บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


09 มิถุนายน 2552

<<< วิกฤตต้มยำกุ้ง #4 เด็กดี หนูลองยา IMF >>>

- ทำตัวเป็นเด็กดี จนกลายเป็นหนูลองยาให้ IMF

ธารินทร์ปิดฉากการเมืองบนความย่อยยับของชาติ


ใน ตอนนั้น กระแสสังคมส่วนใหญ่เชื่อกันว่า หากต่างชาติเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล อีกไม่นาน เงินลงทุนก็จะไหลกลับเข้ามา ฉุดเศรษฐกิจไทยให้พ้นจากหายนะ ความเชื่อเช่นนี้เองที่ทำให้รัฐบาลของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ถูกต่อต้านจากชนชั้นกลางในเมือง และสื่อมวลชนด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ทีมเศรษฐกิจไม่มีฝีมือ ไม่เป็นที่ยอมรับของต่างชาติ จนพลเอกชวลิตต้องลาออกไปหลังจากที่เป็นรัฐบาลได้เพียง 11 เดือน และความเชื่อเช่นนี้เอง ทำให้ไม่มีใครตั้งคำถามในเรื่องแนวทางแก้ปัญหาของธารินทร์ว่าถูกต้องหรือไม่ ไม่มีใครตั้งข้อสงสัยในเรื่องความแตกต่างระหว่างการบริหารธนาคารพาณิชย์ใน ช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ

จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบปี เมื่อข้อเท็จจริงเริ่มปรากฎว่า การเดินตามแนวทางของไอเอ็มเอฟนั้นผิด และการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินของธารินทร์ส่อว่า มีการเลือกปฏิบัติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์และปกปิดความผิดพลาดของตนและพวกพ้อง แนวทางการ แก้ไขปัญหาของธารินทร์ จึงเริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ

วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ขนาดความซับซ้อนและความรุนแรงของปัญหา มีมากกว่าที่คาดคิดกันไว้ ไม่มีสูตรสำเร็จในการแก้ไข ถ้าหากธารินทร์จะยอมรับความผิดพลาด รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และปรับปลี่ยนแนวทางการแก้ไขให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาเสียใหม่ ประเทศชาติก็คงจะไม่บอบช้ำอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่เขายืนยันในความถูกต้องของตนเอง ภายใต้การปกป้องของชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ด้วยคำพูดทำนองว่า เราเดินมาถูกทางแล้ว เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง

วันนี้ ต่างจากเมื่อ 3 ปีก่อนโดยสิ้นเชิงไม่มีใครเชื่อน้ำยาเขาอีกต่อไปแล้ว จากดาวรุ่งทางการเมืองที่ถูกวางตัวว่า เขานั่นแหละคือนายกรัฐมนตรีในอนาคตของประเทศไทย ถึงวันนี้ หลังการประกาศยุบสภา คือ การปิดฉากอนาคตทางการเมืองของธารินทร์ ด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ตัวเองพ่ายแพ้นั้นไม่เท่าไร เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ความล้มเหลวของธารินทร์ ทำให้ประเทศไทยต้องย่อยยับไปด้วย อย่างที่ไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อไร

ธารินทร์ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้วครั้งหนึ่ง ในสมัยชวน 1 เมื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้งด้วยพื้นฐานความเชื่อ ที่ว่า การแก้ไขปัญหาภาคการเงิน และสถาบันการเงินก่อนจะช่วยให้เศรษฐกิจในส่วนอื่นฟื้นตามได้ มาตรการเร่งด่วนในช่วงแรกจึงเน้นไปที่มาตรการด้านการเงิน ในปี 2540 หลังการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาล "ชวน 2" นโยบายการเงินแบบเข้มงวด ที่ถูกแนะนำโดยไอเอ็มเอฟ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ธารินทร์ก็นำมาใช้โดยไม่ได้ดัดแปลงไปจากรัฐบาลของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธเลยก็คือนโยบายอัตราดอกเบี้ยสูง และลดปริมาณเงินในระบบเพราะเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูง จะดึงเงินลงทุนของชาวต่างชาติไว้ในประเทศได้ และทำให้เกิดความมั่นใจและรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินได้เป็นอย่างดี

นโยบายนี้ก็มีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย เนื่องจากผู้คัดค้านเห็นว่านโยบายดอกเบี้ยสูงนั้นจะก่อให้เกิดการล่มสลายของ ธุรกิจเป็นจำนวนมาก และจะทำให้เศรษฐกิจหดตัวอย่างรุนแรง ในปี 2541 เศรษฐกิจอยู่ในสภาวะย่ำแย่อย่างมากคือ ณ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 15.5 % เศรษฐกิจก็หดตัวลงถึง10.4 เปอร์เซ็นต์ จากที่ในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 2-5 คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะหดตัวลงไม่เกินเลขหนึ่งหลัก สภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2541 มีคนตกงานเพิ่มขึ้น 1-2 ล้านคนเป็นอย่างน้อย NPLโดยเฉลี่ยในระบบนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ธนาคารที่รัฐเข้าไปแทรกแซงนั้น NPLเพิ่มขึ้นสูงไปอยู่ในระดับ 60 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ธารินทร์ รมว.คลังฯ เพิ่งเริ่มตระหนักว่าการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินนั้นยังไม่คืบหน้าไปเท่าที่ ควร และจะเป็นตัวฉุดระบบเศรษฐกิจได้ ทางรัฐบาลจึงได้ออกมาตรการเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2541 โดยมาตรการดังกล่าว ต่อมาเรียกกันสั้นๆ ว่า "มาตรการ 14 สิงหา" แก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน โดยจัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเพิ่มทุนทั้งในกองทุนขั้นที่ 1 และ 2 โดยได้ออกพรก.เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถออกพันธบัตรมูลค่า 300,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีนโยบายให้ธนาคารต่างๆ ที่อ่อนแอมีการปิดควบรวมกิจการ หรือเพิ่มทุนอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ธนาคารเหล่านี้สามารถกลับมาทำหน้าที่หมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยการรับฝากและให้กู้เงินให้แก่ภาคการผลิตได้อย่างเร็วที่สุด ซึ่งในวันเดียวกัน ก็มีการแถลงว่าพันธบัตรมูลค่า 300,000 ล้านบาทนั้นจะถูกหมุนขยายให้เป็นสินเชื่อได้ถึง 12 เท่าของเงินต้นคือ เป็นเงินกว่า 3.6 ล้านล้านบาท ขณะที่นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการเงินได้กล่าวว่ามาตรการ 14 สิงหานี้ รัฐบาลนำมาใช้ปฏิบัติการช้าเกินไปถึง 6 เดือน ต่อมาไม่นานนักมาตรการ 14 สิงหาก็สำแดงผลออกมาอย่างชัดเจนว่าล้มเหลว เนื่องจากจนถึงปลายปี 2542 เงินกองทุนใช้ไปเพียง 48,700 ล้านบาทเท่านั้นจาก 300,000 ล้านบาท โดยธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีความสนิทชิดเชื้อกับธารินทร์มากที่สุดใช้เงินกอง ทุนไปเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ คือ กว่า 37,400 ล้านบาท

จนกระทั่งปัจจุบัน ตัวเลขเมื่อสิ้นเดือนก.ย. 2543 มาตรการนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ
  • ตัว เลขการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในเดือน ก.ย. 2543 ลดลงจากเดิมที่เคยอยู่ในระดับ 5.2 ล้านล้านบาทในเดือน ก.ย. 2542 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจย่ำแย่มากแล้ว เหลือเพียง 4.74 ล้านบาทเท่านั้น
  • ขณะ นี้ตัวเลขหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นเดือนก.ย. 2543 ถึงแม้จะลดลงเหลือ 1.12 ล้านล้านบาทหรือ 22.78 เปอร์เซ็นต์ของสินเชื่อรวม แต่สาเหตุที่ NPL ลดลงนั้นก็ไม่ได้มาจากสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น หรือภาคการผลิตที่สามารถทำการผลิตได้มากขึ้น แต่เกิดจากการโอนหนี้เสียของธนาคารกรุงไทยไปให้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) กว่า 5.3 แสนล้านบาท
ทั้งนี้หากแยก NPL รายกลุ่มในเดือนกันยายน 2543 จะปรากฏดังนี้
ธนาคาร เอกชนมี NPL 5.26 แสนล้านบาท และสินเชื่อรวม 2.62 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20.11% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงสุทธิจากเดือนก่อน 4.77 หมื่นล้านบาท หรือ 8.31% เนื่องจากเดือนกันยายนนี้ธนาคารดีบีเอสไทยทนุโอนขายหนี้ให้ต่างประเทศ

ธนาคารของรัฐ มี NPL 4.93 แสนล้านบาท และสินเชื่อรวม 1.49 ล้านล้านบาท คิดเป็น33.09% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงสุทธิจากเดือนก่อนหน้า 4.22 แสนล้านบาท หรือ 46.13%ลดลงมากจากเดือนก่อนที่มี NPL 9.14 แสนล้านบาท เนื่องจากธนาคารกรุงไทยโอน NPL ไป AMC เป็นสำคัญ

สาขาธนาคารต่างประเทศ มี NPL คงค้างทั้งสิ้น 3.93 หมื่นล้านบาท และสินเชื่อรวม6.31 แสนล้านบาท คิดเป็น 6.23% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงสุทธิจากเดือนก่อน 7.4พันล้านบาท หรือ 15.83% และบริษัทเงินทุน มี NPL คงค้างทั้งสิ้น 5.72 หมื่นล้านบาท และสินเชื่อรวม 1.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 35.69% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงจากเดือนก่อน 1.1พันล้านบาท หรือ 1.84%

ขณะที่ตัวเลข ณ กลางปี 2543 ตัวเลขเม็ดเงินของกองทุนแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่เตรียมไว้ 3 แสนล้านบาทนั้นถูกใช้ไปเพียง 1 แสนล้านบาท ธนาคารพาณิชย์เอกชนยังประสบปัญหาเรื่องการเพิ่มทุนไม่เพียงพอ ในการรองรับ NPL ทำให้ผู้ประกอบการล้มละลายอย่างต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ เพราะสินเชื่อไม่ได้ถูกปล่อยออกมา ส่วนผู้ฝากเงินต้องทนรับชะตากรรมจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ใน ระดับที่ต่ำติดดิน

สาเหตุที่กระทรวงการคลังและธปท. วางนโยบายการเพิ่มทุนธนาคารพาณิชย์เอกชน ต่อเนื่องด้วยการขายธนาคารที่แทรกแซงเป็นของรัฐ โดยเน้นเม็ดเงินของต่างชาติเป็นหลัก เป็นนโยบายที่เกิดขึ้นจากพื้นฐานความคิดที่ว่า ประเทศไทยต้องอาศัยทุนต่างประเทศเท่านั้นจึงจะฟื้นได้

นอกจากนี้ การยืนยันเจตนารมณ์ที่ใช้โครงการเพิ่มเงินกองทุนขั้นที่ 1 และ 2 ภายใต้มาตรการ 14 สิงหา ยิ่งกลายเป็นการซ้ำเติมวิกฤติสถาบันการเงินมากกว่าการแก้ปัญหา เพราะนอกจากแบงก์เอกชนไม่สามารถหาเงินทุนจากต่างประเทศได้เพียงพอแล้ว ยังไม่สนใจเข้าร่วมโครงการฯตามมารตรการ 14 สิงหาด้วย โดยสังเกตได้จากเงิน 3 แสนล้านบาทที่วางแผนไว้แต่ต้นมีการใช้ไปเพียง 1 ใน 3 หรือ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น ในส่วนของธนาคารก็มีเพียงธนาคารไทยพาณิชย์และทหารไทยเท่านั้นที่ขอรับความ ช่วยเหลือในโครงการเพิ่มเงินกองทุนขั้นที่ 1 ส่วนธนาคารที่เข้ายึดโดยธปท. และกลายเป็นธนาคารของรัฐนั้นที่ขายไปก็เป็นการขายแบบขาดทุนประกอบด้วย ธนาคารแหลมทอง ธนาคารนครธน และธนาคารศรีนคร ส่วนธนาคารนครหลวงไทยที่ยังไม่ขายนั้น สินทรัพย์ ก็เสื่อมค่าลงทุกวัน

ปรส.ปล้นชาติทำกองทุนล้มละลาย
ใน ส่วนของการจัดการปัญหา 56 สถาบันการเงินได้วางนโยบายผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นคือ ธารินทร์ จะพูดโดยตลอดว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจ และการเงินของประเทศเกิดขึ้นเนื่องจากการทำจดหมายแสดงเจตจำนง (LOI) ฉบับที่ 1 สมัยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธทั้งสิ้น คือโยนความผิดให้กับรัฐบาลก่อนโดยตลอด ตนเป็นเพียงผู้เข้ามาแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น (สรุปรายละเอียดจดหมายแสดงเจตจำนง (LOI) ทุกฉบับท้ายบทความ)

