บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


07 มกราคม 2554

<<< บทเรียนรัก >>>

บทความแรกของปี 2554 นี้
เป็นเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวังของเรา
พอดีพึ่งรู้สึกอกหักครั้งสองฉลองปีใหม่
ส่วนครั้งแรกนั้นนานหลายปีมาแล้ว
อยากบันทึกเรื่องราวนี้เก็บไว้เป็นบทเรียนสอนใจ

รักครั้งแรก
เป็นการรักเพื่อนที่เรียนมัธยมมาด้วยกัน

แต่ก็ปิดบังความรู้สึกชนิดว่าไม่มีใครรับรู้
แม้แต่เพื่อนคนที่ไปแอบรักเขา
รู้สึกเราจะแปลกคนเหมือนกัน
แบบอายกลัวเพื่อนจะรู้
ไม่กล้าแสดงออก กลัวความผิดหวัง
อยู่ใกล้เธอยังทำเหมือนไม่สนใจ
จนกระทั่งเขาจะแต่งงานนั่นแหล่ะ
ถึงออกอาการแต่มันก็สายไปแล้ว
ซึ่งกว่าเธอจะแต่งงานหรือมาเจอแฟน
ก็เรียนมหาวิทยาลัยจบแล้ว
และกว่าเธอจะตกลงแต่งงาน
ก็นานจนเธออายุขึ้นเลขสามแล้วเห็นจะได้
แต่เราก็ซ่อนความรู้สึกเก่งเกินเหตุ
ไม่มีใครรับรู้ว่าเราแอบชอบเธอ
แม้แต่ตัวเธอเอง ก็ไม่น่าจะรู้
มารู้ตอนใกล้จะแต่งงานแล้วนั่นแหล่ะ
แบบเราเริ่มออกอาการ
คล้ายๆ เด็กโดนแย่งของเล่นยังไงไม่รู้ อิอิ
ซึ่งหลังจากเปิดเผยทำนองว่าแอบรักเขา
ก็ได้รับคำตอบว่า
"เราเป็นเพื่อนกันหน่ะดีแล้ว"
และเพื่อนที่เคยเรียนมัธยมมาด้วยกัน
ก็รู้กันหมด เพราะเธอคงไปเล่าให้ฟัง
เราเลยโดนเพื่อนๆ ล้อหลายปีทีเดียว
แม้แต่ในงานแต่งงานเธอ
ซึ่งเราก็ไปยินดีกับเธอด้วย
ยังไม่วายมีบางคนจะล้ออีก
จนเราต้องดุเพื่อนบางคนที่กำลังจะล้อเราให้อาย
แบบจะล้อที่ไหนก็ล้อไปแต่ขอสักงานเถอะ
อกหักครั้งแรกใช้เวลานานหลายปีทีเดียว
กว่าจะรู้สึกปกติแบบฟังเพลงเศร้าๆ
แล้วไม่อินตามจนพาลน้ำตาจะไหล อะไรแบบนั้น

บทเรียนจากการอกหักรักครั้งแรกสอนใจให้เรารู้ว่า
"ถ้าเราไม่กล้าบอกรักใคร
เพราะกลัวความผิดหวัง
สุดท้ายก็จะพบกับความผิดหวังอยู่ดี
แทนที่จะกล้าแสดงออกบอกรักเธอ
แม้ต้องเจอกับความผิดหวัง
ก็ยังดีที่ได้เริ่มต้นรักใหม่ได้ไว
จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและโอกาสอันยาวนาน"

"โอกาสนั้นสำคัญกว่าทรัพย์สินเงินทอง
ถ้าพลาดโอกาสสำคัญนั้นแล้ว
ต่อให้อนาคตจะมีแก้วแหวนเงินทองมากมาย
ก็อาจไม่สามารถไขว้คว้าหาโอกาสนั้นได้อีก"

<<< เพลง จะรักเธอ เท่าที่เธอรักฉัน >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/08/blog-post_4534.html

<<< เพลง เราเป็นเพื่อนกันหน่ะดีแล้ว >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/08/blog-post_1582.html

<<< เพลง อยากเจอคนรู้ใจ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/08/blog-post_28.html

