ.ศ.2542 (เพื่อ (2.1) ปรับปรุงเรื่องจำนวนเงินที่เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายได้ รวมทั้งจำนวนเงินประกันค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่างๆ และราคาของทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมาแบ่งแก่เจ้าหน้าที่ (2.2) ปรับปรุงทรัพย์สินที่ไม่ต้องนำมาแบ่งให้เจ้าหนี้และมาตรการในการรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินให้ครอบคลุมถึงสามีของลูกหนี้ (2.3) ปรับปรุงบทบัญญัติว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับการลงมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการ การใช้ดุลพินิจของศาล ในการเห็นชอบด้วยกับแผน อำนาจของผู้บริหารแผน ในการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ การเพิกถอนนิติกรรมที่กระทำไปแล้ว ในกระบวนการล้มละลายและกระบวนการฟื้นฟูกิจการ และ (2.4) ปรับปรุงลำดับบุริมสิทธิในคดีล้มละลาย โดยกำหนดให้เงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ เพื่อการงานที่ได้ทำให้ลูกหนี้ ซึ่งเป็นนายจ้าง อยู่ในลำดับเดียวกับเงินค่าภาษีอากร) ค.พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 17) พ.ศ.2542 (ปรับปรุงวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ เพื่อให้รวดเร็วขึ้น และให้มีการไกล่เกลี่ยก่อนเริ่มสืบพยานเช่นเดียวกับ การพิจารณาคดี Small Claim ของต่างประเทศ)
ง.พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 18) พ.ศ.2542 (ปรับปรุงกระบวนการบังคับคดีให้รวดเร็วยิ่งขึ้น)
จ.พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 19) พ.ศ.2543 (ปรับปรุงพิจารณาคดีโดยขาดนัด เพื่อให้ศาลสามารถพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดยื่นคำให้การแพ้คดีได้ทันทีเพื่อมิให้คู่ความประวิงคดี)
กลุ่มที่สอง กลุ่มกฎหมายส่งเสริมการประกอบธุรกิจ จำนวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย
ก.พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 (เพื่อส่งเสริมให้มีการแข่งขัน ในการประกอบธุรกิจ และเพื่อให้สอดคล้อง กับพันธกรณีตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศในการเปิดตลาด)
ข.พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน(ฉบับที่ 8) พ.ศ.2542 (เพื่อเพิ่มเติมคนต่างด้าวสามารถได้มาซึ่งที่ดิน เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ และกำหนดหลักเกณฑ์การจำหน่ายที่ดิน ของคนต่างด้าวดังกล่าวเมื่อผิดเงื่อนไขที่กำหนด และให้อำนาจอธิบดีกรมที่ดิน ที่จะจำหน่ายที่ดินของคนต่างด้าว ในกรณีที่คนต่างด้าวนั้น ไม่ได้ใช้ที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยภายในระยะเวลาที่กำหนด)
ค.พระราชบัญญัติอาคารชุด(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 (เพื่อเปิดโอกาสให้คนต่างด้าวที่นำเงินตราเข้าประเทศสามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดได้ โดยทั่วไปให้ถือกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน ร้อยละ 49 ของเนื้อที่ห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุด แต่ถ้าอาคารชุดตั้งอยู่ในเขตเมืองและมีที่ดินไม่เกิน 5 ไร่ ให้ถือกรรมสิทธิ์ได้ไม่จำกัดอัตราส่วน)
ง.พระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ.2542 (เพื่อให้การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมมีระยะยาวเพื่อความมั่นคงในการประกอบธุรกิจ ทั้งให้สามารถตกทอดทางมรดกและนำไปจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ได้)
กลุ่มที่สาม กลุ่มกฎหมายเพื่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ จำนวน 1 ฉบับ คือพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 (เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นองค์กรทางธุรกิจ)