ต่อมาวันที่ 20 พ.ย. 2540 ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลชวน 2 ได้แถลงนโยบายอย่างสวยหรู โดยการกำหนดแผนดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน และวางแผนไปถึงระยะยาว ขณะนั้น นโยบายเร่งด่วนที่ประกาศคือ การเสริมสร้างเสถียรภาพและความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินและการเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ และได้ออกมาตรการคือ ต้องแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการชั่วคราวทันที โดยให้องค์การเพื่อการปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) ดำเนินการ 3 แนวทางคือ

  1. กลุ่มบริษัทที่สามารถเพิ่มทุนให้เปิดดำเนินการได้ทันที
  2. กลุ่มที่จำเป็นต้องควบรวมให้จัดการให้มีการควบรวมกิจการทันที
  3. กลุ่มบริษัทที่มีปัญหาและต้องปิดกิจการให้จัดการแบ่งแยกสินทรัพย์ที่มี คุณภาพดี และเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินภายในหรือต่างประเทศรับไปบริหารส่วนสินทรัพย์ ดี
ผลที่ตามมาจากมาตรการข้างต้นคือ
  • มีการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่งและอนุมัติให้ 2 แห่งเปิดดำเนินการต่อไปได้
  • หลัง การปิดสถาบันการเงินไม่ได้แยกสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีให้สถาบันการเงินอื่นไป บริหาร เพราะผู้บริหารปรส. อธิบายว่า ปรส.ไม่ได้มีหน้าที่ไปแยกหนี้ดี-หนี้เสีย ไม่มีหน้าที่ประนอมหนี้ ไม่มีหน้าที่รักษาค่าของสินทรัพย์ให้คงอยู่หรือดีขึ้น ปรส.มีหน้าที่เพียงเลหลังขายสินทรัพย์ราคาถูกๆ เท่านั้น
  • วัน ที่รัฐบาลชวน หลีกภัยรับงานไปจากรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ทรัพย์สินของบริษัทเงินทุนมีอยู่ประมาณ 984,000 ล้านบาท กองทุนฟื้นฟูในวันนั้นถือหลักประกันของบริษัทเงินทุนเหล่านี้ในมูลค่า 984,000 ล้านบาท ถ้าหากมีการควบรวมแยกหนี้ดี-เสีย จริงๆ ตามแผนที่ทำไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว (เพราะทุกบริษัทได้มีการ Due Diligence และมีแผนควบรวมไว้เรียบร้อยแล้ว) ปัญหาก็คงไม่เกิดขึ้น
การ ระงับกิจการชั่วคราวเป็นการระงับความเสียหายไม่ให้เพิ่มขึ้นเพื่อรอการทำแผน ฟื้นฟู ควบกิจการ หรือการแยกหนี้ดี-เสีย เพื่อแก้ปัญหา ซึ่งถ้ากระทำตามนโยบายเดิมหรือนโยบายเร่งด่วน ความเสียหายก็คงจะไม่สูงถึง 620,419 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และที่สำคัญที่สุดคือ ความเสียหายนี้ต้องตกเป็นภาระของสถาบันการเงินเหล่านี้ กับเจ้าหนี้ทั้งไทยและต่างประเทศ เป็นหนี้ของภาคเอกชนที่ประชาชนไทยทั้งประเทศไม่ต้องมาแบกรับภาระ

ใน LOI ฉบับที่ 1 มีการกำหนดไว้ชัดเจนข้อหนึ่งว่า รัฐบาลไทยจะไม่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินมาชำระแทนเอกชน เป็นเรื่อง moral hazard ที่ไอเอ็มเอฟเห็นด้วย แต่ธารินทร์กลับไปแก้และออก LOI ฉบับต่อๆ มา แล้วออกพระราชกำหนด (พรก.) ให้รับโอนภาระความเสียหายของกองทุนฟื้นฟู 5 แสนล้านบาท โดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่ผูกพัน์กันมาก่อน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะจะโอนภาระหนี้ของเอกชนมาเป็นของรัฐได้อย่างไร ทำไมประชาชนทั่วไปซึ่งไม่ได้ก่อหนี้เหล่านี้จะต้องออกมารับภาระหนี้นี้แทน ในการเจรจากับไอเอ็มเอฟ ไทยไม่เคยยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้ และไอเอ็มเอฟเองก็บอกว่าทำไม่ได้และไม่ควรทำ แต่ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงว่า ใน LOI ฉบับที่ 2 และ 3 รัฐบาลนี้ไปเจรจารับภาระทำไม และที่สำคัญ ไอเอ็มเอฟเห็นชอบได้อย่างไร การไปรับโอนหนี้ของเอกชนมาเป็นหนี้ของรัฐและประชาชนเป็นการกระทำที่ผิดพลาด อย่างมหาศาล การประกาศว่ารัฐจะดูแลผู้ฝากและผู้ให้กู้ที่ทำธุรกิจถูกต้องเป็นเพียงการ บรรเทาสถานการณ์ของการระดมถอนเงินเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น การบังคับให้กองทุนฟื้นฟูสละสิทธิ์หนี้บุริมสิทธิ์ของหลักประกันที่กองทุนฯ ถือ ในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันการเงินเหล่านี้ก็เพียงเพื่อเอาใจ เจ้าหนี้ต่างประเทศที่ให้กู้แบบปล่อยกู้โดยไม่มีหลักประกัน (clean loan) เป็นการเอาใจฝรั่งโดยการผลักภาระความเสียหายให้คนไทยที่ไม่รู้เรื่อง

ความเสียหายขณะนี้สูงถึง 7 แสนล้านที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความบกพร่องผิดพลาดและการปฏิบัติที่ไม่โปร่งใส ของ ปรส.ที่นำสินทรัพย์ดีๆ ไปขายแบบเลหลัง และนโยบายที่รัฐบาลเคยประกาศเอาไว้แต่แรกว่าจะป้องกันความเสียหายนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้มีการปฏิบัติเลยกลับนำไปขายให้กับต่างชาติโดยเฉพาะ และชาวต่างชาติก็ทำกำไรไปมหาศาล ความเสียหายไม่หยุดแค่ 7 แสนล้านบาท เพราะการปิด 56 บริษัทเงินทุน เป็นการทำลายความมั่งคั่งของระบบสถาบันการเงินที่เหลือ และนักธุรกิจไทยอีกจำนวนมากอย่างไม่สามารถที่จะคำนวณได้ ปรส.ขายทรัพย์สินแบบเลหลัง โดยได้ราคาไม่ถึง 15-20% ของมูลค่าจริง การลดลงของมูลค่าทรัพย์สินเหล่านี้ทำให้สินทรัพย์และฐานะของทุกธนาคาร รวมทั้งเจ้าของทรัพย์สินต่างๆ ทั่วประเทศกระทบกระเทือน และลดลงทั้งระบบ นั่นคือทำให้คนไทยจนลงถ้วนหน้า สร้างปัญหาแก่ธุรกิจ ทำลายความมั่นคงของระบบธนาคารและนำไปสู่การจำนำอนาคตทางเศรษฐกิจของไทยไว้ กับต่างชาติ และคนที่ได้ผลประโยชน์ก็คือต่างชาติ คนไทยกลายเป็นเพียงลูกจ้าง

เลี่ยงกฎหมายเอาคลังค้ำหนี้เน่า
ล่า สุดธารินทร์ มีวาระนำเรื่องการชดเชยการขาดทุนอีกกว่า700,000 ล้านบาทให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันอังคารที่ 31 ตุลาคม ซึ่งการชดเชยดังกล่าวจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดและมีคณะ กรรมการขึ้นมาพิจารณาว่า การชดเชยให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯแต่ละครั้งว่ามีจำนวนเท่าใด เขาบอกว่า ในการเสนอคณะรัฐมนตรีนั้นจะให้ที่ประชุมพิจารณากรอบที่กระทรวงการคลังชดเชย ให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯว่า มีวิธีการอย่างไร แต่จะไม่ให้เป็นภาระแก่งบประมาณตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่กระทรวงการคลังจะชดเชยให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ นั้นจะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและมีความชัดเจน

ทั้งยังกล่าวอีกว่า ความเสียหายที่คาดว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯจะได้รับนั้น ในอีก 5 ปีข้างหน้าจากการขายทรัพย์สินขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่ขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก 70,000 ล้านบาท การเข้าไปช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ต่างๆ รวมถึงธนาคารกรุงไทยและการซื้อหนี้เสียกว่า 500,000 ล้านบาทจากธนาคารกรุงไทยด้วยนั้น เมื่อคิดเป็นราคาปัจจุบันแล้วประมาณ 717,000 ล้านบาท บนสมมติฐานว่า หนี้เสียทั้งหมดจะสามารถติดตามให้ชำระคืนได้ร้อยละ 40

สรุปกองทุนฟื้นฟูฯขาดทุน 1.2 ล้านล้าน
ธารินทร์ กล่าวว่า เดิมนั้นกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย มีสมมติฐานในการคำนวณความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯแตกต่างกัน โดย ธปท.เห็นว่า อาจเกิดความเสียหายประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ขณะที่กระทรวงการคลังเห็นว่า ควรอยู่ที่ประมาณ 800,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการหารือและมีการคำนวณองค์ประกอบต่างๆ แล้ว จึงสรุปว่าตัวเลขน่าจะอยู่ที่ 717,000 ล้านบาท ข้างต้น เมื่อรวมกับการที่กระทรวงการคลังได้ออกพันธบัตร 500,000 ล้านบาทชดเชยให้แก่สถาบันการเงิน 56 แห่งไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2541 แล้ว เท่ากับ ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯทั้งสิ้นประมาณ 1.217 ล้านล้านบาท

การขายทรัพย์สิน 56 ไฟแนนซ์ของ ปรส.ในเบื้องต้นขาดทุนไปประมาณ 570,000 ล้านบาท สูงกว่าเดิมที่คาดการณ์ไว้ 500,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังเหลือสินทรัพย์อีกประมาณ 100,000 ล้านบาท ที่ยังไม่ได้จำหน่ายและอยู่ระหว่างการฟ้องร้องดำเนินคดี หากได้มาเท่าไรก็ต้องนำไปหักออกจาก 700,000 ล้าน ซึ่งจะทำให้ความเสียหายลดลงอีก การที่ธารินทร์อ้างว่าการชดเชยดังกล่าวจะไม่เป็นภาระงบประมาณเพราะวิธีการ ที่ใช้นั้น คือ ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นผู้ออกพันธบัตรและให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ส่วนพันธบัตรจะออกในแต่ละงวดและค้ำประกันเท่าใดนั้น จะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันเพื่อพิจารณา โดยจะมีหลักเกณฑ์ตามที่กำหนด อาทิ ความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างแน่ชัดแล้ว

กฤษฎีกาชี้การค้ำประกันพันธบัตรอาจผิดกฎหมาย
ต่อ มาก็มีการเปิดเผยด้วยว่า ก่อนหน้านี้ธารินทร์ได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหารือถึงการที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกันพันธบัตรที่ออกโดยกองทุนเพื่อ การฟื้นฟูฯว่า สามารถทำได้หรือไม่ โดยถามคณะกรรมการกฤษฎีกา 2 ประเด็น คือ
  1. กอง ทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเป็นหน่วยงานของรัฐที่กระทรวงการคลังสามารถค้ำประกันหนี้ ได้ตาม พ.ร.บ.กำหนดอำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน พ.ศ.2510 ได้หรือไม่
  2. กระทรวง การคลังสามารถจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยพันธบัตรที่ออกโดยกองทุนเพื่อการ ฟื้นฟูฯแทนกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯได้หรือไม่ เมื่อพันธบัตรดังกล่าวครบกำหนดชำระ
คณะ กรรมการกฤษฎีกาก็วินิจฉัยว่า ในข้อที่ 1 กระทรวงการคลังสามารถค้ำประกันกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้ แต่ในข้อที่ 2 คณะกรรมการเห็นว่า การใช้วิธีการดังกล่าวก็คือการกู้เงินนั่นเอง จึงไม่สามารถทำได้ เพราะต้องออกเป็นกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด เนื่องจากวงเงินเกินกว่า พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณกำหนด อย่างไรก็ตาม ธารินทร์ได้ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยหาทางออกว่าจะชดเชยกองทุนเพื่อการ ฟื้นฟูฯด้วยวิธีการใดก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่วิธีการออกกฎหมาย เมื่อมีปัญหาในข้อกฎหมายเช่นนี้ ทางคณะกรรมการเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตอบข้อหารือของกระทรวงการคลังอย่างเป็น ทางการ เพราะจะมีผลกระ
ทบต่อการบริหารงานของรัฐบาล ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงทำหนังสือตอบข้อแรกเพียงข้อเดียว คือ กระทรวงการคลังสามารถค้ำประกันกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯได้ ส่วนวิธีการกระทรวงการคลังต้องดำเนินการเอง