รักครั้งสอง ของเรา
พึ่งเกิดได้ไม่กี่เดือนมานี้เอง
แบบเว้นวรรคมานานหลายปีทีเดียว
จนหลายๆ คนชอบถามเราว่า
ทำไมไม่คิดจะมีแฟน
แต่ก่อนก็ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ยังไงดี
แต่เดี๋ยวนี้มีคำตอบอย่างมั่นใจแล้วว่า
เพราะผู้หญิงไม่ใช่สินค้า
แบบว่าถ้าเราชอบขึ้นมา
จะเอาเงินไปซื้อได้เหมือนซื้อสินค้า
ถ้าเป็นแบบนั้นป่านนี้ก็คงมีไปนานแล้ว
แต่นี่ต้องไปจีบ แบบว่าจีบเก่งเสียด้วยซิ
ต่อให้แจกแต้มมาให้ก่อน 100 คะแนน
จีบไปจีบมาอาจติดลบ 100 คะแนนก็ได้
แบบว่ามั่นใจ อิอิ
มันก็เลยยังไม่มีแฟนด้วยประการละฉะนี้

สมัยเราเด็กๆ หรือตอนหนุ่มน้อย
หญิงในสเป็คเรานี่ ต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง
นอกนั้นถ้าไม่สวย ก็ต้องน่ารักอะไรประมาณนั้น
ตอนนั้นเรายังงงว่าทำไมมีคนรักสาวแม่ม่ายได้
แต่พอมาวันนี้ เราถึงเข้าใจว่า
ความรักจริงๆ บางทีมันก็ไม่ได้มีแค่เรื่องเซ็กส์อย่างเดียว
บางทีมันมีเรื่องความเข้าใจ เรื่องอยู่ใกล้แล้วสบายใจ
หรือแม้แต่เรื่องทัศนคติหรืออุดมการณ์ใกล้เคียงกันด้วย
บางทีถ้ารักเพราะอยู่ใกล้แล้วสบายใจ
แบบคอเดียวกัน ทัศนคติคือๆ กัน
บางทีมันก็สามารถทำให้เลิกสนใจว่า
เธอเป็นสาวบริสุทธิ์หรือไม่อย่างไร
แต่ข้อเสียของการไปรักแม่ม่ายบางคนก็มีเหมือนกัน

คือเธออาจจะเข็ดผู้ชายจนไม่อยากมีแฟนใหม่
หรือถ้าอายุมากแล้วก็อาจกังวลนั่นนี่
จนปิดใจไม่กล้ายอมรับโอกาสใหม่ๆ อะไรได้อีกต่อไป
ก็เลยอาจทำให้ผู้ชายที่ไปตกหลุมรัก
ต้องกินแห้วเคล้าน้ำตากันมานักต่อนักแล้ว
หนึ่งในนั้น ท่าจะมีเราร่วมชมรมคนกินแห้วกับเขาด้วย
เมื่อเธออยากให้เราเป็นเพื่อน ไม่อยากให้เราเป็นแฟน
มันก็ไม่ตรงกับแบบแปลนที่เราวางไว้ว่า
อยากจะเป็นแฟนไม่อยากเป็นเพื่อน
พอเขารู้ว่าจะไปจีบ ก็เลยระวังตัวมากขึ้น
เช่น โทรไปก็ไม่รับสายอะไรประมาณนั้น
ซึ่งตอนที่ยังดูเหมือนเป็นเพื่อนก็ยังรับสายดี
มันก็เป็นสัญญาณว่า
เราคงได้เป็นสมาชิกชมรมคนกินแห้วอีกแล้ว
แต่จากบทเรียนรักครั้งแรก
มันทำให้เราไม่อยากรอคอยคำตอบนาน
แบบถ้าต้องคบไปหลายปีแล้วค่อยมาบอกว่า
เป็นได้แค่เพื่อนเป็นแฟนเป็นไม่ได้อะไร
เราคิดว่า ยิ่งนานก็ยิ่งเจ็บ เจ็บเร็วก็จบเร็ว