กลุ่มที่สี่ กลุ่มกฎหมายสังคม จำนวน 1 ฉบับ คือพระราชบัญญัติประกันสังคม(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 (เพื่อขยายระยะเวลาการมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนภายหลังลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง ปรับปรุงสิทธิของผู้ประกันตนในการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชรา และกรณีว่างงาน และปรับปรุงการออกเงินสมทบทุนประกันสังคมของรัฐบาลนายจ้างและลูกจ้างให้เหมาะสมยิ่งขึ้น)
2 คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อการพัฒนาประเทศ พิจารณาแล้วมีความเห็นดังนี้
กฎหมายกลุ่มที่หนึ่ง
ก.สำหรับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นกฎหมายจัดตั้งศาลชำนัญพิเศษเพื่อพิจารณาคดีล้มละลายขึ้นโดยเฉพาะนั้นเมื่อได้มีการจัดตั้งขึ้นแล้ว การจะยกเลิกย่อมก่อให้เกิดปัญหาในการพิจารณาคดีล้มละลายติดตามมาและไม่ปรากฏว่า การดำเนินกระบวนพิจารณา ในศาลล้มละลายมีปัญหาใดอันจำเป็นจะต้องแก้ไขปรับปรุงอีก ส่วนพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 17) พ.ศ.2542 อีก ส่วนพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 17) พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 18) พ.ศ.2542 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 19) พ.ศ.2543 นั้นเป็นการแก้ไขให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทั้งไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ผู้สุจริตได้รับความไม่เป็นธรรมจากกระบวนการพิจารณาดังกล่าว จึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไข
ข.สำหรับพระราชบัญญัติล้มละลายฯนั้น คณะกรรมการเห็นว่า จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติหลายมาตรา เพื่อให้สอดคล้อง กับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ และได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข พระราชบัญญัติล้มละลายฯ เสร็จ และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแล้ว และต่อมาสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรี พร้อมกับร่างของกระทรวงยุติธรรม ในการนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แยกการพิจารณาออกเป็นสองส่วน และได้พิจารณา ส่วนที่เกี่ยวกับการปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลายเสร็จแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการยืนยัน ร่างพระราชบัญญัติก่อนนำส่ง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับส่วนที่เกี่ยวกับ กระบวนการล้มละลาย และการฟื้นฟูกิจการนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะพิเศษ)
กฎหมายกลุ่มที่สอง
ก.พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน(ฉบับที่ 8) พ.ศ.2542 ซึ่งให้สิทธิแก่คนต่างด้าว ที่นำเงินมาลงทุนในประเทศ สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ และพระราชบัญญัติอาคารชุด(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นการขยายอัตราส่วน ของการถือครองอาคารชุด ของคนต่างด้าวนั้น การจะปรับปรุงหลักการหรือหลักเกณฑ์อย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ในส่วนที่เกี่ยวกับ การลงทุนของคนต่างด้าว และผลกระทบที่จะมีต่อผู้ลงทุนของไทย
ข.พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และพระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ.2542 นั้นอาจต้องปรับปรุง ให้มีความสอดคล้อง กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และคุ้มครองธุรกิจของคนไทยมากยิ่งขึ้น
กฎหมายกลุ่มที่สาม ซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 คณะกรรมการมีความเห็นว่า อาจมีความจำเป็น ต้องปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และคุ้มครองกิจการสาธารณูปโภคของรัฐ ให้อยู่ในมือของคนไทยเป็นส่วนใหญ่
กฎหมายกลุ่มที่สี่ ซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติประกันสังคม(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 นั้นคณะกรรมการเห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อลูกจ้าง และเหมาะสมกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ ของประเทศจึงไม่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไข
3 สำหรับแนวทางในการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายนั้น คณะกรรมการเห็นว่า ต้องเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และพันธกรณีที่ประเทศไทยทำไว้ ต่อองค์การระหว่างประเทศ คณะกรรมการไม่มีข้อมูลเพียงพอ ที่จะพิจารณาแทน กระทรวงผู้รักษาการได้ จึงสมควรมอบหมายให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายแต่ละฉบับเป็นผู้กำหนดมาตรการ หรือแนวทางที่เหมาะสม ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายแต่ละฉบับ โดยรับฟังความเห็นของผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวประกอบด้วย แล้วแจ้งให้คณะกรรมการทราบ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายตามแนวทางดังกล่าว และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
จึงกราบเรียนเสนอมาเพื่อโปรดพิจารณา หากเป็นการชอบด้วยดำริ ขอได้โปรดมีบัญชาให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจ ของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม พ.ศ.2542 และพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการในข้อ 3 โดยเร่งด่วนต่อไป
------------------------------------------
ทรท.สรุปกฏหมายฟื้นฟู ไม่ล้ม 11 ฉบับ ยันไม่ขายชาติแค่มีจุดอ่อน
หอการค้าหนุนใช้กม.เดิม คุม'ยักษ์ค้าปลีก'ครบวงจร
มติชนรายวัน วันที่ 18 พฤศจิกายน 2545
ที่ประชุมหอการค้าทั่วประเทศรุกต่อ ให้รัฐกำหนดวัน-เวลาเปิด-ปิดค้าปลีกขนาดใหญ่ ให้ชะลอการขยายตัว 'พรหมมินทร์' หนุนแนวคิด 'แม้ว' ใช้กฎหมายมหาดไทยดีกว่า อนุกรรมการ ทรท.ศึกษาเสร็จแล้วกม.ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 11 ฉบับไม่จำเป็นต้องยกเลิก แม้แต่ฉบับเดียว ยันไม่ใช่ กม.ขายชาติ
การประกาศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า รัฐบาลไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องออกกฎหมาย ควบคุมธุรกิจค้าปลีก เพราะจะทำให้รัฐบาลประสบปัญหาในการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศอื่น ได้สร้างความงงงวย ให้กับสมาชิกหอการค้า ที่ผลักดันให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายควบคุมค้าปลีกอย่างมาก โดยขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมธุรกิจค้าปลีก อยู่ระหว่างการพิจารณา ของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ที่ผ่านมาธุรกิจค้าปลีกรายย่อย หรือโชห่วยของไทยได้ผลักดัน ให้ออกกฎหมายดังกล่าว เพื่อคุ้มครองโชห่วยที่ใกล้สูญพันธุ์ อันเนื่องจากถูกค้าปลีกต่างชาติที่เงินทุนหนากว่าเช่น คาร์ฟูร์ โลตัส แย่งตลาดอย่างหนัก
หอค้ารุกต่อคุมค้าปลีกใหญ่
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่โรงแรมเจริญศรี แกรนด์ พลาซ่า จังหวัดอุดรธานี นายวัชระ พรรณเชษฐ์ กรรมการและเลขาธิการ หอการค้าไทย กล่าวสรุปการประชุมกลุ่มย่อย ในการประชุมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 20 โดยเฉพาะเรื่องค้าปลีกว่า ที่ผ่านมามีปัญหาการขยายตัว ของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อย และเพื่อให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถอยู่ร่วมกันได้ หอการค้าฯเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา ต่อภาครัฐ คือ 1.ถ้าการออกพระราชบัญญัติค้าปลีกต้องผ่านขั้นตอน และมีผลกระทบที่ต้องคำนึงถึง รัฐควรใช้กฎหมาย หรือวิธีการหาแนวทางที่สมควร ในการทำธุรกรรมของค้าปลีกรายใหญ่ เช่น มีเกณฑ์ในการตั้ง ของสถานประกอบการขนาดใหญ่ ให้ท้องถิ่นมีบทบาท ในการกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสม 2.ให้อำนาจการบริหารจัดการแก่ผู้บริหารระดับท้องถิ่น เพื่อดูแลและจัดการแก้ไขปัญหา ภาคธุรกิจค้าปลีกในท้องถิ่น โดยการออกเทศบัญญัติ หรือนำกฎหมายท้องถิ่นที่มีอยู่แล้วมาบังคับใช้ เพื่อลดกระแสการต่อต้าน และสร้างความร่วมมือกันเองภายในท้องถิ่น
แนะกำหนดวันเวลาเปิด-ปิด