เลี่ยงให้กองทุนฟื้นฟูออกพันธบัตร
วิธี การที่กระทรวงการคลังจะชดเชยความเสียหายแต่ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเป็นผู้ ออกพันธบัตรเองและกระทรวงการคลังค้ำประกันให้นั้น ก็เหมือนกับกระทรวงการคลังเป็นผู้รับภาระเองเพียงแต่เลี่ยงให้กองทุนเพื่อ การฟื้นฟูฯ ออกแทน เพราะหวั่นเรื่องการเมือง เพราะในที่สุดแล้วกระทรวงการคลัง จะต้องรับภาระเองทั้งหมดเนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ไม่มีรายได้เพียงพอที่จะมารับภาระหนี้จากการออกพันธบัตรดังกล่าว แหล่งข่าวจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯให้ความเห็นว่า ตัวเลขความเสียหายที่ประมาณการร่วมกันกับกระทรวงการคลังล่าสุดอยู่ที่ 850,000 ล้านบาท ส่วนตัวเลข 717,000 ล้านบาทยังไม่ได้พูดคุยกันและยังไม่เห็นตัวเลขดังกล่าว หากลดลง 100,000 ล้านบาท ถือว่ายังเป็นภาระหนัก

นอกจากนี้ ยังมีภาระการชดเชยจากรายได้ที่ขาดหายไปจากลูกหนี้ด้อยคุณภาพ (Yield Maintenance) และการร่วมแบ่งรับผลกำไรขาดทุนจากการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ (Gain/Loss Sharing) ให้แก่สถาบันการเงินที่ทางการเข้าไปแทรกแซงที่มีการประมาณการความเสียหาย ในอีก 5 ปีข้างหน้าว่าจะมีประมาณ 7-8 แสนล้านบาท แต่เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯจะทยอยมา เรื่อยๆ ที่จะต้องรับมาเป็นหนี้สาธารณะเพิ่มเติมต่อจาก 5 แสนล้านบาทในระยะเวลาอันใกล้นั้น ก็คงจะไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท แต่ตัวเลขยังไม่แน่นอน เจ้าหน้าที่บางคนบอกว่า 2.1 แสนล้านบาท บางคนก็บอก 2.8 แสนล้านบาท

หนี้ภาครัฐอีก 5 ปีเพิ่มขึ้นอีก
สำหรับ ยอดหนี้คงค้างของภาครัฐ เทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้เพิ่มจากร้อยละ 14.8 ในปี 2539 เป็นประมาณร้อยละ 52 ในปี 2543 ขณะที่ภาระหนี้ต่องบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.7 ในปี 2539 เป็นประมาณร้อยละ 9.1 ในปี 2543 และจากการประมาณการณ์ใน 5 ปีข้างหน้า (2544-2548) พบว่าภาระหนี้ต่องบประมาณจะเพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณร้อยละ 17 ในปีงบประมาณ 2547 ในกรณีที่มีการชดเชยความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเพิ่มเติม 800,000 ล้านบาท ในช่วงเวลาดังกล่าว

ส่วนยอดหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯที่เกิดขึ้น ยังไม่นับเป็นภาระของรัฐบาล จนกว่าความเสียหายสุทธิจะปรากฏชัดเจนแล้ว ณ สิ้นปี 2540 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มียอดหนี้คงค้างเท่ากับ 893,111 ล้านบาท ได้ลดลงมาเหลือ 773,941.10 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2543 การเปลี่ยนแปลงในยอดหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯนอกจากจะเป็นผลจากการ แปลงหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเป็นของรัฐบาลแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากการที่สถาบันการเงินมีสภาพคล่องและมีเสถียรภาพมากขึ้น สถาบันการเงินสามารถชำระหนี้คืนได้บางส่วน นอกจากนั้น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯยังมีรายรับจากการขายหุ้นธนาคารและผลตอบแทนอื่นด้วย

จากการประมาณการณ์ความเสียหายที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะต้องชดเชยความเสียหายและรายได้จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากการขาย ธนาคารของรัฐประมาณ 382,029 ล้านบาททั้งนี้ ไม่รวมความเสียหายในส่วนอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้น

สรุปสาระสำคัญของหนังสือแสดงเจตจำนงจากฉบับที่ 1-8
เตือน ความจำประชาคม สองปีเศษภายใต้ผลงานของรัฐบาลชวน จากหนังสือแสดงเจตจำนงที่ถูกบัญชาจากไอเอ็มเอฟชี้ให้เห็นกระบวนการทำงานของ คนไทยใจฝรั่งที่พร้อมสมคบกับต่างชาติสร้างพันธกรณีเพิ่มทุกข์จากวิกฤติ เศรษฐกิจให้หนักและผูกพันมาถึงปัจจุบันและจะล่วงสู่อนาคต ความเปลี่ยนแปลงในภาคเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากพันธกรณีที่ประเทศไทยทำขึ้นตามคำบัญชาของกองทุนการเงิน ระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ผ่านหนังสือแสดงเจตจำนงหรือแอลโอไอ

แรกเริ่มที่รัฐบาลชวน หลีกภัย เข้ามารับตำแหน่งบริหารประเทศเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2540 รัฐบาลเชื่อว่า หากทำตามพันธกรณีของไอเอ็มเอฟแล้วจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว แต่สองปีเศษที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า พันธกรณีต่างๆเหล่านั้น ไม่ได้ส่งดีต่อเศรษฐกิจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นโซ่ตรวนที่ล่ามประเทศไทยซ้ำเติมทุกข์ของคนไทยมากขึ้น การล้มละลายของธุรกิจ การยึดครองกิจการของคนไทยโดยคนต่างชาติ ปรากฏให้เห็นมากขึ้นเป็นลำดับ

เพื่อให้ภาพชัดเจนขึ้น "ผู้จัดการ"ได้รวบรวมสาระสำคัญของหนังสือแสดงเจตจำนงจากฉบับที่ 1-8 ที่ไทยได้ตกลงไว้กับไอเอ็มเอฟ (LOI1-8) ที่เกี่ยวเนื่องกับการออกกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคม ซึ่งจะเห็นถึงพัฒนาการต่างๆที่รัฐบาลไทยจำนนต่อต่างชาติดังนี้

LOI ฉบับที่ 1 (14 สิงหาคม 2540)
(พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)
- พันธกรณีในการดำเนินนโยบายเน้นในการจัดการพื้นฐานทางเศรษฐกิจและวางระเบียบ ใหม่ ในการดูแลสถาบันการเงิน-การคลังของประเทศให้เข้มงวด แต่ไม่มีพันธะที่จะต้องออกฎหมายมาใช้บังคับ ใน LOI ฉบับที่ 1 มีการกำหนดไว้ชัดเจนข้อหนึ่งว่า รัฐบาลไทยจะไม่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินมาชำระแทนเอกชน ซึ่งทางไอเอ็มเอฟก็เห็นด้วยอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นการไม่ยุติธรรมแก่คนไทยทั้งประเทศที่จะต้องไปรับผิดชอบหนี้สิน ของภาคเอกชน

LOI ฉบับที่ 2 (25 พฤศจิกายน2540)
เริ่มรัฐบาลชวน(20 พฤศจิกายน 2540)
- ได้มีการทบทวนมาตรการหลายอย่างที่ทำมาในช่วง LOI 1 โดยเฉพาะการปรับเพดานการกู้เงินต่างประเทศเพิ่มขึ้น และยกเลิกตลาดเงินตราต่างประเทศ 2 ตลาด(Two-tier system)
- ขณะเดียวกันเริ่มใช้มาตรการบีบบังคับสถาบันการเงินด้วยกฎเกณฑ์การจัดชั้นสินเชื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
- ปรับปรุงพ.ร.บ.ล้มละลาย ให้เจ้าหนี้สามารถ บังคับหลักประกันได้ในเวลาเร็วขึ้น
- ประกาศให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นข้างมากในสถาบันการเงินได้เป็นเวลา 10 ปี
- กำหนดเป้าหมายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยเสนอให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายที่จำเป็น

LOI ฉบับที่ 3 (24 กุมภาพันธ์ 2541)
-กำหนดกรอบในการแก้ไขพ.ร.บ.ล้มละลาย โดยพิจารณาถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ การทำธุรกิจของคนต่างด้าว

LOI ฉบับที่ 4 (26 พฤษภาคม 2541)
-นำแนวทางในการประเมินมูลค่าหลักประกันมาใช้ โดยทบทวนกฎหมายธนาคารพาณิชย์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลโดยเฉพาะ อย่างยิ่งการบันทึกบัญชี ซึ่งเป็นจุดเริ่มแรกในการปรับปรุงมาตรฐานบัญชีใหม่ให้เป็นสากล และการร่างกฎหมายการบัญชีใหม่
- เน้นการเปิดเสรีมากขึ้น เสนอให้แก้ไขกฎหมายปว.281 และกฎหมายต่างๆเกี่ยวกับการลงทุนทั้งหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์

LOI ฉบับที่ 5 (25 สิงหาคม 2541)
- เพื่อสนองนโยบายเปิดประเทศ รัฐบาลได้เสนอแก้ปว.281 ให้เป็นพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
- แก้กฎหมายล้มละลาย ในประเด็นกระบวนการบังคับหลักประกันและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการให้กู้ยืม เพื่อเป็นเงื่อนไขจูงใจให้ทั้งเจ้าหนี้
- แก้ไขกฎหมายประมวลกฎหมายที่ดินและพระราชบัญญัติอาคารชุด
- อนุมัติร่างแก้ไขพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ว่าด้วยการประกอบธุรกิจบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และเครดิต ฟองซิเอร์
- เพิ่มความเข้มงวดระบบบัญชี
- ออกพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
- ปรุงกฎหมายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยการออกพ.ร.บ.ทุนให้อำนาจในการแปลงทุนเป็น หุ้น และแปลงรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทจำกัด แก้ไขพ.ร.บ. การเดินอากาศให้ขายหุ้นส่วนใหญ่ของการบินไทยให้ต่างชาติได้

LOI ฉบับที่6 (1 ธันวาคม 2541)
- ดำเนินการต่อเนื่องในรายละเอียดของกฎหมายล้มละลาย และปว.281
- ขณะที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลสถาบันการเงินมีการออกกฎหมายมา หลายฉบับ คือ กฎหมายจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิต (เครดิตบูโร) พ.ร.ก.ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ให้ควบรวมการกันได้
- พ.ร.ก.จัดตั้งเอเอ็มซีแก้ไขพ.ร.บ.เงินตรา

LOI ฉบับที่ 7 ( 23 มีนาคม 2542)
- เน้นนโยบายการจัดการข้อพิพาทระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนไทย โดยแก้ไข พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฉบับใหม่ และผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการบังคับหลักประกัน 2 ฉบับพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ร.บ. อาคารชุด และเร่งออกกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกส่วนหนึ่ง

LOI ฉบับที่ 8 ( 21 กันยายน 2542)
- ดำเนินการต่อเนื่อง เสนอให้แก้ไขกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ธปท.(รวมบัญชี ล้างขาดทุนกองทุนฟื้นฟู) กฎหมายเงินตรา ซึ่งจะทำให้การบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีความยืดหยุ่นสูง
- ร่างกฎหมายรับประกันเงินฝาก

เมื่อ คืนวันที่ 12 พ.ย 2543 ได้มีใบปลิวสีแดง โจมตีพรรคประชาธิปัตย์ไปทั่วเมืองเชียงใหม่ โดยหยิบยกคำพูดของนายชวน ที่กล่าวในสภาฯว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ดีอย่าเลือก พร้อมกับหยิบยกผลงานชิ้นโบดำของธารินทร์มาโจมตี เช่น นโยบายการออกกฎหมายขายชาติ การก่อหนี้ผูกพัน ให้ประชาชนชดใช้หนี้แทน 3.3 ล้านล้านบาท การตีม็อบชาวนา ใช้กระบองตีหัวชาวบ้านอย่างไร้ความปรานี ใช้หมากัดสลายม็อบ คนทำงานมีรายได้ลดลง ปล่อยให้มีการคอร์รัปชั่น ทั้งทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ โครงการผักสวนครัวรั้วกินได้ ปัญหาคนตกงานเกิดขึ้น และภาคชนบทถูกละเลย แต่ยึดนโยบายอุ้มคนรวยไม่ช่วยคนจน

ผู้จัดการรายวัน 14 พ.ย.43
ผู้จัดการรายสัปดาห์ 13-19 พ.ย.43

----------------------------------------------------------
- รีบรวมตลาดเงินตรา จนเกิดความเสียหายตามมา
จากการทำ LOI ฉบับที่ 2 (25 พฤศจิกายน2540)