ผู้หญิงบางคนอาจคิดว่า
ต้องการคบผู้ชายเพื่อเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาแก้เซ็ง
โดยอาจยอมไปกินข้าวสองต่อสองด้วยบ่อยๆ
แต่คิดแค่ว่าเขาเป็นแค่เพื่อน
แต่เราว่าผู้ชายร้อยทั้งร้อยหรือหญิงรักหญิงก็เหมือนกัน
ถ้าลองชวนผู้หญิงไปกินข้าวสองต่อสองด้วยบ่อยๆ
เขาคงไม่คิดเป็นเพื่อนแล้วหล่ะ
ไม่ว่าหัวหงอกหัวดำ เราว่าเขาคิดจะจีบแล้วหล่ะ
คือตอนแรกเรายังงงๆ แบบนึกว่า
จะมีผู้หญิงที่ไม่รู้ภาษากายของผู้ชายแบบนี้ไม่กี่คน
ที่ไหนได้พอลองซาวเสียงกับพี่ๆ ที่ทำงาน
พบว่าเกือบครึ่งต่อครึ่งคือไม่รู้
หรือเคยไปกินข้าวกับเพื่อนผู้ชาย
แบบคิดว่าเขาเป็นแค่เพื่อนมาแล้วก็มี
ก็เพราะแบบนี้แหล่ะมั้ง
ถึงได้มีเพลงประเภทแนว
อยากเป็นแฟนไม่ได้อยากเป็นเพื่อน
ออกมาให้ร้องกันเยอะแยะ เฮ้อ

ถ้าสมมุติว่าผู้ชายคนนั้น
ยอมคิดเป็นแค่เพื่อนไม่คิดเป็นแฟน
แล้ววันหนึ่งเขาจะไปจีบผู้หญิงอื่น
เขาจะไม่ถูกมองว่ากำลังจับปลาสองมืออยู่หรือ
หรือเป็นผู้ชายหลายใจเจ้าชู้อะไรหรอกหรือ
แล้วผู้หญิงที่จะไปจีบเขาไม่เข้าใจผิดหรือ
มันถึงต้องคิดเป็นแฟนนั้นแหล่ะถูกแล้ว
ถ้าคิดเป็นเพื่อนก็ต้องวางตัวอีกแบบ

สำหรับคนอื่นเป็นยังไงไม่รู้
แต่สำหรับเราแล้ว
ช่องว่างระหว่างคำว่าแฟนกับเพื่อนห่างกันมากๆ
แฟนจะเป็นคนที่พิเศษสุดๆ ของชีวิตเลยก็ว่าได้
เพราะจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไปตลอดชีวิต
ก็เลยต้องเป็นอะไรที่พิเศษแตกต่างจากคำว่าเพื่อน
เพื่อนอาจได้ของขวัญเล็กๆ หรือไม่ให้ก็ได้
แต่แฟนเราอาจทุ่มให้หมดหน้าตัก
ทรัพย์สินเงินทองบ้านพร้อมที่ดิน
มีอะไรเรายกให้หมดแหล่ะ
ที่เราหาๆ ทรัพย์สินมานี่
ก็เพื่อยกให้ลูกให้เมียในเวลาที่เหมาะสมทั้งนั้นแหล่ะ
ไม่ได้คิดกอดหวงไว้ไม่ให้ใครไปจนตายอะไรหรอก
จนพี่ที่ทำงานบางคนแซวว่า
นี่ถ้าเราไปแต่งงานกับใครแล้วเลิกกัน
สงสัยจะเหลือแต่ผ้าขาวม้าแน่ๆ
แต่เราคิดว่าท่าจะเหลือแต่กางเกงใน อิอิ
แม้แต่เรื่องการวางตัวก็ต่างกัน
เพื่อนเดินใกล้ชิดมากไม่ได้เดี๋ยวมีข่าวลือมากมาย
แต่แฟนเดินควงเดินกอดได้แบบไม่อายใคร
จะเห็นได้ว่ามันต่างกันน่ะ
มันมีช่องว่างห่างกันมาก
ถ้ายังเป็นเพื่อน ความสัมพันธ์ก็จะห่างๆ กั๊กๆ เกร็งๆ
แต่ถ้าเป็นแฟนแล้ว ทำตัวสบายๆ เดินนัวเนียกันยังได้ อิอิ

แต่ก่อนเรายังงงๆ เหมือนกัน
เมื่อเห็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งของเราไปจีบเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง
แล้วเพื่อนผู้หญิงคนนั้นก็โกรธเพื่อนผู้ชายคนนั้นนานเป็นปี
ทั้งๆ ที่ก่อนที่เขาจะโทรมาจีบมาบอกว่ารัก
ก็ยังพูดคุยสนิทสนมกันดี จนนึกว่าเป็นแฟนกันแล้วด้วยซ้ำ
เพียงแค่เขาโทรมาจีบ ก็โกรธเขาหัวฟัดหัวเหวี่ยง
เราฟังเรื่องนี้จากการเล่าของเพื่อนผู้หญิงคนนั้นด้วยความงุนงง