3.ควรพิจารณาจัดตั้งหน่วยงานเพื่อดูแลรับผิดชอบ และศึกษาผลกระทบในเชิงลึก รวมทั้งดำเนินการจัดเก็บข้อมูลตัวเลขสถิติด้านต่างๆ ในภาคธุรกิจค้าปลีก เพื่อสะท้อนภาพที่แท้จริง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ตรงประเด็นที่สุด 4.จัดแบ่งวัน เวลา ในการเปิด-ปิด การให้บริการ 5.ขอให้ชะลอการขยายตัวลงบ้าง ในช่วงที่ยังมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ชัดเจน 6.ค้าปลีกรายใหญ่/รายย่อย และผู้ผลิต ควรยอมรับพฤติบัญญัติทางการค้าในเรื่องการแข่งขันที่เป็นธรรม เช่น ส่วนลด และการเรียกเก็บรายได้อื่นๆ รวมทั้งการเสียภาษี รายได้ในท้องถิ่นที่สาขาตั้งอยู่
7.ภาครัฐร่วมกับหอการค้าเร่งพัฒนาผู้ประกอบการรายเล็ก/รายย่อย ปรับปรุงรูปแบบการให้บริการ กำหนดให้ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ต้องมีส่วนร่วมในโครงการของรัฐ ที่จะปรับปรุงช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีก ถ่ายทอดความรู้ด้านการค้าปลีก และจัดหาแหล่งทุนที่มีอัตรา ดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อใช้ในการปรับปรุงกิจการ
ดันตั้งกก.นโยบายค้าชายแดน
นายวัชระกล่าวว่า ส่วนเรื่องการค้าชายแดน มีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ขาดการตัดสินใจในเชิงนโยบาย ขาดเอกภาพในการตัดสินใจในระดับจังหวัด การคมนาคมของประเทศเพื่อนบ้าน ขาดการพัฒนา ทำให้การขนส่งไม่สะดวก ขาดงบประมาณในการส่งเสริมการค้าชายแดน กฎระเบียบไม่สอดคล้องกับสภาพการค้าชายแดน ด่านการค้าไม่เพียงพอ แนวทางแก้ไข คือ สนับสนุนให้มีคณะกรรมการระดับนโยบาย ให้จังหวัดชายแดนบริหารงานแบบซีอีโอ พัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน อุดหนุนทางการเงินแก่หอการค้าจังหวัดชายแดน ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสภาพการค้า เพิ่มและยกระดับช่องทางการค้าชายแดน จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เป็นต้น
นายวัชระกล่าวด้วยว่า ข้อเสนออื่นๆ ที่หอการค้าต่างจังหวัดขอให้หอการค้าไทยเป็นผู้กลั่นกรองและนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาลู่ทางในการแก้ไขปัญหาต่อไป เช่น ปัญหาที่เกี่ยวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นปรับตัวหรือกำลังถูกฟ้องร้อง ซึ่งควรมีการติดตามและมีมาตรการที่จะบรรเทาความเดือดร้อนลงบ้าง
มือขวา'แม้ว'หนุนใช้กฎ มท.
น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปิดการสัมมนา ว่า หากสามารถใช้กฎหมายเดิม ออกกฎระเบียบเพื่อดูแลเรื่องค้าปลีกได้เร็วกว่า การออกกฎหมายใหม่ ก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนเรื่องการค้าชายแดนซึ่งขณะนี้มีความสำคัญมาก ตนจะรับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนโครงการนิคมอุตสาหกรรม อุดรธานี ที่ขณะนี้ยังไม่มีคำตอบว่าจะสร้างได้หรือไม่นั้น ก็จะส่งเรื่องให้กับรัฐมนตรีว่า การกระทรวงอุตสาหกรรมไปติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
น.พ.พรหมินทร์กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอให้มีการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดชายแดนนั้น จะต้องดูข้อจำกัดด้านความมั่นคง ทั้งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของรัฐควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้ ขณะนี้มีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศมาก หากมีการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะมีการลงทุนทำอุตสาหกรรมต่างๆ โดยใช้แรงงานที่จะอพยพเข้ามา จะเป็นการสร้างความร่วมมือทางด้านการค้าระหว่างกันมากขึ้น
"หน้าที่ของรัฐบาลคือการสร้างพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับเอกชน โดยผู้ที่จะเป็นตัวหลักในการดำเนินการคือเอกชน ดังนั้นหากเอกชนมีปัญหาในการดำเนินงานก็ขอให้เสนอมาที่ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือเข้ามาหาผมโดยตรงได้ทันที ซึ่งจะประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้" น.พ.พรหมินทร์กล่าว