ในสมัยรัฐบาลชวน
ได้มีการยกเลิกตลาดเงินตราต่างประเทศ 2 ตลาด
ที่รัฐบาลจิ๋วแยกไว้
เพื่อให้พวกที่โจมตีค่าเงิน
ไม่สามารถหาเงินบาทมาชำระได้
กับเร่งรีบรวมทันทีที่พวกตัวเองมาเป็นรัฐบาล
ผลก็คือต่างชาติสามารถหาเงินบาท
จากพวกแบงค์ใหญ่ๆ ที่คบคิดกันฟันกำไรส่วนต่าง
ทำให้ต่างชาติมีเงินบาทจำนวนมากพอ
มาส่งมอบตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 1 ปี
ตอนช่วงมาโจมตีค่าเงินปี 40 ได้
แทนที่จะรวมเมื่อเลยกำหนดเวลาการส่งมอบเงิน
ตามสัญญา Swap ที่ไปทำไว้เสียก่อน



















จากกราฟเส้นปะสีเขียวส่วนใหญ่เป็นตัวเลขที่ไปทำ Swap ไว้
ส่วนเส้นทึบเป็นตัวเลขเงินทุนสำรองทางบัญชี
อย่างกรณีปี 40 ที่ไปทำ Swap ปกป้องค่าเงินบาทไว้
แต่จบปี 40 จำนวนเงินจริงๆ
ก็ยังเหลืออยู่ประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐ
ไม่ได้เหลือระดับพันล้านเหรียญอย่างที่เห็น
ที่เห็นอยู่เป็นตัวเลขทางบัญชีที่เขาหักล่วงหน้า
แต่ถึงเวลาครบกำหนดการส่งมอบเงินตามสัญญา Swap
ตัวเลขการขาดทุนอาจไม่เท่าที่คำนวน ณ วันปิดบัญชีปี 40 ก็ได้
ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนช่วงปี 41 ด้วย
ดังนั้นจะเห็นว่ากราฟเส้นปะกับเส้นทึบจะสวนทางกัน
เพราะเมื่อพวกที่โจมตีค่าเงินโดยการทำ Swap
หาเงินบาทมาส่งมอบแบงค์ชาติได้
เงินดอลลาห์ในมือแบงค์ชาติ
ที่เรียกว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศด้วย
ก็จะถูกส่งมอบให้ต่างชาติ
แล้วได้เงินบาทกลับมา
แต่ไม่สามารถเอาไปเป็นเงินทุนสำรองได้
ถึงต้องไปกู้เงินดอลลาห์จาก IMF และเพื่อนบ้าน
มาถือไว้เพื่อความเชื่อมั่นในสกุลเงินบาท
เพราะเงินบาทไม่มีค่าความเชื่อมั่นในตัวมันเอง
เหมือนเงินดอลลาห์สหรัฐ
แบงค์ชาติอาจออกพันธบัตร
ไปซื้อเงินดอลลาห์มาถือเพิ่มอีกด้วย

ถ้ายังแยกตลาดเงินตราต่างประเทศ
เป็นตลาดในประเทศ (On-shore)
กับตลาดต่างประเทศ (Off-shore) เหมือนเดิม
โอกาสที่ต่างชาติจะหาเงินบาทมาส่งมอบได้ครบก็ลำบาก
และถ้าหาเงินบาทมาส่งมอบไม่ได้ตามสัญญา
ก็อาจมีค่าปรับหรือสัญญานั้นเป็นโมฆะ
ซึ่งก็จะไม่ต้องสูญเงินดอลลาห์
ที่เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในตัวเพิ่มขึ้นด้วย
แถมเป็นการดัดหลังพวกที่มาโจมตี
ต้องมีต้นทุนที่ซื้อเงินบาทได้ในราคาแพงขึ้น
ก็จะทำกำไรได้น้อยลงด้วย
เหมือนที่ทำเมื่อไม่นานมานี้

"

1. ค่าเงินบาทตลาดต่างประเทศแข็งกว่าในประเทศถึงเกือบ 2.50 บาท
- ณ วันที่ 26 ม.ค. 50 ค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศ (Off-shore) ปิดที่ 33.4 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่ากว่าตลาดในประเทศ (On-shore) ที่ปิดที่ 35.8 บาทที่ประมาณ 2.40 บาท ซึ่ง ธ. เอชเอสบีซี เห็นว่าเกิดจากมาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้าของ ธปท. ทำให้เกิดตลาดมืดของค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินต่างประเทศได้ทำสัญญาซื้อขายไว้ล่วงหน้า ณ วันที่ 18 ธ.ค. 49 และเมื่อสัญญาครบกำหนด สถาบันการเงินจึงพบความยากลำบากในการหาเงินบาทส่งมอบตามสัญญา ซึ่งคาดว่าส่วนต่างของค่าเงินจะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการกันสำรอง
- สศค. วิเคราะห์ว่า ส่วนต่างค่าเงินที่สูงนั้นส่วนหนึ่งเกิดจาก มาตรการของธปท.ได้ส่งผลให้การแยกตลาดเงินตราต่างประเทศระหว่างตลาดOn-shore กับตลาดOff-shore และเป็นสาเหตุให้ตลาดOff-shore ขาดสภาพคล่องเงินบาทซึ่งเป็นที่มาให้ค่าเงินบาทในตลาด Off-shore แข็งค่ากว่าตลาด On-shore

http://www.fpo.go.th/content.php?action=view&section=6100000000&id=14313"
----------------------------------------------------------

- ให้ยาขมจนทำให้ประเทศติดลบหนัก

นโยบายดอกเบี้ย - สถาบันการเงิน 3 ปีเสียหาย 2.7 ล้านล้าน


รัฐบาลชวน หลีกภัย เข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย. 40 นับเป็นเวลาเกือบ 3 ปี รัฐบาลมีนโยบายและมาตรการออกมาแก้ไขวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ภายใต้การควบคุมของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รมว.กค. และ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แนวทางดำเนินมาตรการทางการเงินการคลังเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลตาม รายงานของกระทรวงการคลังมี 6 ครั้ง (ไม่นับมาตรการฉบับ ครม.31 ตุลาคม 2543) และเริ่มในหนังสือแสดงเจตจำนงที่ทำไว้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ตั้งแต่ฉบับที่ 2 เป็นต้นมา

จากผลการสำรวจคนในวงการ เศรษฐกิจการเงินการธนาคารทั้งนายแบงก์ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่สำนักวิจัยเพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลนโยบายมาตรการสถาบัน การเงิน สรุปผลได้ว่า ล้มเหลวและน่าผิดหวังกับรัฐบาลชุดนี้ สามารถพิสูจน์ความเสียหายในแต่ละกรณีทั้งการแก้ปัญหาสถาบันการเงินและนโยบาย อัตราดอกเบี้ย ถมสถาบันการเงินสูญเสีย 1.3 ล้านล้าน

การแก้ปัญหาสถาบันการเงิน ประกอบด้วย
1) การประมูลขายสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน 56 แห่ง องค์การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ ถูกปิด 56 บริษัท ปรส.ทำหน้าที่จัดการสินทรัพย์และนำออกขายเพื่อนำรายได้ส่งคือแก่เจ้าหนี้ของ บริษัทและกองทุนฟื้นฟู
ในวันที่ 23 มิถุนายน 2541 รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 เพื่อให้ผู้ซื้อทรัพย์สินจาก ปรส.ได้กรรมสิทธิ์สมบูรณ์ จากนั้นได้เริ่มประมูลสินทรัพย์หลักครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2541
จากตัวเลขสรุปผลการ จำหน่ายสินทรัพย์ ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2542 ปรากฏว่าจำหน่ายสินทรัพย์ ปรส.ได้ทั้งสิ้น 327,714 ล้านบาท ในขณะที่ราคาประเมินสินทรัพย์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2540 เท่ากับ 851,000 ล้านบาท การบริหารจัดการอย่างไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดการขาดทุนถึง 523,286 ล้านบาท ผลกระทบที่ตามมาทำให้กองทุนฟื้นฟูต้องประสบปัญหา ซึ่งชดเชยด้วยภาษีอากรจากประชาชน

2) มาตรการ 4 สิงหาคม 2541 ได้แก่ โครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 และ 2 วงเงิน 300,000 ล้านบาท การแทรกแซงสถาบันการเงิน 2 ธนาคารและบริษัทเงินทุน 12 แห่ง ที่ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงและการกำหนดควบรวมกิจการขาย และกิจการธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ มหานคร นครหลวงไทย และธนาคารศรีนคร

มีสถาบันการเงินขอรับ ความช่วยเหลือ รวมคิดเป็นมูลค่า 72,000 ล้านบาทจากวงเงิน 3 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 24 ขอวงเงิน "มาตรการ 14 สิงหาคมจึงยังไม่สามารถช่วยให้ธนาคารเพิ่มทุนได้อย่างเพียงพอกับความเสีย หาย" ในขณะที่ออกมาตรการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เท่ากับ 36.20% เมื่อประเมินช่วงเวลา 1 ปีหลังจากมาตรการจะพบว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงขึ้นเป็น 47%

"มาตรการ 14 สิงหาคม นี้เป็นนโยบายที่สถาบันการเงินไม่ตอบรับเนื่องจากเกรงว่าจะถูกรัฐแทรกแซง เห็นได้จากการที่ทางธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ออกตราสารประเภท CAPS หรือ SLIPS เองเพื่อทดแทนเงินกองทุนที่ลดลงด้วยปริมาณที่มากถึง 1.08 แสนล้านบาท โดยจำเป็นต้องให้ผลตอบแทนที่สูงเพื่อจูงใจนักลงทุน ทำให้อัตราดอกเบี้ยจ่ายสูงประมาณ 11% สูงกว่าดอกเบี้ยตลาดประมาณ 4% คิดเป็นความเสียหายจากต้นทุนที่เพิ่มกว่ากู้ปกติ 4,321.2 ล้านบาท และเมื่อประมาณความเสียหายจากการขายธนาคารที่รัฐเข้าไปแทรกแซงตามมาตรการ 14 ส.ค. ทำให้รัฐบาลต้องขาดทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเอ็นพีแอลของธนาคารที่รัฐยึดมาสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท

จากการประเมินการขาย ธนาคารรัฐต้องรับผิดชอบความสูญเสีย (loss sharing) 85% ของเอ็นพีแอล และ Yield maintenance เท่ากับ 1% ของสินเชื่อที่ไม่ได้รายได้

"คำนวณได้ว่าจะเกิดความ สูญเสียที่แน่ชัดแล้ว 40,000 ล้านบาทต่อแห่ง และหากการดำเนินงานของธนาคารต่อไปประสบกับภาวะดังเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นี้ คาดว่า ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นถึง 136,000 ล้านบาทต่อแห่ง"

เมื่อรวมทั้ง 3 ธนาคารคือ ธนาคารศรีนคร นครธน และธนาคารรัตนสิน รวมเป็นมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแน่นอนแล้วรวมเท่ากับ 120,000 ล้านบาท และสามารถมีความเสียหายในอนาคตได้รวมมากถึง 408,000 ล้านบาท

3) มาตรการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ของธนาคารกรุงไทย เพื่อโอนหนี้เสียออกจากธนาคารกรุงไทย 537,000 ล้านบาท เป็นการโอนหนี้เสียจำนวนดังกล่าวออกจากระบบบัญชีของธนาคารกรุงไทย ซึ่งบริษัทบริหารสินทรัพย์จะให้กองทุนฟื้นฟูอาวัลตั๋วเงินเพื่อใช้ในการซื้อ หนี้ดังกล่าว แต่ปรากฏว่า แทนที่จะซื้อหนี้ในราคาตลาดปัจจุบันกลับจะซื้อในราคาเต็มตามมูลค่าทางบัญชี (สังเกตได้จากผลรวมของเงินที่อุดหนุนให้แก่ธนาคารและบริษัทบริหารสินทรัพย์ ทั้งหมด) เป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดประมาณ 2 เท่า ทำให้เกิดความเสียหายโดยจะตกเป็นหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและรัฐบาลในที่สุด ประมาณ 268,500 ล้านบาท

4) การออกพันธบัตรเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฟื้นฟู ระหว่าง พ.ค. - ต.ค. 2541 ได้แก่ งวดวันที่ 10 พ.ค. 2541 งวดแรกและงวดสองรวม 150,000 ล้านบาท มีอายุ 1 ปี ดอกเบี้ย 12.75% วันที่ 31ส.ค. 2541 งวดสาม 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 50,000 ล้านบาทระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 8.25% และอีก 50,000 ล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 8.5% ยังมีการออกพันธบัตรในหลาย ๆ คราวอีกประมาณ 90,000 ล้านบาท และต้องมีการออกเพิ่มเติมจนกระทั่งครบ 500,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยความเสียหายเต็มจำนวนให้กับกองทุนฟื้นฟู รวมออกพันธบัตรทั้งสิ้นที่ออกไปแล้เท่ากับ 390,000 ล้านบาท แต่ต้องครบจำนวนที่ 500,000 ล้านบาท