จนกระทั่งวันนี้เราพอจะเข้าใจแบบไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
เพราะมันคล้ายๆ กรณีเราตอนนี้เหมือนกัน
เราขอเดาว่าน่าจะเป็นเพราะคนที่มาจีบเป็นเพื่อน
แล้วผู้หญิงไม่คิดว่าจะมาจีบเธอเป็นแฟน ก็เลยโกรธ
หรือเธอมีแฟนอยู่แล้ว หรือผู้ชายไม่ใช่สเป็ค
ของเธอ
แต่เราว่า ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุอะไรก็ตาม
ผู้หญิงไม่ควรไปโกรธหรือเกลียดผู้ชายที่มาขอความรัก
เขาไม่ได้มาปล้นความรักหรือมาหักอกเธอ
ถ้าเป็นกรณีหลังยังพอเข้าใจถ้าจะโกรธหรือเกลียดเขา
แต่ถ้าแค่เขามาขอความรัก แต่เธอไม่คิดจะรักเขา
เพราะเห็นว่าไม่ใช่สเป็คเธอหรือคิดแค่เป็นเพื่อน
ก็น่าจะปฏิเสธกับเขาดีๆ เพราะแค่เขาโดนปฏิเสธ
เขาก็เจ็บมากพอแล้ว ซึ่งผู้ชายบางคนอาจถึงคลุ้มคลั่งทำร้ายตัวเองก็มี
ไม่น่าจะไปโกรธหรือเกลียดจนไม่อยากจะมองหน้าเขา
เพราะเขาแค่มาขอความรัก ไม่ได้ทำผิดอะไรมากมายเลย
ไม่ให้ความรักเขาก็อย่าให้ความเกลียดเขาเลย
ไม่จำเป็นต้องไปสงสารเขา แค่ปล่อยให้เขาทำใจให้ได้เอง
แล้วอย่าไปซ้ำเติมเขาด้วยการโกรธหรือเกลียดเขาเพิ่มเติมอีกเลย

สำหรับบทเรียน รักครั้งสองของเรา
"ใจหญิงนั้นซับซ้อนและหยั่งยาก
หากเธอทำท่าเหมือนสนใจ
ใช่ว่าเธออยากจะเป็นแฟนด้วย
และถ้าหากเกิดตกหลุมรักเธอ
ก็อาจต้องตามจีบไปอีกนาน
โดยไม่มีหลักประกันว่า
จะสำเร็จเสมอไป"


แถมอีกเรื่องที่เราเคยเห็นพฤติกรรมคนในสังคมบ่อยๆ
เรามักพบว่าผู้หญิงสมัยนี้ลืมนึกอะไรไปอย่างหนึ่ง
คือบางคนพยายามแข่งทำตัวเป็นไฮโซ
หรือวางมาดราวกับนางพญา

แล้วปฏิบัติกับแฟนของเธอราวกับว่า
เป็นเหมือนคนขับรถหรือเป็นเหมือนคนรับใช้
คนทั่วไปก็จะมองเธอเป็นเมียคนขับรถหรือเมียคนรับใช้เท่านั้นเอง

"การให้อภัยเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตคู่
เพราะการอยู่ด้วยกันต้องมีสักวันที่ทำผิดพลาด
ถ้าขาดการให้อภัยกันวันไหน
ชีวิตรักก็จะขาดสะบั้นในวันนั้น"

<<< เพลง มีรักกี่คราจบด้วยน้ำตาทุกที >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/01/blog-post_08.html

<<< เพลง อย่าทำให้รู้ว่าฉันนั้นมีคู่แข่ง >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/01/blog-post_11.html

<<< เพลง ไม่ถึงกับตายหรอกเธอ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/01/blog-post_6872.html

<<< เพลง อยากเป็นแฟนไม่ได้วางแปลนเป็นเพื่อน >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/01/blog-post_13.html

<<< เพลง อายุไม่สำคัญ สำคัญแค่เรารักกัน แค่นั้นก็พอ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/01/blog-post_14.html

<<< เพลง อภัยให้เธอเสมอ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/01/blog-post_5471.html

<<< เพลง วอนเธอรัก >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/01/blog-post_16.html

โดย มาหาอะไร
FfF