ทรท.ศึกษาเสร็จแล้วกม.11 ฉบับ
ทางด้านความคืบหน้าการพิจารณาแก้ไขกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ 11 ฉบับ ซึ่งออกในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ต่อมาทางกลุ่มพันธมิตรกู้ชาติ ได้ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกโดยอ้างว่าเป็นกฎหมายขายชาตินั้น วันเดียวกันนี้ นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร(วิปรัฐบาล) พิจารณาศึกษาพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศรวม 11 ฉบับ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการได้ประชุมพิจารณากฎหมายทั้ง 11 ฉบับ โดยศึกษาจากความเห็นและผลการศึกษาของบุคคลคณะต่างๆ รวมทั้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายทั้ง 11 ฉบับเสร็จสิ้นแล้ว คงเหลือแต่การประชุมเพื่อสรุปประเด็นสำคัญๆ ที่ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างเร่งด่วน พร้อมนำข้อเสนอแนะและข้อสังเกตต่อวิปรัฐบาล หากเห็นชอบก็จะนำเสนอต่อรัฐบาลดำเนินการ ซึ่งการประชุมสรุปของคณะอนุกรรมการ จะมีขึ้นในวันที่ 18 พฤศจิกายน เวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล
สรุปไม่ยกเลิกแม้แต่ฉบับเดียว
นายวิชิตกล่าวต่อว่า ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการจะสรุปความเห็นเสนอต่อที่ประชุมวิปรัฐบาลว่า กฎหมายทั้ง 11 ฉบับ ไม่จำเป็นต้องยกเลิกตามที่มีการออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้อง แม้บางฉบับจะมีจุดอ่อนบ้าง แต่ก็ไม่มีผลเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติ ถึงขนาดเป็นกฎหมายขายชาติ ขายแผ่นดิน ดังที่มีคนวิตกกังวลแต่อย่างใด
นายวิชิตกล่าวถึงข้อสรุปของคณะอนุกรรมการถึงผลการศึกษากฎหมายทั้ง 11 ฉบับว่า ฉบับที่ 1 พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ.2542 คณะอนุกรรมการมีความเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไข แต่มีข้อสังเกตว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ใดทำสัญญาและจดทะเบียนการเช่าแม้แต่รายเดียว อาจเป็นเพราะรัฐออกกฎเกณฑ์วิธีการที่เข้มงวดเกินไป อีกทั้งสัญญาเช่า 50 ปี ผู้ให้เช่าสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที หากผู้เช่าผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า ทำให้นำสัญญาไปจำนองเป็นหลักประกันเงินกู้ไม่ได้
ไม่แก้-ไม่เลิกกม.อาคารชุด
ฉบับที่ 2 พ.ร.บ.อาคารชุด(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไข โดยมีข้อสังเกตว่า อาคารชุดที่คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์มีเพียง 13,046 ห้องชุด จากจำนวน 568,924 ห้องชุด คิดเป็น 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และกฎเกณฑ์ฉบับนี้เปิดโอกาสให้คนต่างด้าวซื้อกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้เกิน 49 เปอร์เซ็นต์ ภายในเดือนเมษายน 2547(5 ปี นับจากกฎหมายบังคับใช้)เท่านั้น
ฉบับที่ 3 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน(ฉบับที่....)พ.ศ.2542 ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไข ส่วนข้อสังเกต จนถึงขณะนี้ยังไม่มีคนต่างด้าวซื้อที่ดินตามกฎหมายฉบับนี้ อาจเป็นเพราะกฎเกณฑ์ที่ต้องให้นำเงินมาลงทุนในประเทศสูงถึง 40 ล้านบาท คนต่างด้าวจึงหันไปซื้อห้องชุดเป็นที่พักอาศัยแทนการซื้อที่ดิน เพราะไม่ต้องลงทุนสูง
ฉบับที่ 4 พ.ร.บ.ให้จัดตั้งศาลล้มละลาย และวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไข เพราะนับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการ ศาลล้มละลายทำหน้าที่ได้อย่างเที่ยงธรรมอยู่แล้ว
แก้ไขกม.ล้มละลายบางจุด
ฉบับที่ 5 พ.ร.บ.ล้มละลาย(ฉบับที่ 5 )พ.ศ.2542 เห็นควรให้แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้ลูกหนี้ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน แต่ยังไม่ถึงขนาดมีหนี้สินล้นพ้นตัว สามารถเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูได้ แต่มีข้อสังเกตว่า ลูกหนี้และผู้ค้าควรมีโอกาสเข้ามีส่วนร่วมในการจัดแผนฟื้นฟูและบริหารแผนด้วยหรือไม่ อย่างไร