ส่วนนี้เป็นส่วนที่ช่วย เหลือกองทุนฟื้นฟูที่ได้รับความเสียหายจากการประมูล ปรส.โดยเป็นการออกพันธบัตรเป็นงวด ๆ ขณะนี้ออกไปแล้วประมาณ 390,000 ล้านบาท แต่ต้องมีการออกพันธบัตรให้ครบตามจำนวนทั้งสิ้น 500,000 ล้านบาท เมื่อประเมินภาระดอกบี้ยของพันธบัตรเฉพาะส่วนที่ออกไปแล้วประมาณ 390,000 ล้านบาท ภาระที่ต้องจ่ายรวมทั้งหมดประมาณ 114,830 ล้านบาท (คิดรวมจนเสร็จสิ้นระยะเวลาแล้ว) ยังมีความเสียหายจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่รัฐต้องจ่ายแพงในช่วงภาวะอัตรา ดอกเบี้ยสูงในการออกพันธบัตรเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฟื้นฟู 4 งวด รวมมูลค่า 3 แสนล้านบาท ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่าอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในต่างประเทศ 6% (U.S. Government securities ระยะ 7 ปี) คำนวณเป็นความเสียหายที่ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยสูงเกินจริงรวมเท่ากับ 14,625 ล้านบาทต่อปี รวมเป็นความเสียหายทั้งหมดจากช่วงออกพันธบัตรจนถึงปัจจุบัน (ตุลาคม 2543) เท่ากับ 29,250 ล้านบาท

สรุปผลความเสียหาย จากการดำเนินนโยบายการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน กรณี ปรส.กรณีกองทุนฟื้นฟูและมาตรการ 14 สิงหาคม รวมทั้งสิ้น 1,348,188 ล้านบาท

นโยบายดอกเบี้ยผิดพลาดเสียหาย 1.3 ล้านล้านบาท

นโยบายอัตราดอกเบี้ยของ รัฐบาลชวน แบ่งเป็น ช่วงครึ่งหลังของปี 2540 ถึงไตรมาส 2 ปี 2541 ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสูง เนื่องจากรัฐบาลต้องการสร้างเสถียรภาพของค่าเงินบาทด้วยการตรึงอัตรา ดอกเบี้ยสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานตามภาวะทางการเงินในขณะนั้น ในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 2 (พ.ย. 2540) กำหนดให้อัตราดอกเบี้ย อินเตอร์แบงก์อยู่ระหว่าง 15 - 20% และต่อมาอยู่ในระดับสูงกว่า 20% จนถึงไตรมาส 2 ปี 2541 "แต่เนื่องจากรัฐบาลตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานเกินไปจนทำให้อัตรา ดอกเบี้ยระยะยาวคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงตามไปด้วยในขณะที่การแก้ไขปัญหา สถาบันการเงินยังไม่คืบหน้า การใช้อัตรดอกเบี้ยสูงยิ่งก่อให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ใน สถาบันการเงินและทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมของภาคการผลิตสูงขึ้น เกิดปัญหาสภาพคล่องตึงตัวอย่างยาวนาน ธุรกิจล้มละลายส่งผลกลับเป็นวงจรสู่สถาบันการเงิน" ช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำที่สุดคือช่วงไตรมาส 3 ปี 2541 ซึ่งเศรษฐกิจไทยหดตัวร้อยละ 10.4 มีคนว่างงานประมาณ 1.423 ล้านคน (ถ้าประเมินขั้นสูงเท่ากับ 2.1 ล้านคน) และ NPL ระบบเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 42.32 จากช่วงต้นปีร้อยละ 20.92

ไตรมาส 3 ปี 2541 ถึงปัจจุบัน ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ "ภายหลังไตรมาส 2 ปี 2541 การใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำจึงไม่ได้กระตุ้นระบบเศรษฐกิจ เพราะปัญหาในภาคการเงินได้ลุกลามไปมากกว่าระดับที่จะสามารถใช้การจัดการโดย นโยบายการเงินให้ลุล่วงได้ด้วยศักยภาพของระบบ ภาคธุรกิจล้มละลายไปมาก" หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อง ๆ จนเดือนพฤษภาคม 2542 มีปริมาณ สูงสุดถึง 2,730,266 ล้านบาท หรือ 47.72% เมื่อประเมินความเสียหายจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยและสภาพการตอบรับทางภาค เศรษฐกิจจริงพบว่า

1) ความเสียหายที่เกิดกับระบบสถาบันการเงิน ในช่วงที่รัฐบาลชวนเข้ามาบริหารงานนั้น ในเดือนธันวาคมปี 2540 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีมูลค่าเท่ากับ 1.37 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.78 ต่อสินเชื่อรวมเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมปี 2543 ที่ NPL เท่ากับ 1.59 ล้านบาท สามารถประเมินความสูญเสียจากนโยบายดอกเบี้ยที่ผิดพลาดของรัฐบาลที่มีผลทำให้ NPL สูงขึ้นเท่ากับ 2.2 แสนล้านบาท

2) ความเสียหายจากการว่างงานที่สูงขึ้น หากประเมินจากรายได้ที่สูญเสียจากผู้ว่างงานรวมปี 2541-2542 โดยคำนวณจากฐานค่าจ้างขั้นต่ำ (เช่นปี 2542 ประมาณ 5,292บาทต่อเดือน จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ) และหักผู้รองานตามฤดูกาลออกไป รวมทั้งหักแรงงานที่ว่างงานตามธรรมชาติ (ซึ่งในที่นี้สมมติให้เท่ากับอัตราการว่างงาน ณ ปี 2540 เท่ากับร้อยละ 1.9 ซึ่งเป็นการผ่อนปรนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอัตราการว่างงานตามธรรมชาติโดยแท้จริงควรจะต่ำกว่าปีที่เกิด วิกฤตการณ์ปี 2540) สามารถคำนวณความสูญเสียขั้นต่ำได้เท่ากับ 210,145 ล้านบาท

3) ประเมินความเสียหายจากภาคการผลิตจริง หากประเมินจากตัวเลขคาดคะเนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่รัฐบาลชวนได้เข้ามาบริหารประเทศ ได้คาดคะเนอัตราการเติบโตปี 2541 เท่ากับร้อยละ 0 ถึง 1 ซึ่งหลังจากนั้นมีการปรับลงในหลายฉบับต่อมาคือ LOI3 เป็นลบ 3 ถึงลบ 3.5 LOI4 เป็นลบ 4 ถึงลบ 5.5 LOI5 เป็นลบ 7 ดังนั้นประเมินได้ว่ารัฐบาลคาดการณ์สูงกว่าความเป็นจริงเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 6.575 หรือประเมินเป็นตัวเลขผิดเท่ากับ 2.513 แสนล้านบาท แสดงถึงความล้มเหลว ในการดำเนินมาตรการทั้งปวงที่ต้องการส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจจริง ทำให้การเพิ่มศักยภาพในส่วนการก่อให้เกิดรายได้ในภาคเศรษฐกิจจริงต่ำกว่าที่ ควรเป็นตัวเลขประเมินดังกล่าวถือเกณฑ์ว่าหากประเมินภาพรวมที่แม่นยำ ย่อมทำให้นโยบายการเงินการคลังสอดคล้องกับภาวะการณ์ทั่วไป

4) ประเมินความเสียหายที่เกิดจากตลาดหลักทรัพย์ มีหลักการประเมินอยู่ว่าถ้าในกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ เลวร้ายที่สุดให้เท่ากับตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่เกิดความเสียหายมากที่สุดในวิกฤตการณ์เอเซีย เมื่อประเมินในกรณีเลวร้ายที่สุดอย่างเช่นประเทศอินโดนีเซีย ดัชนีหลักทรัพย์ไทยยังน้อยกว่าประเทศอินโดนีเซียเท่ากับ 154 จุด ซึ่งสามารถคำนวณออกมาเป็นมูลค่าตลาดได้เท่ากับ 6.895 แสนล้านบาท หรือถือได้ว่าประเมินความสูญเสียเท่ากับ 6.895 แสนล้านบาท

สรุปความเสียหาย จากการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยทั้งสองช่วงที่มีผลให้ธุรกิจเกิดการล้ม ละลาย หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงขึ้น และคนงานว่างงานมากขึ้นรวมความสูญเสียเท่ากับ 1,370,945 ล้านบาท

--------------------------------------------------------

- ทำจนติดลบมากมายแล้วมาคุยว่าทำให้ฟื้น
การทำให้ถึงจุดต่ำสุดไวไว
เพื่อให้ตอนเด้งขึ้นมาเป็นสัญญาณบอกว่าฟื้นแล้ว
ถ้าเป็นการเล่นหุ้นนักเก็งกำไรจะชอบมาก
ถ้าไปช้อนซื้อตอนที่ตกไปมากๆ ใกล้ จุดต่ำสุด
เพราะจะฟันกำไรได้มากเมื่อราคาหุ้นเด้งขึ้นมามากๆ

แต่ชีวิตจริงคนที่เจ๊งไปแล้ว ล้มละลายไปแล้ว
บางคนหมดหนทางฆ่าตัวตายไปแล้วก็มี
เขาจะฟื้นตามตัวเลขที่เด้งขึ้นมาหรือไม่
ไม่รวมถึงคนตกงานจำนวนมากมาย
ที่ต้องไปดิ้นรนใช้ชีวิตลำบากลำบนในช่วงนั้น
รวมไปถึงข่าวแม่บ้านบางคนต้องไปรับจ๊อบ
ขายตัวเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือครอบครัว
ถามว่ามันดีไหมกับการทำจนเศรษฐกิจหดตัวมากมาย
แล้วมันเด้งขึ้นมาจากที่หดตัวไปมากมาย

จึงไม่ต้องแปลกใจว่า
ทำไมปีนี้ไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจอีก
ถึงไม่มีนักธุรกิจและประชาชนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น
เรียกร้องให้ชวนและธารินทร์ กลับมาบริหารประเทศอีก
มาลองดูกราฟแต่ละตัว

กราฟแสดงดอกเบี้ยที่ขึ้นไปสูงมาก
ที่เห็นเป็นค่าเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยธนาคารใหญ่ๆ 4 แห่ง
ถ้าธนาคารเล็กๆ บางแห่งสูงกว่าที่เห็น
















กราฟแสดงอัตราเงินเฟ้อ
และค่าเงินที่อ่อนจนไปแตะจุดสูงสุด
ที่ 50 กว่าบาทต่อดอลลาห์สหรัฐ
ผู้ส่งออกจะชอบเพราะมีกำไรค่าเงินเพิ่ม
แต่ผู้เป็นหนี้ต่างประเทศอ่วมหนัก
เป็นหนี้เพิ่มเกือบเท่าตัวทันที










ที่มา : ธปท.

ตารางเปรียบเทียบ
การตั้งกฏเกณฑ์ที่ให้ธนาคารสำรองหนี้เพิ่มมากขึ้น
เศรษฐกิจไม่ดีในช่วงนั้น
แล้วยังมาตั้งกฏเกณฑ์เข้มงวดแบบนี้
ทำให้การปล่อยกู้เริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้น
สมมุติถ้าธนาคารมีเงิน 100 บาท
ปล่อยกู้พลาดจนได้หนี้เสีย 50 บาท
อาจต้องกันเงินอีก 20, 30 หรือ 50 บาท
ตามชั้นลูกหนี้เท่ากับเงินจมหายไปฟรีๆ
ก็เลยมีความเข้มงวดเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะรายย่อยและ SMEs
จะกู้ยากกว่ารายใหญ่
เพราะโอกาสเป็นหนี้สูญจากการตกงาน
หรือธุรกิจรายย่อยเจ๊งมีสูง











ที่มา : กระทรวงการคลัง


ข้อมูลแสดงตัวเลขคนว่างงานปี 41 ประมาณ 1.3 ล้านคน

















แก้ปัญหาจนหนี้สาธารณะสูงขึ้นเกินกว่า 50% ของ GDP
โดยการออกพันธบัตรไปใช้หนี้กองทุนฟื้นฟู
และหนี้ ปรส. และสารพัดหนี้
ที่ต้องตามออกพันธบัตรมาแก้อีกในรัฐบาลต่อไป
แต่ถ้าทำให้ตัวเลข GDP สูงขึ้นกว่าหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น
ก็จะช่วยให้ตัวเลขหนี้สาธารณะต่อ GDP ดูดีขึ้น
โดยตัวเลขจะลดน้อยลง




















ข้อมูลเกี่ยวกับ GDP และเงินเฟ้อเทียบแต่ละปี
ถ้าดูเป็น % เทียบกับเดือนก่อนหรือปีก่อนจะงง
ให้ดูยอดจริงๆ ว่าเท่าไหร่ก็จะไม่งง
เพราะว่าผ่านไป 3 ปี GDP เพิ่มลดไปมา
ดูแล้วอาจดูเหมือนว่าเพิ่มมากขึ้น
อันที่จริงยังน้อยกว่าปี 40 ที่เริ่มเกิดวิกฤตเสียอีก










อ่านวิธีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบ Gumagin เพิ่มเติม
<<< แนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบ Gumagin >>>

---------------------------------------------------------

- IMF ยอมรับว่าให้ยาผิด

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11175 มติชนรายวัน
"พอล ครุกแมน"เจ๋ง คว้ารางวัล"โนเบล" "ทฤษฎีการค้าใหม่"

" พอล ครุกแมน" คว้าโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ จากผลงาน"ทฤษฎีการค้าใหม่" ที่ตอบโจทย์ปัญหาการค้าเสรี ชี้ผลงานโดดเด่นคือค้านไอเอ็มเอฟที่ให้ลอยตัวค่าเงิน แก้วิกฤตปี"40 พร้อมแนะ"มาเลย์"ตรึงค่าเงินจนผ่านปัญหาไปได้

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ราชบัณฑิตยสภาแห่งสวีเดน ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาผู้เหมาะสมเข้ารับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ประกาศให้นายพอล ครุกแมน ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกาและคอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส เป็นผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2551 นี้ จากผลงานการคิดค้น "ทฤษฎีการค้าใหม่" ซึ่งเป็นทฤษฎีใหม่เพื่อใช้ในการตอบปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบการค้าเสรี เพื่อการวิเคราะห์รูปแบบของการค้าและการบ่งชี้ถึงกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ

ตอน หนึ่งในถ้อยแถลงเชิดชูเกียรติของศาสตราจารย์ผู้นี้ระบุว่า "อะไรคือผลกระทบของการค้าเสรีและภาวะโลกาภิวัตน์, อะไรเป็นพลังขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังการแปรรูปให้เป็นชุมชนเมืองที่เกิด ขึ้นทั่วโลก? พอล ครุกแมน ได้คิดค้นทฤษฎีใหม่ขึ้นมาเพื่อให้คำตอบต่อคำถามเหล่านี้" ซึ่งถือว่าเป็นการนำเอาผลการศึกษาวิจัยก่อนหน้านี้ในด้านการค้าระหว่าง ประเทศและภูมิเศรษฐกิจที่กระจัดกระจายกันอยู่มาบูรณาการเข้าด้วยกันจนประสบ ความสำเร็จในที่สุด

ศาสตราจารย์ พอล ครุกแมน เกิดเมื่อปี 2496 สำเร็จการศึกษาด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยเยล ในปี 1974 และได้รับปริญญาเอกจากสถาบันเอ็มไอที เมื่อปี 1977 เคยเป็นอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์อยู่ทั้งในเยล, เอ็มไอทีและสแตนฟอร์ด ครุกแมนเขียนทั้งคอลัมน์ประจำ, รายงานทางวิชาการ และหนังสือเล่ม โดยมีผลงานรายงานทางวิชาการมากกว่า 200 ชิ้น และหนังสืออีก 20 เล่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานด้านการค้าและการเงินระหว่างประเทศ นอกจากนั้นยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งทฤษฎี "ทฤษฎีการค้าใหม่" ที่ถือเป็นการทบทวนทฤษฎีด้านการค้าระหว่างประเทศใหม่หมด เคยได้รับรางวัลทรงเกียรติมามากมายรวมทั้งรางวัลสมาคมเศรษฐศาสตร์อเมริกัน เมื่อปี 1991

พอล ครุกแมน เป็นที่รู้จักกันดีในเอเชียเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 เพราะเป็นผู้คัดค้านแนวทางของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ให้ลอยตัวค่าเงิน แต่แนะนำให้มาเลเซียใช้วิธีการตรึงค่าเงินและควบคุมกระแสเงินไหลเข้าออก ประเทศแทน ในเวลาต่อมา ไอเอ็มเอฟ ยอมรับว่า แนวทางของครุกแมนเป็นทางเลือกที่ดี และจะไม่ทำให้เกิดผันผวนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศมากเท่ากับแนว ทางที่ไอเอ็มเอฟใช้ในเวลานั้น ทั้งนี้ศาสตราจารย์ครุกแมนจะได้รับการประกาศเกียรติคุณและเงินรางวัลมูลค่า 1 ล้านโครเนอร์หรือราว 47.6 ล้านบาท

หน้า 1

--------------------------------------------------------


กรณีศึกษา : การแก้ไขวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ
ภายใต้คำแนะนำของ IMF
นางสาวสิริกัลยา เรืองอำนาจ
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศฟิลิปปินส์ เม็กซิโก ไทย อินโดนีเซีย และเกาหลี ตามลำดับ ต้องจบลงด้วยการขอรับความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) จึงเป็นกรณีศึกษาถึงแนวทางของ IMF ในการกอบกู้และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในช่วงระยะที่ผ่านมาว่ามีความคล้ายคลึงกันเพียงใด เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น บทความนี้จึงแบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยส่วนที่หนึ่งจะเป็นการกล่าวถึงสาเหตุและผลของวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศก่อนขอรับความช่วยเหลือจาก IMF ส่วนที่สองเป็นหลักการและแนวทางปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของ IMF และเป็นการเปรียบเทียบมาตรการสำคัญต่าง ๆ ที่ IMF ใช้เป็นเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ และส่วนที่สามสรุปผลของการปฏิบัติตามกรอบของ IMF
1. สาเหตุและผลของวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศก่อนขอรับความช่วยเหลือจาก IMF
1.1 ฟิลิปปินส์
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นเมื่อปี 2526 อันมีสาเหตุจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์มีความด้อยมากกว่าประเทศอื่นในแถบเอเซีย ตั้งแต่ฟิลิปปินส์ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปน และถูกอิทธิพลของต่างประเทศครอบงำในการปกครอง และระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการครอบงำของต่างชาติเป็นลักษณะการกอบโกยผลประโยชน์กลับสู่ประเทศของตน
หลังจากนั้น ฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชและปกครองตนเอง แต่ก็ยังถูกกอบโกยจากผู้ ปกครองประเทศของตนเอง ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจตกต่ำลงอย่างมาก แม้ว่าจะมีการกู้เงินจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่กลับนำไปลงทุนในโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับภาคเศรษฐกิจ เป็นการลงทุนในลักษณะไม่คุ้มกับเงินลงทุน
ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อฟิลิปปินส์อย่างรุนแรงคือ วิกฤตการณ์น้ำมันโลก ครั้งที่ 2 จนทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเหลือเพียงร้อยละ 1 ในปี 2526 มีอัตราการว่างงานสูง ถึงร้อยละ 19 และค่าจ้างแรงงานสูงกว่าประสิทธิภาพของแรงงานส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น การที่ประเทศติดต่อกับภาคต่างประเทศทำให้มีการเปิดเสรีอย่างมาก เป็นผลทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงร้อยละ 8 ของ GDP และดุลการชำระเงินขาดดุลถึง 2 พันล้านเหรียญ สรอ. จึงจำเป็นต้องขอเลื่อนชำระหนี้ร้อยละ 60 ของหนี้คงค้าง นับว่าเป็นประเทศแรกของเอเซียที่ขอเลื่อนการชำระหนี้ ทั้งนี้ จากการที่ทุนสำรองเงินต่างประเทศลดลงเหลือ 450 ล้านเหรียญ สรอ. ณ สิ้นเดือนกันยายน 2526
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2526 ฟิลิปปินส์ได้ยื่นความจำนงขอรับความช่วยเหลือจาก IMF จำนวน 1,430 ล้านเหรียญ สรอ. เพื่อชดเชยการขาดดุลการชำระเงิน และรักษาทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศให้อยู่ในระดับ 2.5 พันล้านเหรียญ สรอ
1.2 เม็กซิโก
วิกฤตการณ์เปโซเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2537 โดยมีสาเหตุมาจากการเปิดเสรีด้านการค้าและการลงทุนในปี 2532 ทำให้มีเงินทุนจำนวนมากไหลเข้าสู่ประเทศในรูปการลงทุนในหลักทรัพย์ระยะสั้นระหว่างปี 2533-2536 แต่การลงทุนโดยตรงมีเพียงร้อยละ 18 เท่านั้น ประกอบกับการปรับปรุงภาษีให้สอดคล้องกับข้อตกลงของ GATT ทำให้ภาษีนำเข้าถูกปรับลดลงเหลือร้อยละ 20 ส่งผลให้เม็กซิโกนำเข้าสินค้าจำนวนมากกว่าการส่งออก ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากยิ่งขึ้นจากร้อยละ 1.4 ของ GDP ในปี 2533 เป็นร้อยละ 7.7 ของ GDP ในปี 2537 ค่าเงินเปโซที่แข็งขึ้นเนื่องจากผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เงินเปโซอยู่ในภาวะมีค่าสูงเกินความเป็นจริง ส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและย้ายเงินทุนออกนอกประเทศมากขึ้น ภายในประเทศประสบปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง พร้อมกับมีการพยุงค่าเงินโดยใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปจำนวนมาก จนเหลือเพียง 4 พันล้านเหรียญ สรอ. และยังมีการผูกพันอีก 28 พันล้านเหรียญ สรอ. ที่ครบกำหนดชำระในต้นปี 2538 ซึ่งเป็นผลให้ประกาศลดค่าเงินเปโซลงร้อยละ 15 นอกจากนี้ การเมืองที่ไร้เสถียรภาพ กองโจรปาติสต้าลักพาตัวนักธุรกิจ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถูกลอบสังหาร ยิ่งทำให้เงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากความไม่มั่นใจเหตุการณ์ของประเทศและความตื่นตระหนกของนักลงทุน
ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2538 เม๊กซิโกขอความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF สหรัฐอเมริกา กลุ่ม G-10 และธนาคารโลก จำนวน 37.8 พันล้านเหรียญ สรอ. แบ่งเป็นเงินกู้จาก IMF 12.1 พันล้าน SDR สหรัฐฯ จำนวน 20 พันล้านเหรียญ สรอ. และจำนวนที่เหลือจากกุล่ม G-10 และธนาคารโลก โดยจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของ IMF และกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า Economic Policy Memorandum ซึ่งส่งผลให้หยุดการลดลงของค่าเงินเปโซ
การที่สหรัฐฯ ได้ให้ความช่วยเหลือจำนวนมากเช่นนี้ สหรัฐได้จัดตั้งกองทุน Economic Stabilization Fund (ESF) ขึ้นเพื่อจัดการเงินกู้ของสหรัฐเอง และการค้ำประกันให้กับเม็กซิโก แต่รัฐบาลเม๊กซิโกจะต้องนำเงินรายได้จากการขายน้ำมันและการขายสินค้า 2 ประเภทที่สหรัฐได้ให้ความช่วยเหลือในการขายเข้าบัญชีที่เปิดพิเศษสำหรับการโอนเงินนี้ที่ธนาคารกลางของสหรัฐที่กรุงนิวยอร์ก กระบวนการดังกล่าวใช้เวลาประมาณ 20 วัน ในการจัดตั้งและสามารถเบิกจ่วยงวดแรกได้ เป็นผลทำให้เรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้ และระบบเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น
1.3 ไทย
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยมีสาเหตุหลายประการ ได้แก่ การเปิดเสรีภาคการเงินโดยขาดมาตรการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการกู้เงินเข้ามาจำนวนมากผ่านทางธุรกรรมวิเทศธนกิจประเภท out-in แทนที่จะเป็นการทำธุรกรรมแบบ out-out ตามวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาระบบการเงินของประเทศไทย และนำเงินทุนเหล่านั้นไปลงทุนในโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เนื่องจากมีต้นทุนการกู้เงินที่ต่ำจากนอกประเทศจากการที่รัฐบาลไทยมีนโยบายดำรงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบตะกร้า แต่เมื่อภาวะเศรษฐกิจผกผัน ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ธุรกิจอ่อนแอหรือล้มละลายเนื่องจากไม่สามารถส่งดอกเบี้ยและขอต่อสัญญาเงินกู้ต่อได้ ย่อมทำให้เป็นหนี้ที่เป็นปัญหาของสถาบันการเงินต่าง ๆ จนในที่สุดเป็นปัญหาสำคัญต่อสถาบันการเงินทั้งระบบ สาเหตุประการที่สอง ได้แก่ การที่ทางรัฐบาลจัดการกับปัญหาของสถาบันการเงินไม่เด็ดขาดและล่าช้า จนลุกลามให้เกิดความเสียหายต่อภาคการเงิน ปัญหาการแก้ไขสถาบันการเงินเริ่มตั้งแต่ปัญหาของธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ เป็นต้นมา และสาเหตุที่สำคัญประการต่อมา คือ ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จนเป็นสาเหตุนำมาซึ่งการโจมตีค่าเงินบาท จากการที่นักวิเคราะห์ต่างประเทศวิเคราะห์ว่าค่าเงินบาทของไทยมีค่าแข็งมากเกินไปจากระดับพื้นฐานที่อ่อนแอในขณะนั้น แต่รัฐบาลไทยยังคงยืนยันดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ จนเป็นเหตุให้ประเทศไทยเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบ Managed float ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นนักลงทุนต่างประเทศก็ยังไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้ยังคงมีเงินทุนไหลออกเป็นจำนวนมาก
1.4 อินโดนีเซีย
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศอินโดนีเซียมีสาเหตุมาจากการใช้จ่ายเกินตัวของภาคเอกชน และการพึ่งพิงเงินทุนจากต่างประเทศจำนวนมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการผูกขาดทางการค้าในธุรกิจต่าง ๆ จากกลุ่มญาติพี่น้อง และนักธุรกิจที่มีความสัมพันธ์อันดีกับประธานาธิบดีซูฮาร์โต ทำให้สถาบันการเงินมีการปล่อยเงินกู้กับโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และแก่พวกพ้องกันเอง ประกอบกับปัญหาทางการเมืองที่ผูกขาดอำนาจไว้โดยคนกลุ่มเดียวทำให้ไม่เกิดความร่วมมือ
กับฝ่ายอื่น จึงมีการใช้เงินงบประมาณสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่ไม่มีประโยชน์และให้แก่กลุ่มพวกพ้องทำให้มีการรั่วไหลของงบประมาณ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นด้านสังคมซ้ำเติมให้เศรษฐกิจมีความรุนแรงขึ้น อาทิ การคอร์รัปชั่น การจราจลของคนจน สภาวะแห้งแล้งจากปรากฎการณ์เอลนีโน่ และไฟไหม้ครั้งใหญ่ ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรขาดแคลน และรัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณในการนำเข้าผลผลิตทางเกษตรและยารักษาโรค
การผูกค่า เงินกับดอลลาร์ทำให้ค่าเงินสูงเกินจริงและเป็นที่โจมตีจากนักเก็งกำไร ยิ่งทำให้ค่าเงินรูเปียห์ลดลงจาก 1 เหรียญ สรอ. เท่ากับ 2,361 รูเปียห์ เป็น 14,000 รูเปียห์ ณ วันที่ 26 มกราคม 2541 นอกจากนี้ ระบบการเงินที่ไร้เสถียรภาพทำให้สถาบันการเงินและธนาคารหลายแห่งปิดกิจการ ส่งผลให้ขาดสภาพคล่องในประเทศ คนว่างงานเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 46 เงินเฟ้อร้อยละ 20 ทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงอยู่ที่ 14,900 ล้านเหรียญ สรอ. ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2541 ซึ่งถือว่าต่ำมาก และหนี้ต่างประเทศภาคเอกชนที่สูงถึง 74,000 ล้านเหรียญ สรอ. จนในที่สุดต้นเดือนพฤศจิกายน 2540 อินโดนีเซียขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) วงเงิน 43 พันล้านเหรียญ สรอ. และยอมปิดธนาคาร 16 แห่ง แต่เนื่องจากอินโดนีเซียไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้ยื่นต่อกองทุนการ เงินระหว่างประเทศทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายเงินตามงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของตระกูลซูฮาร์โต ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุนสำรองระหว่างประเทศทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจทรุดตัวลง อย่างมากจนทำให้เกิดการชุมนุมต่อต้านประธานาธิบดีซูฮาร์โต จนในที่สุดได้เปลี่ยนตัวประธานาธิบดีเป็นนายฮาบิบี
1.5 เกาหลีใต้
วิกฤตการณ์ทางการเงินของภูมิภาคเอเซียที่เริ่มจากประเทศไทย อินโดนีเซีย และได้ลุกลามมาถึงเกาหลีใต้นั้น มีพื้นฐานมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากเกินไปจนทำให้บริษัทขนาดใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ หรือกลุ่มแชโบล (Chaebol) ที่มีสัดส่วนธุรกิจในระบบเศรษฐกิจกว่า 80% ของประเทศประสบปัญหาด้านการขาย กลุ่มแชโบลนี้เป็นกลุ่มที่รัฐบาลพยายามจะรักษาอัตราการเจริญเติบโตของกลุ่ม โดยทุ่มเงินจำนวนมหาศาลในการขยายธุรกิจซึ่งไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการแข่งขันและได้มีการลงทุนในตลาดหุ้นเกินตัว อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจครึ่งปีแรกของปี 2540 ลดลงต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี อยู่ในร้อยละ 5.9 และอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจนั้นส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของภาคการส่งออกสินค้าประเภทอุตสาหกรรมหนักและเคมีภัณฑ์ แต่ภาคการผลิตอื่นๆ ของประเทศยังซบเซาอย่างหนัก เศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจของเกาหลีประสบปัญหาอย่างหนัก เช่น กลุ่ม Kia เกิดการล้มละลาย บริษัท Haitai International ไม่สามารถชำระคืนตั๋วเงินที่ถึงกำหนดได้ เป็นต้น ส่งผลทำให้เกิดปัญหาหนี้เสียกับสถาบันการเงินมูลค่าถึง 5.5 พันล้านเหรียญ สรอ. และทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจในการลงทุน ส่งผลให้เงินทุนไหลออก 2 พันล้านเหรียญ สรอ. และดัชนีหลักทรัพย์ลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี
ถึงแม้ว่ารัฐบาลพยายามที่จะควบคุมและสร้างเสถียรภาพทางการเงินโดยการแทรกแซงค่าเงินวอนในตลาดต่างประเทศ และใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ 30,000 ล้านเหรียญ สรอ. เพื่อปกป้องค่าเงิน แต่ค่าเงินวอนยังคงลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องทำให้หนี้ต่างประเทศมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ
เกาหลีใต้ได้ประกาศขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2540 เป็นเงินกู้แบบ Stanby Credit วงเงิน 57,000 ล้านเหรียญ สรอ. โดย IMF ได้ให้ความช่วยเหลือถึง 21,000 ล้านเหรียญ สรอ.
2. หลักการและแนวทางปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของ IMF
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ข้างต้นสุดท้ายต่างจบลงด้วยการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) และยอมรับที่จะปฏิบัติตามกรอบเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือ หรือหนังสือแสดงความจำนงขอรับความช่วยเหลือด้านการเงินและวิชาการ (Letter of Intend) ที่ IMF และประเทศนั้น ๆ ร่วมกันจัดทำขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่ประเทศนั้น ๆ ต้องการจะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ทั้งนี้ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
IMF ในฐานะผู้ให้กู้มีหลักการและแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ได้นำไปใช้กับทุกประเทศเรียกว่า Structural Adjustment Programs : SAPs ซึ่งเป็นแผนงานอย่างกว้าง ๆ ที่อาจจะแตกต่างในรายละเอียดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของวิกฤตการณ์ในแต่ละประเทศ โดยสรุปมีหลักการสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
1. Liberalization : การเปิดเสรีด้านการค้า การลงทุน การผลิตและการเงิน
2. Stabilization : การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยนโยบายการเงินและการคลังที่เข้มงวด
3. Deregulation : การลดการกำกับและควบคุมเพื่อเอื้ออำนวยต่อการค้าและการลงทุน โดยยกเลิกการควบคุมปริมาณระบบโควต้าและลดการควบคุมการเข้าสู่ตลาด (ENTRY) และการออกจากตลาด (EXIT)
4. Privatization : การเปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการค้าและการลงทุน โดยสนับสนุนการร่วมทุนและการแข่งขันระหว่างภาคเอกชน