ฉบับที่ 6 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไข แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายฉบับนี้เพียง 967 ราย และนิติบุคคลที่คนต่างด้าวถือหุ้นไม่เกิน 49 เปอร์เซ็นต์ แต่คนต่างด้าวเข้าเป็นกรรมการและผู้บริหารของนิติบุคคลนั้นมากกว่าคนไทย
ฉบับที่ 7 พ.ร.บ.ประกันสังคม(ฉบับที่ 3)พ.ศ.2542 ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไข เพราะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกันตนมากขึ้น แต่กรณีที่ผู้ประกันตนถูกเลิกจ้างและว่างงาน ควรเพิ่มมาตรการช่วยเหลือ ว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ว่างงานได้มากน้อยเพียงใด
ฉบับที่ 8 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 17)พ.ศ.2542 ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไข เพราะกระบวนการพิจารณาคดีในมโนสาเร่ เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่และลูกหนี้ได้สะดวกและรวดเร็ว ค่าใช้จ่ายน้อย ศาลมักจะไกล่เกลี่ยให้คดียุติได้โดยเร็ว
ฉบับที่ 9 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 18)พ.ศ.2542 ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไข เพราะเป็นมาตรการในการบังคับคดีให้เร็วขึ้น และศาลให้ความยุติธรรมดีอยู่แล้ว
ฉบับที่ 10 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 19)พ.ศ.2542 ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไข เพราะแก้ไขประวิงคดีของคู่ความ ทำให้คดีเสร็จโดยเร็ว
เดินหน้าแปรสภาพรัฐวิสาหกิจ
ฉบับที่ 11 พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือแก้ไข เพราะเป็นกฎหมายที่ช่วยให้การแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างรวดเร็ว เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและประชาชน เกิดความโปร่งใส มีกรรมการรับผิดชอบงานแต่ละด้าน มีคณะรัฐมนตรี(ครม.)กำกับดูแล และให้ความเห็นชอบ รวมทั้งมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ส่วนการขายหุ้นเป็นอีกส่วนหนึ่งตามนโยบาย ครม.ไม่อยู่ในข้อบังคับของกฎหมายนี้
"อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการได้รับทราบจากผู้ปฏิบัติงานที่มาชี้แจง ถึงปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมาย 11 ฉบับ อยู่บางประการ ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งศึกษาถึงจุดอ่อนที่ควรปรับปรุงแก้ไข โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชนให้มากที่สุด" นายวิชิตกล่าว
บิ๊กหอค้าเสียงอ่อยยอม'แม้ว'
นายวัชระ พรรณเชษฐ์ กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า ได้นำเสนอผลสรุปจากการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศต่อ น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกรัฐมนตรี ในประเด็นเรื่องการค้าปลีก โดยยอมรับว่าการออกกฎหมายค้าปลีกยังต้องผ่านขั้นตอนและอาจมีผลกระทบบางอย่าง จึงขอให้รัฐใช้กฎหมายที่มีอยู่ หรือออกแนวทางที่เหมาะสมในการดูแลธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ เช่น เกณฑ์ที่ตั้งของห้างสรรพสินค้า เวลาเปิด-ปิดบริการ การชะลอการขยายสาขา และพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม
นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าจังหวัดเตรียมการทำหน้าที่คนกลางให้ร้านโชห่วยติดต่อสั่งซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ตกับบริษัทรวมค้าปลีกเข้มแข็ง หรือเออาร์ทีได้แล้ว แต่ยังติดขัดที่ เออาร์ทียังจัดหาสินค้ามาได้เพียง 30 กว่ารายการเท่านั้น ที่สำคัญ ยังไม่สามารถตกลงกับธนาคารพาณิชย์ที่จะมาช่วยปล่อยสินเชื่อให้ร้านค้าได้ ที่ผ่านมามีการเจรจากับธนาคารกรุงไทย แต่ก็คิดค่าธรรมเนียมสูงถึง 3.75%
------------------------------------------
โดย มาหาอะไร
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.