มาตรการที่เสนอโดย IMF ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ฟิลิปปินส์ เม็กซิโก ไทย อินโดนีเซีย และเกาหลี สามารถสรุปเปรียบเทียบได้ดังตารางต่อไปนี้

มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของ IMF ในประเทศต่าง ๆ
ฟิลิปปินส์เข้าโปรแกรม ปี 2526
เม็กซิโกเข้าโปรแกรม ปี 2537
ไทยเข้าโปรแกรม ปี 2540
อินโดนีเซียเข้าโปรแกรม ปี 2540
เกาหลีใต้เข้าโปรแกรม ปี 2540
นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจ
- จำกัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้โต - กำหนดตามนโยบายสร้างเสถียรภาพ - GDPติดลบ 7 % ปี2541 และ 0.5% ปี 2542 - GDP ปี 2541/42 ติดลบร้อยละ 12 - GDP ปี 2541อยู่ที่ - 5 %และปี 2542
ร้อยละ 4.5 ต่อปี ทางเศรษฐกิจของเม็กซิโก (US Mexico - เงินเฟ้อ 9.2 % ปี2541 และ 6% ปี2542 - เงินเฟ้อปี 2541/42 ร้อยละ 66 อยู่ที่ 0 %
- ควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับร้อยละ 13 Framework Agreement for Mexican - ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 11-12 - กระจายอาหาร สิ่งจำเป็น และบริการ - เงินเฟ้อ 8 % ปี2541, 5 % ปี 2542

Economic Stabilization) พันล้านเหรียญ สรอ.ปี 2541 ให้เพียงพอ - บัญชีเดินสะพัด2541ปีเกินดุลประมาณ


- ทุนสำรองระหว่างประเทศระดับ 26-28 - อัตราแลกเปลี่ยนใช้ในงบประมาณกำหนดที่ 8% ของ GDPและ 4.2% ปี 2542


พันล้านเหรียญ สรอ. ปี 2541 6,000 รูเปียห์ ต่อดอลลาร์ สรอ.





นโยบายการคลัง นโยบายการคลัง นโยบายการคลัง นโยบายการคลัง นโยบายการคลัง
- ลดการใช้จ่ายเพื่อลงทุนและลดเงิน - เข้มงวด ตัดรายจ่ายรัฐบาลลงร้อยละ 10 - ขาดดุลปี 2541 ร้อยละ 3 ของ GDP และ - งบประมาณ 2541-2542 ขาดดุลร้อยละ 3.7 - งบขาดดุล 4% ของ GDP ปี2541
อุดหนุน - จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10 ปี 2542 ขาดดุลร้อยละ 3 ของ GDP - ชดเชยขาดดุล โดยกู้ต่างประเทศและขาย - เพิ่มรายจ่ายทางสังคมแห่คนว่างงาน
- ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีและเพิ่มอัตรา เป็นร้อยละ 15 - จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้โครงการ รัฐวิสาหกิจ - ลดค่าใช้จ่ายและการลงทุน
ภาษี - ส่งเสริมการออม สังคม และ พัฒนาชนบท - เพิ่มรายได้จากภาษีน้ำมัน สินค้าฟุ่มเฟือย
- ตั้งงบประมาณขาดดุล และชดเชย
- ชะลอการลงทุนและลดรายจ่าย และ VAT
ขาดดุลโดยออกพันธบัตรในประเทศ
- ปรับ VAT เพิ่มจากร้อยละ 7 เป็น - ขจัดเงินอุดหนุนต่าง ๆ แต่คงไว้ด้านอาหาร


ร้อยละ 10 พื้นฐาน และยารักษาโรคแก่คนจน
นโยบายการเงิน นโยบายการเงิน นโยบายการเงิน นโยบายการเงิน นโยบายการเงิน
- เข้มงวด จำกัดปริมาณเงินให้เพิ่มขึ้น - เข้มงวด คุมอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น - รักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน - รักษาเสถียรภาพของค่าเงิน - ยืดหยุ่นอัตราแลกเปลี่ยน
ประมาณร้อยละ 16.4 - ปล่อยอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว - ขยายตัวของปริมาณเงินปี 2541 อยู่ที่ - ปฏิรูปภาคการธนาคารและนโยบายการเงิน - ลดอัตราดอกเบี้ยได้ถ้ามีเสถียรภาพ
- การให้สินเชื่อของธนาคารต้องไม่เกิน - จัดตั้งกองทุน Exchange Stabilization ร้อยละ 6.3 พร้อมปิดธนาคารเพิ่ม ทางการเงิน
136.5 พันล้านเปโซ Fund - ทางการจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากมีความ - รักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง
- ลดค่าเงินเปโซ และกำหนดอัตรา - ธนาคารกลางแทรกแซงตลาดเท่าที่ จำเป็น

แลกเปลี่ยนให้ยืดหยุ่นมากขึ้น จำเป็น


ระบบการเงิน ระบบการเงิน ระบบการเงิน ระบบการเงิน ระบบการเงิน
- ลดการผูกขาดของธนาคารและบริษัทที่ - รับประกันว่าธนาคารกลางจะเข้า - ปรับปรุงเกณฑ์จัดชั้นสินทรัพย์และการกัน - ปรับโครงสร้างหนี้เอกชน เพื้อให้ธนาคาร - ปรับโครงสร้างธนาคาร
ทำการค้าน้ำตาลมะพร้าว กล้วย และ แทรกแซงตลาดการเงินเท่าที่จำเป็น สำรอง ต่างชาติยืดเวลาชำระหนี้ - เพิ่มทุนธนาคาร
สินค้าปฐมอื่น ๆ - เพิ่มฐานเงินกองทุนธนาคารพาณิชย์ - เพิ่มทุนธนาคาร และบรรษัทเงินทุน - ปรับปรุงเกณฑ์เงินกู้ให้หักภาษีได้ - จัดตั้งระบบสถาบันประกันเงินฝาก
- ธนาคารพาณิชย์ต้องขายเงินตราต่าง - จัดตั้งกองทุนประกันเงินฝาก - เพิ่มบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ - ทบทวนระบบบัญชีของธนาคารต่าง ๆ
ประเทศให้ธนาคารรัฐแห่งเดียว
- ปรับโครงสร้างหนี้เอกชน - ปรับโครงสร้างธนาคาร และผนวกธนาคาร
นโยบายด้านต่างประเทศ นโยบายด้านต่างประเทศ นโยบายด้านต่างประเทศ นโยบายด้านต่างประเทศ นโยบายด้านต่างประเทศ
- ลดการกู้ยืมต่างประเทศให้อยู่ในระดับ - ส่งเสริมการส่งออก จำกัดการนำเข้า - ยอดคงค้างภาระเงินต่างประเทศล่วงหน้า - รัฐบาลไม่อุดหนุนหนี้ต่างประเทศของ - สนับสนุนเอกชนกู้เงินจากต่างประเทศ
ประมาณ 2 พันล้านเหรียญ สรอ. สินค้าฟุ่มเฟือย สิ้นปี 2541 เหลือ 9,000 ล้านเหรียญ สรอ. เอกชน - พัฒนาระบบรายงานหนี้ต่างประเทศ



- ส่งเสริมการค้าต่างตอบแทน
การลงทุน การลงทุน การลงทุน การลงทุน การลงทุน
- ขยายการลงทุนด้านชลประทานและ - เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นใน - แปรรูปรัฐวิสาหกิจ - ระงับโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน - เปิดตลาดเสรีการเงินของสถาบัน
ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ ธนาคารพาณิชย์ในประเทศอย่างเสรี - เพิ่มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ - แปรรูปรัฐวิสาหกิจ และปิดหรือขาย การเงิน
- ส่งเสริมการส่งออก 100% จากเดิม 30% - เปิดเสรีการลงทุนแก่ต่างประเทศในภาค รัฐวิสาหกิจที่ประสบภาวะขาดทุนอย่างมาก - ยกเลิกเพดานการลงทุนต่างชาติใน
- แปรรูปรัฐวิสาหกิจ - แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เศรษฐกิจบางสาขา โดยเฉพาะภาค - แก้ไขกฎหมายล้มละลาย ตลาดหลักทรัพย์
- เปิดการค้าเสรีโดยลดภาษีและโควต้า - ยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการ ธนาคารพาณิชย์ - ยกเลิกข้อจำกัดการลงทุนต่างชาติในการ - เปิดเสรีสินค้านำเข้า 113 รายการ
- ส่งเสริมการลงทุนค้าปลีกและธุรกิจ ลงทุนจากต่างประเทศ - แก้ไขกฎหมายล้มละลาย และกฎหมายที่ ค้าส่ง ค้าปลีก และบริษัทจดทะเบียน - ผู้ลงทุนต่างชาติสามารถซื้อกิจการ
ขนาดกลางและใหญ่
เกี่ยวข้องกับการลงทุนให้สอดคล้องกับ
เอกชน และเพิ่มปริมาณหุ้นโดยไม่ต้อง
- แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้า
WTO
รับการอนุมัติจากรัฐ
และการลงทุน


- เปิดเสรีทางการบริการด้านการเงินกับ




WTO
3. สรุปผลของการปฏิบัติตามกรอบของ IMF
กล่าวโดยสรุป การขอรับความช่วยเหลือจาก IMF และยิมยอมปฏิบัติตามกรอบเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือทางการเงินและวิชการ เป็นผลดีอยู่บ้างในการช่วยกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้กลับคืนมาและสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ วิกฤตการณ์ของแต่ละประเทศมีสาเหตุที่คล้ายคลึงกัน และแนวทางการจัดทำแผนฟื้นฟูของ IMF จะบรรจุ 4 หลักการ เข้าอยู่ในแผนเหมือนกัน อย่างไรก็ดี แผนฟื้นฟูของ IMFก็มีจุดบกพร่องอยู่มากพอสมควร เช่นกรณีของไทยที่ฐานะการคลังไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ IMF เข้มงวดด้านการคลังเพื่อลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ผลในระยะต่อมากระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทรุดตัวลงมากเกินไป ทั้งที่การแก้ไขปัญหาควรจะเข้มงวดต่อปัญหาที่เกิดจากภาคธุรกิจ และมุ่งนโยบายการคลังเพื่อมิให้ภาวะเศรษฐกิจทรุดมากเกินไป
นอกจากนี้ IMFยังมุ่งเน้นการใช้กลยุทธด้านอุปสงค์เป็นมาตรการหลักในการกำหนดนโยบายต่างๆ เช่น นโยบายการเงินที่เข้มงวด โดยการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารกลาง การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของเงินกู้ เงินฝากของธนาคารกลาง จำกัดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และการซื้อขายของพันธบัตรในตลาด และนโยบายการคลัง โดยการเพิ่มภาษี ควบคุมค่าจ้าง ค่าใช้จ่าย ลดการลงทุนของภาครัฐ จะเห็นได้ว่ามาตรการเหล่านี้มุ่งหวังให้เกิดผลในระยะสั้นและรวดเร็ว อย่างไรก็ดี มาตรการเหล่านี้มิใช่มาตรการเบ็ดเสร็จ ซึ่งในระยะแรกของวิกฤตการณ์นั้นมาตรการเหล่านี้ไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลให้มีการเสนอมาตรการทางสังคม และมาตรการปรับโครงสร้างต่าง ๆ ตามมาภายหลังจากการทบทวนของ IMF MISSION ซึ่งมาตรการเหล่านี้ควรจะบรรจุในแผนฟื้นฟูตั้งแต่ตอนต้นโปรแกรม หากมาตรการเหล่านี้ดำเนินไปพร้อมๆกันในระยะแรก ประเทศเกาหลี อินโดนีเซีย และไทยคงไม่ประสบปัญหาการหดตัวทางเศรษฐกิจ ปัญหาภาคการเงิน ค่าเงินอ่อนตัว อัตราดอกเบี้ยแท้จริงสูงมาก และเงินทุนไหลออกหลังจากเข้าโปรแกรมของ IMF มากเหมือนกับปัจจุบัน
ประเทศต่างๆ ที่เข้าโปรแกรมของ IMF ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ฉะนั้นควรมีองค์กรพิเศษทำหน้าที่ประเมินการทำงานของ IMF เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของนานาประเทศ และความมีประสิทธิภาพของ IMF โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่มาประเมินเศรษฐกิจของแต่ละประเทศต้องมีความรู้ ประสบการณ์และมีประสิทธิภาพเพื่อวางแนวนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมกับประเทศ นั้นๆ
ให้สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้องและเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาโดยเร็ว
ที่มา: - เศรษฐทัศน์, ธนาคารนครหลวงไทย, " วิกฤตสู่วิกฤต
: IMF จ่ายยาผิดหรือ" และ "Debt Moratorium" ของ ประธาน จิวจินดา
- LOI ของประเทศต่างๆ
--------------------------------------------------------

- ตั้งคณะกรรมการ ศปร.
เพื่อหาเรื่องรัฐบาลก่อนสุดท้ายเข้าตัว

เพราะจากรายงาน ศปร. ตาม Link ข้างล่างนี้
<<< รายงาน ศปร. ( สรุปความเห็น และ บทที่ 1 ) >>>
"

สรุปความเห็น/ข้อเสนอแนะของ
คณะกรรมการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ
การบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.)
1. ข้อบกพร่องของโครงสร้างระบบการบริหารการเงินอันนำไปสู่วิกฤตการณ์และความไม่มีประสิทธิภาพในการตัดสินใจเชิงนโยบาย
วิกฤตการณ์ เศรษฐกิจไทยครั้งนี้ มีจุดเริ่มมาจากการก่อหนี้ของภาคเอกชน แต่การดำเนินนโบายการเงินของรัฐก็มีส่วนทำให้ปัญหาการก่อหนี้บานปลายอย่างแทบจะไม่มีขีดจำกัด

ขั้นตอนของความเพลี่ยงพล้ำในการดำเนินนโยบายการเงิน ลำดับได้ดังต่อไปนี้
  1. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจเลือกที่จะไม่ให้เปิดตลาดเงินทุนเสรีตั้งแต่ พ.ศ. 2533 แต่ ธปท. ก็เลือกที่จะให้เปิดการตัดสินใจให้เปิดครั้งนั้น นับว่าเป็นผลพวงของแนวนโยบายที่เป็นมาโดยต่อเนื่องเป็นระยะยาวนาน และสะท้อนความต้องการของฝ่ายการเมืองในขณะนั้นอย่างเต็มที่ เมื่อนายวิจิตรเข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการ ก็สานต่อนโยบายนั้นอย่างขะมักเขม้น ถึงขั้นเปิดวิเทศธนกิจ ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย
  2. เมื่อ ธปท. เลือกที่จะเปิดตลาดเงินทุนให้เสรีแล้ว ธปท. ก็ควรเลือกที่จะให้อัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่นมากกว่านี้ แต่ ธปท. ก็เลือกที่จะ รักษาช่วง (band) อัตราแลกเปลี่ยนที่แคบมากไว้ จะมาเริ่มพิจารณาก็ในเดือนเมษายน 2539 ซึ่งสายไปเสียแล้ว เพราะหลังจากนั้น อีกไม่กี่เดือนปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ก็รุนแรงจนทำให้ ธปท. กลัวที่จะดำเนินการใดๆ อีกต่อไป เพราะเกรงว่าจะส่งสัญญาณผิด ให้กับตลาด
  3. เมื่อ ธปท. เลือกที่จะรักษาช่วงอัตราแลกเปลี่ยนที่แคบไว้เช่นนั้น ก็หมายความว่าแนวนโยบายทางด้านอุปสงค์รวมจะต้อง มีความระมัดระวัง (conservative) เป็นพิเศษ โดยเฉพาะในระยะตั้งแต่ พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา นโยบายการคลังเป็นเรื่องของรัฐบาล และรัฐสภาก็จริงอยู่ แต่ ธปท. ก็มิได้ผลักดันอย่างจริงจัง ให้รัฐบาลมีนโยบายเกินดุลซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงนั้น ส่วนนโยบายการเงิน ที่ดึงปริมาณเงินในประเทศก็ไร้ผล เพราะถูกลบล้างด้วยเงินกู้จาก ต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
  4. เมื่อ ธปท. ไม่สามารถใช้นโยบายการคลังหรือการเงินได้ ก็ควรจะใช้มาตรการไม่ให้เงินกู้ไหลเข้าประเทศอย่างมากมายเสียตั้งแต่ต้น แต่มาตรการที่ประกาศเป็นมาตรการที่อ่อน และนำมาใช้เมื่อสายไปแล้ว คือหลังจากไทยมีหนี้สินระยะสั้นในระดับสูงมากเกินไปเสียแล้ว "
สรุปชัดเจนว่าต้นตอของวิกฤตนี้เริ่มมาจากพรรคพวกของรัฐบาลนี้
ต่อมาพยายามตั้ง ศปร. 2 เพื่อเอาผิดทักษิณตามข้อกล่าวหาอินไซเดอร์
สุดท้ายรายงานฉบับนี้ก็ถูกปิดเป็นความลับชั้นสุดยอด
ถ้าสามารถเอาผิดทักษิณได้ทำไมรายงานฉบับนี้จึงไม่เปิดเผยต่อที่สาธารณะ
หรือเป็นแบบ ศปร.1 ที่คนที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องค่าเงินจนเจ๊งส่วนใหญ่
เป็นพรรคพวกตัวเองหรือเจ้าหน้าที่ใน ธปท. แทบทั้งหมด

--------------------------------------------------------


โดย มาหาอะไร



<<< วิกฤตต้มยำกุ้ง #1 เปิดเสรีการเงินไม่กี่ปี เป็นหนี้ต่างประเทศเพิ่มเท่าตัว >>>
<<< วิกฤตต้มยำกุ้ง #2 ความเชื่อมั่นที่ตกต่ำ ตอกย้ำการโจมตีค่าเงิน >>>
<<< วิกฤตต้มยำกุ้ง #3 สู้จนเจ๊ง >>>
<<< วิกฤตต้มยำกุ้ง #4 เด็กดี หนูลองยา IMF >>>
<<< วิกฤตต้มยำกุ้ง #5 จากประเทศลูกหนี้ พลิกกลับมาเป็นประเทศเจ้าหนี้ (จบ) >>>

FfF